ดาวในวงการกีฬา



ดาวในวงการกีฬา



ดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล

ดาวรุ่งในที่นี้ คือ เล่นกีฬาเก่งมากๆระดับโลก ในขณะที่อายุยังน้อย เช่น โมนิกา เซเลส ได้แชมป์ 8 แกรนด์สแลม เมื่อตอนอายุ 19 ปี

รอนนี โอ ซุลลิแวน คว้าแชมป์สนุกเกอร์ ยูเค แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งมีศักดิ์ศรีใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากชิงแชมป์โลก ในวัย 17 ปี

และเอียน ธอร์ป (Ian Thorpe) ฉลามหนุ่มชาวออสซี่ ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิค 3 ทอง 1 เงิน ที่ซิดนีย์ ขณะอายุ 17 ปีเท่านั้นเอง




สำนักข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษ จัดให้ผู้ฟังและผู้อ่านในประเทศอังกฤษลงคะแนนโหวตว่าใครคือดาวรุ่งทางกีฬาที่เจ๋งที่สุดตลอดกาลในความคิดของตนเอง

ซึ่งคำตอบที่ได้ออกมา ผู้ที่ได้คะแนนนำ ไม่ใช่นักกีฬาทั้ง 3 คนข้างบน
แต่เป็น…..





อันดับ 9 : ไทเกอร์ วูดส์ ยอดโปรกอล์ฟชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คนนับล้านๆคนทั่วโลกหันมาออกรอบหวดลูกลงหลุมกัน

ขณะที่ไทเกอร์อายุ 15 ปีนั้น ตอนนั้นเขาคว้าแชมป์ ยูเอส จูเนียร์ อเมเจอร์ แล้ว ซึ่งเป็นสถิติอายุที่น้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา พอเขาอายุ 16 ปีเขาก็เป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดที่เล่นในพีจีเอ ทัวร์

จากนั้นเขายังทุบสถิติอายุที่น้อยที่สุดอีก ด้วยการเป็นแชมป์ ยูเอส อเมเจอร์ เมื่ออายุเพียง 18 ปี จากเจ้าเสือน้อยที่คนเคยพูดถึงในวันนั้น เขาก็กลายมาเป็นพญาเสือในวันนี้ ตำแหน่ง 10 แชมป์แกรนด์สแลม จึงเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนอย่างเขา


อันดับ 8 : นาเดีย โคมาเนชี ราชินีนักยิมนาสติกสาวชาวโรมาเนีย ที่ดังระเบิดในโลกกีฬาโอลิมปิกในปี 1976 เพราะเธอเป็นมนุษย์คนแรกของโลก ที่ทำ Perfect Ten หรือสิบคะแนนเต็ม แบบที่น่าอัศจรรย์ไม่น่าจะเป็นจริงได้

แล้วเธอก็ทำอย่างนั้นได้อีกถึง 6 ครั้ง ฟังข่าวนี้แล้ว คนทั่วโลกถึงกับอ้าปากค้างและขนลุก ในงานนี้ ตัวเธอเองคนเดียวคว้าเหรียญโอลิมปิกได้ถึง 3 ทอง 1 เงิน และอีก 1 ทองแดง ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้น
เมื่อตอนเธออายุ 14 ปี





อันดับ 7 : มาร์ตินา ฮินกิส สาวน้อยมหัศจรรย์แห่งวงการเทนนิส ชาวสวิส ขอเขียนถึงเธอสั้นๆว่า โคตรยอดเยี่ยม

เธอเป็นผู้ที่สามารถคว้าแชมป์เทนนิสโลก 3 จาก 4 แกรนด์สแลมได้ ภายในปีเดียว เมื่อตอนเธออายุแค่ 16 ปี ซึ่งในปีเดียวกันนี้ เธอยังเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกที่อายุน้อยที่สุด บางทีคำว่า ตำนาน ยังน้อยเกินไปสำหรับเธอ




