การถือฤกษ์ยามตามหลักพระพุทธเจ้า
เรื่องของการถือฤกษ์งามยามดี เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชาวบ้านที่ยังเข้าไม่ถึงธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มักจะคล้อยตามหรือเชื่อถือตามๆกันมา โดยปราศจากเหตุผลและ ตราบใดที่คนเรายังไม่มีความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่น แล้วก็ยากที่จะเลิกละได้ พระพุทธองค์ทรงวางหลักการถือฤกษ์ยามไว้ดังนี้
"ภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจาและใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของคนเหล่านั้น คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจาและใจ ในเวลาเที่ยงเวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของคนเหล่านั้น คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจา และใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของคนเหล่านั้น คนทั้งหลายปฏิบัติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี" [สุปุพัณหสูตร๒๐/๓๓๕]
ส่วนเสริม หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา เน้นเรื่องการกระทำเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าใครทำความดีเวลาใด เวลานั้นก็เป็นเวลาที่ดี เป็นฤกษ์ที่ดีเป็นเวลาที่เป็นมงคล ทำให้เกิดโชคดี มีความสุขความเจริญตามมา แต่ทั้งนี้จะต้องมีปัญญากำกับด้วย คือต้องประกอบด้วยกาละและเทศะ และบุคคลร่วมด้วย ถ้าทำกรรมใดโดยขาดปัญญา กาละและเทศะ เช่น หว่านข้าวในทะเล หรือทำนาหน้าแล้ง มันก็ย่อมจะเหนื่อยเปล่าและเสียของเปล่าแน่นอน
และสิ่งประกอบสำคัญ ที่ไม่ควรลืมคืออกุศลกรรมเก่าจะตามมาให้ผล ในขณะที่เรากำลังทำความดี ให้เราต้องได้รับความทุกข์ แต่เหตุที่เราทำกรรมดีไว้ ผลก็จะต้องดีเสมอไป ไม่กลับกลายเป็นอื่น ในฐานะชาวพุทธที่ดี ก็ควรจะดำเนินตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นแนวคำสอนของผู้รู้แจ้งโลกทุกโลกแล้ว ไม่มีทางที่จะผิดพลาดได้ อย่าได้ฝากความหวังไว้กับหมอดูซึ่งมักจะคู่กับหมอเดา จะพาให้เศร้าใจ.
โดย ธรรมรักษา
Create Date : 12 มกราคม 2552 |
Last Update : 12 มกราคม 2552 21:23:06 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1069 Pageviews. |
|
|
|