Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 
17 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
มาอย่างไรไปอย่างนั้น

บทความธรรมะ มรณานุสสติ

คนเราจะดีหรือชั่ว ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเป็นสำคัญ
ไม่มีใคร หรืออะไรที่จะมาดลบันดาลให้เรา เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้
ความโชคร้าย หรือโชคดีของชีวิตก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีใครกำหนดให้เรา แต่เราเป็นผู้กำหนดเองทั้งสิ้น
ด้วยการกระทำต่างๆของเราเอง ผู้ฉลาดจึงเลือกทำแต่กรรมดี
ส่วนคนโง่ย่อมทำความชั่ว เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในความเป็นไปของกฎแห่งกรรม

ตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของคนผู้มีปัญญา ที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
และได้ปฏิบัติต่อธรรมชาติอย่างถูกต้อง จนได้รับผลดีมีความสุขตามกฎเกณฑ์นั้น
ถึงแม้พวกเขาจะสูญเสีย บุคคลผู้เป็นที่รักที่สุดในชีวิต แต่ก็สามารถมีรอยยิ้มได้อย่างเต็มใบหน้า
เพราะปัญญา ที่เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอย่างแท้จริงนี่เอง


เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งพุทธกาล อุบาสกคนหนึ่งอาศัยอยู่ใน กรุงสาวัตถี เขามีบุตรชายผู้เป็นที่รักมาก
แต่จู่ๆบุตรของเขา ก็เสียชีวิตลง เขาจึงเศร้าโศกเสียใจมาก ได้แต่ร้องไห้รำพึงรำพันถึงลูกจนไม่เป็นอันกินอันนอน

พระศาสดาเสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ และทรงตรวจดูสัตว์โลก ด้วยพุทธจักษุ ตามปกติ
และทรงเห็นอุบาสกนั้น พอรุ่งเช้า พระองค์จึงทรงอุ้มบาตรเสด็จไปยังบ้านของเขา แล้วได้ประทับยืนอยู่ที่หน้าบ้าน
เมื่ออุบาสกทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงรีบออกไปนิมนต์ให้เสด็จเข้าไปในบ้าน

พระองค์ตรัส กับอุบาสกนั้นว่า “ดูก่อน อุบาสก ทำไมหน้าตาของท่าน จึงดูเศร้าโศกเหลือเกิน”

เขาจึงกราบทูลพระพุทธองค์ว่า ลูกที่เขารักมากได้ตายจากไปแล้ว จึงเศร้าโศกเสียใจเพราะคิดถึงลูก
ครั้นพระศาสดา
ได้ฟังแล้ว จึงคิดที่จะทำความเศร้าโศกของอุบาสก ให้บรรเทาลง จึงตรัสว่า

“ชื่อว่า สิ่งที่มีการแตกทำลาย เป็นธรรมดา ย่อมจะแตกทำลายไป
ชื่อว่า สิ่งที่มีการพินาศไป เป็นธรรมดา ย่อมจะพินาศไป
สิ่งที่มีการแตก และการพินาศไปนั้น จะมีแก่คนผู้เดียวเท่านั้นก็หามิได้ จะมีในหมู่บ้านเดียวเท่านั้น ก็หามิได้
ชื่อว่า สภาวธรรม คือ ความไม่ตาย ย่อมไม่มีในภพทั้งสาม ในจักรวาลอันหาประมาณมิได้
แม้สังขารอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถดำรงอยู่โดยภาวะนั้น เท่านั้น ชื่อว่า เที่ยงยั่งยืนย่อมไม่มี
สัตว์ทั้งปวงมีความตาย เป็นธรรมดา สังขารทั้งหลายมีการแตกสลายไป เป็นธรรมดา”

แล้วทรงยกเทศนามาตรัสเล่าให้อุบาสกฟังความว่า

นานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี แคว้นกาสี มีตระกูลพราหมณ์ชื่อว่า ธรรมปาละ
ตระกูลนี้เป็นครอบครัวใหญ่ มีพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ และคนใช้ ทุกคนชอบเจริญมรณานุสสติ
ระลึกนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะทำให้ตนเอง ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต
ฉะนั้น หากใครจะออกจากบ้าน จะต้องให้โอวาทคนที่อยู่ในบ้านก่อน แล้วค่อยออกไป