อันดับ 6 : เวย์น รูนีย์ ต้องขอย้ำซะก่อนว่า ผลของการลงคะแนนเหล่านี้ ได้มาจากชาวอังกฤษผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลเป็นบ้าเป็นหลัง

ชื่อของเจ้าหนู หรือที่ใครๆก็เรียกว่า เจ้าหมูบินรูนีย์ คงแทบไม่ต้องอธิบายให้มากความสำหรับชาวอังกฤษ นับจากประตูแจ้งเกิดสุดสวย ที่ซัดดับชีพอาร์เซนอล

นับจากนั้นมา ไม่มีแม้แต่วันเดียว ที่จะไม่มีชื่อ รูนีย์ ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายค่ายมาอยู่ที่ แมนฯ ยูฯ ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ขณะที่อายุ 18 ปี





อันดับ 5 : ไมเคิล โอเวน คนที่ทำประตูสุดสวย ช่วยให้อังกฤษพิชิตอาร์เจนตินา ในเวิลด์คัพปี 1998 ซึ่งขณะนั้น เบบี้โกลของเรามีอายุเพียงแค่ 17 ปี

ในอดีตเขาคือกำลังหลักของทีมลิเวอร์พูล แต่ปัจจุบันเขาเป็นกำลังหลักของทีมนิวคาสเซิล และแน่นอนของทีมสิงโตคำราม


ส่วนอันดับ 4 : คือ ซาชิน เทนดูลคาร์ นักคริกเกตชาวอินเดีย ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังดุจจรวด ตั้งแต่อายุ 16 ปี ซึ่งแม้เมืองไทยจะไม่นิยมกีฬาคริกเกต แต่ในเมืองผู้ดีนั้นเขาคลั่งกีฬาชนิดนี้ ไม่ได้น้อยหน้ากีฬาฟุตบอลเท่าใดนัก





อันดับ 3 : บอริส เบคเกอร์ นักเทนนิสชาวเยอรมันที่เคยคว้าตำแหน่งเป็นมือหนึ่งของโลก การได้ชมเบคเกอร์ตีเทนนิสนั้น ว่ากันว่าเป็นความตื่นเต้นตื่นตาบวกกับลูกเสิร์ฟอันทรงพลังของเขา

ทำให้วันที่เขาคว้าแชมป์ชายเดี่ยววิมเบิลดัน 1 ใน 4 แกรนด์สแลม เป็นวันที่ชาวอังกฤษประทับใจเขาติดตามิรู้ลืม เขาทำสถิติเป็นนักหวดที่อายุน้อยที่สุด ที่คว้าแชมป์วิมเบิลดัน ด้วยวัยเพียง 17 ปี





แล้วก็มาถึงอันดับ 2 : เจ้าของฉายา โบยบินเหมือนผีเสื้อและต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง หรือสิงห์จอมโว มูฮัมหมัด อาลี




คนส่วนใหญ่ทั่วโลกจะรู้จักชื่อเสียงของอาลีเป็นอย่างดีบนสังเวียนมวยอาชีพ แต่ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนชื่อจาก คาสเซียส เคลย์ ชื่อเดิม มาเป็นชื่อ มูฮัมหมัด อาลี ในแบบมุสลิม โลกก็ทึ่งกับกำปั้นของเคลย์ ตั้งแต่เขาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกปี 1960 ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปี

ประวัติของอาลี ยิ่งใหญ่ขนาดที่ฮอลลีวู้ดนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ใหญ่ นำแสดงโดยวิล สมิธ และภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม และสาขาผู้แสดงสมทบชาย ในปี พ.ศ.2545 ด้วย





ลำดับสุดท้ายแล้ว ดาวรุ่งกีฬาที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล อันดับ 1 : เปเล่ จากบราซิล




เจ้าของฉายา ราชาไข่มุกดำ เป็นเจ้าของแชมป์ด้วยคะแนนโหวตว่าเป็นดาวรุ่งกีฬาที่ยอดเยี่ยมสูงสุด

