Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
22 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
กรรมเพราะสาบาน

เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้เขียนเอง บ้านผู้เขียนมีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด ๙ คน
ครอบครัวมีอาชีพค้าขายของชำ และมีรถบรรทุก ๑๐ ล้อ อีก ๕ คัน แม่ดูแลทางด้านค้าขาย
ส่วนพ่อนั้นดูแลทางด้านรถบรรทุกและลูกๆก็เรียนหนังสือ ขณะนั้นผู้เขียนกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒
ครอบครัวถือว่ามีฐานะดีกว่าครอบครัวอื่นๆ พ่อเองก็ให้ความเอื้อเฟื้อกับทุกคนเป็นอย่างดี
นอกจากนี้พ่อยังบำเพ็ญประโยชน์อีกหลายอย่าง ภายในครอบครัวทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตา
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ตลอดมา

จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๖ วันหนึ่งพ่อก็พูดขึ้นว่า อายุมากแล้วหูตาไม่ค่อยดี อยากจะเลิกอาชีพขับรถ
และจะหันมายึดอาชีพทำไร่ ทุกคนในบ้านก็ไม่มีใครขัด ต่อมาไม่นานพ่อก็ขายรถจนหมด รวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง
เพื่อนำไปซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นป่าใหญ่ไว้ ๑ แปลง จำนวนประมาณ ๕๐๐ ไร่
ที่ดินแปลงนี้ได้มาโดยการติดต่อและแนะนำของ นายวิลาส ซึ่งเป็นเพื่อนกับพ่อผู้เขียน
เมื่อก่อนนายวิลาสมีอาชีพทำไร่ ฐานะยากจน มีที่ดินเป็นของตัวเอง ๑๐ กว่าไร่ มีรายได้ก็ไม่ค่อยจะพอใช้พอจ่าย
ขัดสนอยู่ตลอดมา ยามใดลูกหรือเมียเจ็บป่วยนายวิลาสก็ไปกู้ยืมเงินเขา เพื่อนำมารักษา
ดังนั้นรายได้จากการทำไร่ในแต่ละปีจึงไม่มีเหลือ แถมยังจะต้องเป็นหนี้เขาต่อไปอีก เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดมา

จนกระทั่งได้พบกับพ่อของผุ้เขียน ด้วยความอดทนและขยันหมั่นเพียรของนายวิลาส
พ่อก็ตอบแทนเขาด้วยเงินค่าแรงอย่างงาม ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของนายวิลาสก็มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
และพ่อก็ได้ให้นายวิลาสทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคนงาน ตลอดจนทำหน้าที่ทุกอย่างแทนพ่อ
นายวิลาสเป็นผู้ติดต่อหาคนงานมาทำงาน คนงานจำนวน ๕๐ คนนี้ ส่วนมากจะเป็นญาติพี่น้องของนายวิลาสและ
ตกลงกันแบบอยู่ประจำมีที่พัก อาหารและอุปกรณ์ทำไร่ต่างๆให้พร้อม
และทุกคนจะต้องรับผิดชอบเครื่องมือแต่ละชิ้นที่ตนเองใช้ ถ้ามีการสูญหายก็จะหักเงินค่าแรงตามราคาเครื่องมือ
การจ่ายเงินค่าแรงก็จะจ่ายทุกๆสิ้นเดือน เมื่อทุกอย่างพร้อมทุกคนก็จะเริ่มทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
ตั้งแต่พื้นที่เป็นป่าเริ่มเตียนโล่ง และเริ่มปลูกมันสำปะหลังได้ การดำเนินงานทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