อยู่มาวันหนึ่ง พ่อกับลูกชายจะออกจากบ้านไปไถนา ลูกชายเห็นหญ้า ใบไม้ และฟืนแห้งๆ กองรวมกันอยู่
จึงจุดไฟเผา พอไฟลุกไหม้ ก็มีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากกองใบไม้ เพราะกลัวถูกไฟเผา
เขาไม่ทันระวังตัวจึงถูกงูกัด จนขาดใจตาย หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดเป็น ท้าวสักกเทวราชา

เมื่อพ่อรู้ว่า ลูกชายตาย จึงบอกกับบุรุษผู้หนึ่งที่เดินผ่านมา ตรงนั้นว่า
“สหายเอ๋ย ท่านจงกลับไปบอกภรรยาของเราที่บ้านหน่อยเถิด ว่าให้อาบน้ำ นุ่งผ้าขาว
แล้วเอาอาหาร และดอกไม้ของหอม เป็นต้น ที่สำหรับกินได้คนเดียว แล้วให้รีบมาหาเรา”

บุรุษนั้น ก็รีบกลับไปทำตามที่พราหมณ์ธรรมปาละบอกไว้ และเมื่อภรรยาของเขาพร้อมด้วยบริวารมาถึง
ก็ยก ศพลูกชายขึ้นวางบนเชิงตะกอน จุดไฟเผา โดยไม่มีความเศร้าโศกเสียใจแต่อย่างใด
ทั้งหมด ได้ยืนพิจารณาซากศพนั้น ว่าเป็นเหมือนกับเผาท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เท่านั้นเอง

ลูกชายของเขาที่ไปเกิดเป็น ท้าวสักกะ นั้น ได้พิจารณาชาติ ก่อนของตนเอง และบุญที่เคยได้กระทำไว้
จึงทรงคิดที่จะโปรดพวกญาติๆ จึงได้แปลงเป็นพราหมณ์มาในที่นั้น
แต่เมื่อเห็นพวกญาติ ไม่ร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ จึงถามขึ้นว่า
“คนที่ตายเป็นศัตรูของพวกท่านหรือ?”

เมื่อได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นลูกชายที่รักมาก ท้าวสักกะก็สงสัย จึงถามต่อไปว่า
“หากเขาเป็นคนที่พวกท่านรัก ทำไมเมื่อเขาตาย พวกท่านจึงไม่เศร้าโศกเสียใจเลยล่ะ”

ธรรมปาละ ผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า “ลูกของเรา ละร่างกายอันคร่ำคร่าของตนไป ก็เป็นเหมือนกับงูลอกคราบ
เมื่อร่างกายใช้สอยไม่ได้แล้ว ถึงแก่ความตายแล้ว ศพนี้ย่อมไม่รับรู้ ว่าพวกญาติร้องไห้คร่ำครวญ
ฉะนั้น พวกเราจะร้องไห้ เศร้าโศกถึงเขาทำไมกันเล่า
เขาเคยทำกรรมใดไว้ เขาก็จะต้องไปตามกรรมที่เขาเคยทำไว้แล้ว นั่นเอง”

ท้าวสักกะ จึงถามผู้เป็นแม่ว่า“ผู้ตายนั้นเป็นอะไรกับท่าน หรือ”

ผู้เป็นแม่ได้ตอบว่า
“เขาเป็นลูกชายของฉัน ฉันอุ้มท้อง มาถึง ๑๐ เดือน ให้ดื่มน้ำนม ประคบประหงมมือและเท้าจนเขาโตเป็นผู้ใหญ่”

ท้าวสักกะ ถามต่อไปว่า “บิดาไม่ร้องไห้ เพราะเป็นบุรุษก็ยกไว้
ส่วนมารดา ซึ่งโดยปกติมักจะเป็นคนมีจิตใจอ่อนโยนอ่อนไหวง่าย แล้วทำไม ท่านจึงไม่ร้องไห้ล่ะ”