ในเวิลด์คัพปี 1958 คนที่โชคดีเกิดมาทันหรือเคยได้ดูเทป จะได้เห็น เขาร่ายมนตร์ลูกหนังใส่ลงในกีฬาฟุตบอลในฟุตบอลโลกครั้งนั้น เป็นปีที่เจ้าหนูเปเล่ มีอายุแค่ 17 ปี แต่เขาสามารถสู้กับผู้ใหญ่ที่คร่ำหวอดกับกีฬาฟุตบอลมานานอย่างไม่กลัวเกรง ตะบันเบ็ดเสร็จรวม 6 ประตูชัย ช่วยทำให้ทีมบราซิลเถลิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ จากความสามารถของเขาโดยแท้







ดาวเด่นบอลโลก2006

ที่มา: น.ส.พ.บ้านเมือง วันอาทิตย์ 1 มกราคม 2549


โรนัลดินโญ : โรนัลดินโญ เดอ แอสซิส โมไรรา
ว/ด/ป เกิด : 21/03/1980 เกิดที่ : ปอร์โต อเลเกร, บราซิล
สัญชาติ : บราซิล สูง : 180 ซม. น้ำหนัก : 80 กก.
ลงเล่นทีมชาติ : 70 นัด ประตู : 16
สโมสร 1998 - 2001 : เกรมิโอ 2001 - 2003 : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2003 - ปัจจุบัน : บาร์เซโลนา



โรนัลดินโญ หนุ่มน้อยจากแดนแซมบ้า มีนามเต็มๆ ว่า โรนัลดินโญ เดอ แอสซิส โมไรรา เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1980 ที่เมือง ปอร์โต อเลเกร ประเทศบราซิล ซึ่งเจ้าตัว เหยินน้อย เกิดในครอบครัวของนักฟุตบอล โดยมีคุณพ่อ เจา ดา ซิลวา โมไรรา กับ โรแบร์โต พี่ชายของเขา เป็นนักฟุตบอล เหยินน้อย เริ่มฝึกหัดฟุตบอลกับสโมสร เกรมิโอ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ก่อนจะกลายเป็นนักเตะอาชีพเมื่อปี 1997 เมื่ออายุ 17 ปี


ผลงานในสโมสร : โรนัลดินโญ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร เกรมิโอ ในลีกของบราซิล ซึ่งเจ้าตัวสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดๆ โดยเฉพาะลีลาการกระชากลากเลื้อยที่เด็ดสะระตี่ โดยลงสนามรับใช้ทีม เกรมิโอ เป็นเวลาทั้งสิ้น 3 ปี ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยอดทีมจากเมืองน้ำหอม ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอล ในเมืองหลวงฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าจะไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์อะไรมาครองได้เลยก็ตาม หลังจากรับใช้ ปารีสฯ อยู่ 2 ปี เหยินน้อย ก็ย้ายไปร่วมทัพกับ เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลนา ยอดทีมจากแดนกระทิงดุ ด้วยค่าตัว 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,575 ล้านบาท) ซึ่งที่นี่เอง ทำให้ โรนัลดินโญ โชว์ผลงานได้กระหึ่มโลกอยู่จนถึงทุกวันนี้

โดยเมื่อปีที่แล้วได้พาทีม บาร์เซโลนา คว้าแชมป์ฟุตบอล ลา ลีกา ของสเปน มาครองเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และเจ้าตัวก็สามารถคว้า 3 รางวัลอันยิ่งใหญ่อย่าง ฟิฟโปร, บัลลงดอร์ ของนิตยสาร ฟรองซ์ ฟุตบอล และนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า