จนกระทั่งถึงต้นปีพ.ศ.๒๕๑๘ นายวิลาสเริ่มมีความเป็นอยู่ดีกว่าคนงานทั้งหมด
อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ก็ได้ที่ทำให้นายวิลาสลืมตัว ลืมทุกสิ่งทุกอย่างและแม้กระทั่งลืมความลำบากแต่หนหลัง
นายวิลาสเริ่มไม่สนใจงาน กินแต่เหล้าทุกวัน เมาเช้าเมาเย็น บางวันก็ไม่มาทำงาน ปีนี้ฤดูเก็บเกี่ยวก็มาถึงอีก
พอดีตรงกับช่วงโรงเรียนของผู้เขียนปิดเทอมจึงลงมาอยู่ที่ไร่กับพ่อ ได้เวลาเก็บเกี่ยวพ่อเดินทางไปตลาดแต่เช้า
เพื่อติดต่อค้าขายผลผลิตกับเจ้าของโรงงานมันเส้น และรู้ข่าวมาว่านายวิลาสได้ลักลอบขนมันสำปะหลังในไร่
ไปขายให้กับเถ้าแก่รับซื้อมันเช่นกัน พ่อเสียใจมากกับข่าวนี้ ไม่นึกเลยว่าคนที่เคยไว้ใจและเคยช่วยเหลือมาตลอด
จะคิดไม่ซื่อกับตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพียงแต่เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว และคอยจับตาดูอยู่เงียบๆ

มีอยู่คืนหนึ่ง ซึ่งเป็นคืนเดือนหงาย พ่อคิดเรื่องนี้จนนอนไม่หลับก็เลยตัดสินใจเดินออกจากที่พักพร้อมด้วยปืนพก
ไปซุ่มดูอยู่บริเวณท้ายไร่ สักพักใหญ่ๆก็ได้ยินเสียงรถบรรทุกวิ่งเข้ามาในไร่แล้วดับไฟหน้าพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง
ประมาณ ๒๐ คน โดยเห็นจากแสงเดือนที่ส่องสว่างอยู่เต็มดวง พวกเขาช่วยกันขนมันขึ้นรถ และมีเสียงชายคนหนึ่ง
คอยสั่งการ เสียงนี้พ่อจำได้แม่นยำ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายวิลาส พ่อเลยตัดสินใจชักปืนยิงขึ้นฟ้า ๓-๔ นัด
กลุ่มคนพวกนั้นก็พากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทางด้วยความตกใจ เมื่อกลุ่มคนพวกนี้หนีไปจนหมดแล้ว
พ่อก็กลับมาที่พัก เช้าของวันรุ่งขึ้นพ่อตัดสินใจแล้วว่าจะไล่นายวิลาสออก แต่ก็ไม่เห็นเขามาทำงาน
ส่วนคนงานนั้นยังอยู่ครบ และงานก็ดำเนินต่อไป นับตั้งแต่วันนั้นมาพ่อก็ยังไม่เห็นหน้านายวิลาสอีกเลย

เวลาฝ่านมาประมาณหนึ่งเดือน ในตอนเช้าของวันหนึ่ง คนงานหยุดงานกันหมด ไม่ยอมทำงานเหมือนเช่นเคย
พ่อเข้าไปสอบถามดู พวกคนงานเหล่านี้หาว่าพ่อจะไม่ยอมจ่ายค่าแรงให้แก่ตน เพียงแค่นี้พ่อก็เข้าใจจนหมดแล้วว่า
เรื่องนี้มาจากใคร นายวิลาสใช้เล่ห์เหลี่ยมปลุกปั่นคนงานอย่างแน่นอน
ทั้งๆที่พ่อก็ไม่เคยคิดที่จะคดโกงค่าแรงคนงานเลยแม้แต่น้อย ขณะนั้นพ่อก็พยายามอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือน
ให้คนงานฟัง แต่การเจรจาก็ไร้ความหมาย คนงานทั้งหมดยังยืนกรานที่จะไม่ทำงาน และขอรับเงินค่าแรงที่เหลือ
พ่อก็ตกลง และนัดให้ทุกคนไปพบกันที่โรงพักในเช้าวันรุ่งขึ้น