นางได้ฟังดังนั้น จึงบอกสาเหตุที่ไม่ได้ร้องไห้เพราะลูกตายว่า
“ลูกชายของฉัน ฉันไม่ได้เชิญมา ก็มาเองจากปรโลก แม้เมื่อจะไปจากมนุษยโลกนี้ ดิฉันก็มิได้อนุญาตให้เขาไป
เขามาอย่างใด เขาก็ไปอย่างนั้น ทำไมต้องร้องไห้ เพราะการเดินทางจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าของเขาด้วยเล่า
ศพของเขาที่ถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึก อะไร
เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ร้องไห้ถึงเขา เขาเคยทำกรรม ใดไว้ ย่อมไปตามกรรมที่เขาทำไว้ นั่นเอง”

ครั้นท้าวสักกะได้ฟังคำตอบจากแม่แล้ว จึงหันไปถามน้องสาวว่า ไม่รักพี่ชายหรือ จึงไม่เสียใจ นางตอบว่า
“ถ้าฉันมัวแต่ร้องไห้เสียใจ ก็จะผ่ายผอม ฉันจะได้ประโยชน์อะไร พวกญาติก็จะพลอยเป็นกังวลไปด้วย
พี่ชายของฉันที่ถูกเผาอยู่ ก็ย่อมจะไม่รับรู้ว่า ฉันเสียใจ เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ร้องไห้เสียใจถึงเขา”

ท้าวสักกะได้ฟังคำตอบของน้องสาวแล้ว จึงหันไปถามภรรยาในลักษณะเดียวกัน ภรรยาก็ตอบว่า
“ผู้ใดเศร้าโศกถึงคนที่ตายไปแล้ว ผู้นั้นก็เปรียบเหมือน เด็กทารกร้องไห้ถึงพระจันทร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ศพของ สามีฉันที่กำลังถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รับรู้ถึงการร้องไห้คร่ำครวญของฉัน และญาติๆเลย
ฉะนั้น ฉันจึงไม่ร้องไห้เสียใจเลย”

เมื่อฟังคำตอบจากภรรยาแล้ว จึงหันไปถามคนรับใช้ ซึ่งตอบว่า
“ฉันไม่ร้องไห้เสียใจ ก็เพราะคิดว่า หม้อน้ำที่แตกแล้ว จะให้ประสานติดกันอีก ย่อมเป็นไปไม่ได้

ท้าวสักกะครั้นได้ฟังถ้อยคำของทุกคนแล้ว จึงมีจิตเลื่อมใส ตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย เจริญมรณัสสติ ดีแล้ว
ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกท่านไม่ต้องทำไร่ไถนาแล้ว ว่าแล้วก็เนรมิตร บ้านของพวกเขาให้เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ
และให้โอวาทว่า
“ท่านทั้งหลาย อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต จงให้ทาน รักษาศีล ทำอุโบสถกรรม”
และก่อนจะกลับ ท้าวสักกะก็ได้บอกความจริงแก่พวกญาติ ว่าท่านก็คือ ลูกชายของบ้านนี้ที่ตายไป นั่นเอง

ส่วนพวกญาติยังคงขวนขวายในการทำบุญให้ทานปฏิบัติธรรมจนตลอดชีวิต และเมื่อทุกคนตายไป
ก็ไปบังเกิดในเทวโลก เพราะอานุภาพของบุญที่พวกเขาได้สั่งสมไว้แล้วนั่นเอง

ผู้มีปัญญา เมื่อทราบว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน จึงไม่ควรประมาท ในการดำเนินชีวิต
รีบสั่งสมกรรมดีไว้มากๆ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้กระทำ อีกต่อไป
กรรมดี จะช่วยให้เรามีความสุขทั้งในชาตินี้ และชาติต่อๆไป

จาก หนังสือธรรมลีลา


Create Date : 17 มิถุนายน 2552
Last Update : 17 มิถุนายน 2552 13:06:15 น. 0 comments
Counter : 773 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.