ผลงานในทีมชาติ : เหยินน้อย เริ่มต้นทีมชาติด้วยการติดทีมบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ชุดลุยศึกชิงแชมป์โลก ที่ประเทศอียิปต์ เมื่อปี 1997 ซึ่ง โรนัลดินโญ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์มาครองได้ และตนเองยังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด และตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยม (MVP) มาครองด้วย

หลังจากนั้นเขาก็ถูกดันขึ้นมาติดชุดลุยศึก ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 1999 ซึ่ง ดินโญ ก็ยังคว้าตำแหน่ง ดาวซัลโวสูงสุด มาครองได้อีกครั้ง ก่อนจะติดทีมทำศึกโอลิมปิกเกมส์ที่ ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2000 ซึ่งเจ้าตัวก็ยิงได้ถึง 9 ประตูด้วยกัน

และอีก 2 ปีต่อมานั้น โรนัลดินโญ ประสบความสำเร็จสูงสุดกับทีมชาติ เมื่อคว้าแชมป์โลกในปี 2002 มาครองได้สำเร็จ และในฟุตบอลโลกปี 2006 ครั้งนี้ เจ้าตัวก็จะเป็นกำลังสำคัญของทีม เซเลเซา ที่จะพาทีมมาคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ให้ได้




ทรรศนะ : ปี 2005 นั้น นับเป็นปีทองของ โรนัลดินโญ อย่างแท้จริง ทำให้เขาถูกจับตามองในฟุตบอลโลก ปี 2006 เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาคือหัวใจสำคัญของทีมชาติบราซิลชุดนี้เลยทีเดียว

นอกจากลีลากระชากลากเลื้อยที่สุดจะคลาสสิกแล้ว ดินโญ ยังคงมีทีเด็ดอยู่ที่ลูกฟรีคิก ที่แม้ว่าจะไม่แม่นเท่า เดวิด เบคแฮม แต่ฟรีคิกของเขานั้นก็ยังเชื่อใจได้ แถมในศึกฟุตบอลโลก2006 ครั้งนี้ บราซิล ยังถูกจับให้อยู่ในสายที่ไม่แข็งมาก ทำให้ โรนัลดินโญ จะสามารถโชว์พรสวรรค์ที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่แน่นอน ดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ มี 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว




รูนีย์ : เวย์น รูนีย์
ว/ด/ป เกิด : 24/08/1985 เกิดที่ : ลิเวอร์พูล, อังกฤษ
สัญชาติ : อังกฤษ สูง : 178 ซม. น้ำหนัก : 78 กก.
ลงเล่นทีมชาติ : 31 นัด ประตู : 11
สโมสร 2002 - 2004 : เอฟเวอร์ตัน
2004 - ปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด




ไอ้หมูบิน เวย์น รูนีย์ ถือเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในขณะนี้ รูนีย์ เกิดวันที่ 24 ตุลาคม 1985 ในเมืองลิเวอร์พูล โดยครอบครัวของ รูนีย์ นั้นเป็นแฟนบอลของ เอฟเวอร์โตเนียน ซึ่งก่อนที่ รูนีย์ จะได้เซ็นสัญญากับ เอฟเวอร์ตัน ตัวเขานั้นโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดกับทีม คอปเปอร์เฮาส์ โดยลงเล่นใน จูเนียร์ลีก ยิงไปทั้งหมด 99 ประตูด้วยกัน


ผลงานในสโมสร : รูนีย์ ลงสนามในพรีเมียร์ลีก ให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในเกมพบกับ ไก่เดือยทอง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แต่คนในเมืองผู้ดีนั้น รู้จักชื่อ เวย์น รูนีย์ อย่างเต็มตัวในเกมที่ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน เฉือนเอาชนะ ไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซนอล ในปี 2002