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้พ่อท้อใจและเสียใจมากที่ทุกอย่างต้องหยุดกลางคัน ทั้งๆที่พืชไร่ก็ขนออกไปขายยังไม่หมด
และในวันนั้นเองคนงานทุกคนก็ไปรวมกันที่บ้านของนายวิลาส
เมื่อถึงรุ่งเช้าพ่อและตัวผู้เขียนเองก็เดินทางไปที่สถานีตำรวจ พอมาถึงก็เห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
โดยมีนายวิลาสเป็นหัวหน้าและเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องราวทั้งหมด เริ่มตั้งแต่บัญชีค่าแรงคนงาน
วันนั้นผู้เขียนเป็นผู้อ่านบัญชีและจ่ายเงินตามบัญชีให้ทุกคนเรียบร้อย พ่อบอกกับตำรวจว่า คนงานทั้งหมดนี้
ตอนออกมาจากที่พักนั้น ออกมาโดยไม่ได้บอกกล่าว และยังไม่ได้เอาเครื่องมือมาคืนเลยสักคนเดียว
จำเป็นจะต้องให้คนงานทั้งหมดจ่ายค่าเครื่องมีอที่แต่ละคนรับผิดชอบไป แต่ความเป็นจริงแล้วคนงานนำมาคือ
เกือบหมดจะมีบ้างที่ยังไม่ได้เอามาคืนก็เป็นส่วนน้อย ผลสุดท้ายทางด้านคนงานก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ คือ
ทุกคนต้องจ่ายค่าเครื่องมือ ซึ่งในขณะนั้นผู้เขียนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพ่อทำเช่นนั้นเพื่ออะไร
แต่ในใจของผู้เขียนเองแล้วคิดว่า พ่อทำลงไปเพราะความโกรธ ความเจ็บใจ และความแค้นใจมากกว่า
ในการตัดสินของตำรวจพ่อเป็นผู้ถูกต้องทางกฎหมาย แต่ทางด้านศีลธรรมแล้วพ่อของผู้เขียนเป็นผู้ผิด
การกระทำลักษณะนี้ก็เท่ากับเป็นการสร้างอกุศลกรรม นี่แหละคือ
ทาสของความโกรธ สามารถทำให้คนทำอะไรได้ทุกอย่างโดยขาดสติยั้งคิด และปราศจากเหตุผล

เมื่อคนงานทั้งหมดยอมจ่ายค่าเครื่องมือเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนก็ยังสงสัยและแคลงใจเรื่องเครื่องมืออยู่
ก็เลยขอสาบานกับพ่อต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ มีนายตำรวจเป็นพยานและนำสาบาน เมื่อจุดธูปจุดเทียนเสร็จ
ผู้นำสาบานเริ่มต้นกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าพูดความจริงก็ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวจงมีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง
ตลอดไป แต่ถ้าหากว่าพูดเท็จก็ขอให้ครอบครัวจงมีอันเป็นไป
หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน งานเก็บเกี่ยวก็ได้ดำเนินงานต่อไป โดยพ่อจ้างคนงานบริเวณใกล้เคียง
เท่าที่พอจะหาได้ และส่งมันสำปะหลังขายให้กับโรงงานมันเส้นจนหมดในต้นปีพ.ศ. ๒๕๑๘ นั่นเอง

อีกไม่กี่เดือนในปีเดียวกันนี้ก็มีเหตุการณื่ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นกับน้องคนสุดท้องของผู้เขียน
ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียงแค่ ๑ ขวบ เกิดเจ็บป่วยขึ้น แม่ก็ได้นำไปรักษาที่โรงพยาบาลนานหลายเดือน
แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ในที่สุดน้องก็เสียชีวิต ทำให้ทุกคนในบ้านเสียใจมาก

ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ก็มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นอีก ในปันั้นฝนตกชุกมาก ตกทั้งวันทั้งคืน ๓-๔ วัน ติดต่อกัน
ทำให้เกิดน้ำป่าท่วมตลาด และในบริเวณตลาดแห่งนี้บ้านที่เสียหายมากที่สุดคือบ้านของผู้เขียน
น้ำป่าได้พัดพาสิ่งของมีค่าไปจนหมดไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ตลอดจนสิ่งของมีค่าที่แม่ได้สะสมไว้ตั้งแต่เดิม
ก็สูญหายไปกับน้ำหมด ทุกคนในบ้านได้รับบาดเจ็บจากประตูบ้านที่ถูกน้ำพังและเศษแก้วเศษกระเบื้อง
พวกน้องๆต้องขึ้นไปอยู่ยบนหลังคาบ้าน ส่วนแม่นั้นถ้าพ่อช่วยออกมาจากบ้านไม่ทันก็คงถูกน้ำป่าพัดพาไปด้วย
หลังจากน้ำลดลงทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรหลงเหลืออีกนอกจากสภาพบ้านที่หักพัง
ส่วนทรัพย์สินสิ่งของอย่างอื่นนั้นน้ำป่าก็พัดพาเอาไปจนสิ้น สิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ก็คือชีวิตและความทรงจำ

การสูญเสียครั้งนี้ทำให้แม่คิดมากและล้มป่วยอย่างหนัก ถึงแม้ว่าจะพาไปรักษาที่โรงพยาบาล
แต่แม่ก็ไม่มีอาการดีขึ้น คงจะเป็นเพระแม่เสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไป
อาการป่วยของแม่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แต่กลับทรุดหนักมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ในที่สุดแม่ก็เสียชีวิตไป
บรรบากาศในบ้านวันนั้นมีแต่ความเศร้าหมอง สลดหดหู่ ทุกคนร้องไห้จนหน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด
ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของผู้เขียนก็อยู่ในสภาพที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด พ่อทำไร่ขาดทุนเรื่อยมา
บางครั้งก็ถูกเขาโกง และบางวันก็เอาแต่กินเหล้าไม่สนใจงานเหมือนแต่ก่อน
ผู้เขียนก็ต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานเพื่อให้น้องๆได้เรียน เพระรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ส่วนพี่ของผู้เขียนนั้น
ก็ขายของอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม แต่ขายพอมีกินไปวันๆเท่านั้น ทุกคนในบ้านได้พบกับความลำบากอย่างแสนสาหัส

ปีพ.ศ.๒๕๒๘
พ่อของผู้เขียนป่วยหนักและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ ลูกๆทุกคนช่วยกันจัดงานศพให้พ่อตามอัตภาพ
ในปัจจุบันผู้เขียนต้องคดีฆ่าคนตายถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์
พิจารณาระยะเวลาที่ผ่านมากรรมได้ติดตามกระหน่ำซ้ำเติมผู้เขียนและครอบครัวตลอดมาเป็นระยะเหมือนเงาตามตัว

ผู้เขียนไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า กรรมนั้นมีจริง โชคดีที่ผู้เขียนมีพี่และน้องๆที่ไม่เห็นแก่ตัว
ทุกคนรักและปรองดองกันดี และพร้อมที่จะเผชิญกับชะตากรรมทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นการสูญสิ้นของชีวิต
และไม่คิดย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ โดยหวังว่าจะสร้างแต่กรรมดี ละเว้นจากการกระทำกรรมชั่ว
และขอวิงวอนท่านผู้อ่านโปรดสะสมแต่กรรมดี หมั่นสร้างแต่กุศลกรรม
เพื่อจะได้เป็นการเสริมสร้างบารมีของตนเอง และครอบครัวให้ได้พบกับความสุขความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป


จากหนังสือ โลกทิพย์ ประจำเดือน มกราคม 2550


Create Date : 22 มีนาคม 2552
Last Update : 22 มีนาคม 2552 20:25:39 น. 0 comments
Counter : 906 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.