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวย์น รูนีย์ ก็ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก และเจ้าตัวก็เริ่มพัฒนาความสามารถขึ้นมาเรื่อยๆ จนในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 บรรดายักษ์ใหญ่อย่าง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ได้รุมแย่งตัวของ รูนีย์ ไปร่วมทีม แต่แล้ว ไอ้หมูบิน ก็ได้ตัดสินใจแปรพักตร์เป็นสาวก ปีศาจแดง ด้วยค่าตัวจำนวนมหาศาลถึง 25 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,875 ล้านบาท) ซึ่งการลงสนามของเจ้าตัวในปีแรก ก็ไม่ทำให้แฟนบอล เรด เดวิลส์ ต้องผิดหวัง เมื่อลงเล่นในลีกทั้งหมด 33 เกมยิงไปจำนวน 11 ประตูด้วยกัน ขยับขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมโดยปริยาย

และในปี 2004 ยังได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษไปครอง ส่วนในปี 2005 ไอ้หนูวัย 20 ปี ก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมลงเล่นไปแล้ว 26 นัด ยิงไปทั้งหมด 10 ประตู


ผลงานในทีมชาติ : หนุ่มน้อยจากเมืองลิเวอร์พูล เริ่มต้นการติดทีมชาติในชุด ยู 19 ปี ด้วยอายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น และหลังจากโชว์ฟอร์มกับต้นสังกัดได้อย่างยอดเยี่ยม ก็ถูก สเวน ยอแรน อีริคสัน เรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และประเดิมสนามในเกมที่พบกับ ออสเตรเลีย ในเดือนมีนาคม ปี 2003 และกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุด ที่ลงเล่นในนามทีมชาติอังกฤษ


อีก 7 เดือนต่อมา รูนีย์ ก็กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด ที่ยิงประตูให้กับทีมชาติ หลังยิงไป 1 ประตูในเกมที่พบกับ มาซิโดเนีย ซึ่งหลังจากนั้น รูนีย์ ก็เดินเข้าออกในแคมป์ทีมสิงโตคำรามอย่างต่อเนื่อง จนติดทีมไปทำศึกฟุตบอลยูโร 2004 ที่โปรตุเกส

และในฟุตบอลรายการนี้เอง ชื่อเสียงของ รูนีย์ ดังกระฉ่อน หลังจากเป็นกำลังสำคัญให้ทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่จะมีอาการบาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนตัวออก ในเกมที่พบกับ โปรตุเกส ซึ่งจบเกม อังกฤษ เป็นฝ่ายพ่ายให้กับเจ้าภาพไป

ซึ่งในรายการนี้ รูนีย์ ยิงได้ 4 ประตูด้วยกัน และยังเป็นกำลังสำคัญที่นำพลพรรค ทรีไลออนส์ ไปลุยฟุตบอลโลกในเมืองเบียร์ในปี2006
ได้อีกด้วย




ทรรศนะ : ทุกคนยังติดใจในฝีเท้าของไอ้หนูรายนี้ในศึกฟุตบอล ยูโร 2004 อยู่ แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวนั้นเกิดอาการบาดเจ็บเสียก่อน ซึ่งด้วยสไตล์การเล่นที่ บู๊ ดุดัน และวิ่งไม่มีหยุดของ รูนีย์ ทำให้เขาได้เป็นนักเตะสำคัญที่ทางทีมชาติอังกฤษ จะขาดไม่ได้เสียแล้ว

แต่เจ้าตัวนั้นก็ยังคงมีปัญหาในด้านการควบคุมอารมณ์อยู่เล็กน้อย แต่เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว หลังจากได้รับการสั่งสอนจากบรมครู เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของ รูนีย์ มีสูงมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน เนื่องจากทีมชาติอังกฤษนั้นมีผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสอย่าง เดวิด เบคแฮม, สตีเวน เจอร์ราร์ด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด คอยเปิดป้อนบอลให้พังประตู


“เฟอร์กี” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เวย์น รูนีย์ เป็นดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ตนเคยพบมา ฉายแววจะสืบทอดตำนานแข้งของ จอร์จ เบสต์ นักเตะผู้ยิ่งใหญ่ของ "ผีแดง" ที่เพิ่งจากไปเมื่อ 25 พ.ย. ที่ผ่านมาได้ โดยเขากล่าวว่า "ผมหวังเสมอว่าจะเห็นใคร ฉายแววสืบทอด จอร์จ เบสต์ บ้าง เวย์น รูนีย์ อายุแค่ 20 และไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาเป็นนักเตะหนุ่มที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ถ้าเขายังรักษาระดับฝีเท้าของตนเองและพัฒนาขึ้นอีกต่อไป ใครจะไปรู้ว่าเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนในอนาคต แต่ในขณะนี้เขามีค่าในเกมมาก"




ปาร์ก จี ซุง : ปาร์ก จี ซุง
ว/ด/ป เกิด : 25/02/1981 เกิดที่ : โซล, เกาหลีใต้
สัญชาติ : เกาหลีใต้ สูง : 175 ซม. น้ำหนัก : 70 กก.
ลงเล่นทีมชาติ : 53 นัด ประตู : 5
สโมสร 1999 - 2000 : เพอร์เพิล ซังกา 2002 - 2005 : พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน 2005 - ปัจจุบัน : แมนฯ ยูไนเต็ด



ปาร์ก จี ซุง หนุ่มน้อยหน้าตี๋ตาตี่ หลุดออกมาจากท้องแม่ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 1981 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และเริ่มต้นอาชีพค้าแข้ง ด้วยอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น กับทีมเล็กๆ ในดิวิชั่น 2
ของประเทศญี่ปุ่น


ผลงานในสโมสร : ปาร์ก ได้เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับสโมสร เพอร์เพิล ซังกา ในดิวิชั่น 2 ของดินแดนญี่ปุ่น ซึ่ง ปาร์ก ก็สามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 ของลีกญี่ปุ่นมาครองได้ ก่อนที่จะย้ายมาค้าแข้งในประเทศ ฮอลแลนด์ กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน เมื่อปี 2002 ด้วยการชักนำของ กุด ฮิดดิง อดีตกุนซือทีมชาติเกาหลีใต้ ที่หนีบเขามาด้วยหลังจากตกลงมารับงานที่แดนกังหันลม


ซึ่งในฤดูกาลแรกของ ปาร์ก นั้น ยังไม่ค่อยโสภาเท่าไร เนื่องจากยังมีปัญหาในการปรับตัวอยู่มาก ทำให้หนุ่มน้อยชาวเกาหลีใต้ได้ลงสนามไปแค่เพียง 7 เกมเท่านั้น แต่ในปีต่อมาหลังจากที่ ปาร์ก ได้เริ่มปรับตัวเขากับบรรยากาศได้แล้ว เขาก็เริ่มเรียกฟอร์มเก่งของเขากลับมาได้ พร้อมกับขยับขึ้นมาเป็นแกนหลักในทีม พีเอสวี ในฤดูกาล 2003 - 2004 ซึ่งปาร์ก ลงสนามไปทั้งหมด 38 เกมยิงไปทั้งหมด 6 ประตูด้วยกัน


แต่ความร้อนแรงของ ปาร์ก ยังไม่หยุดแค่นั้น ในปี 2004 - 2005 ถือว่าเป็นปีทองของ ปาร์ก เลยทีเดียว หลังจากขึ้นมาเป็นแกนหลักในทีม พีเอสวี อย่างเต็มตัว และสามารถนำทีมคว้าแชมป์ ดิวิชั้น 1 ของฮอลแลนด์มาครองได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังเกือบพาทีมผ่านเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องพลาดท่าเมื่อโดน ปีศาจแดง-ดำ เอซี มิลาน เฉือนเอาชนะเข้ารอบไป แต่ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมในนัดที่เจอ มิลาน ทั้งสองเกมนั้น ทำให้ทั่วทั้งยุโรป ได้รู้จักชื่อของ ปาร์ก จี ซุง มากขึ้น


จนทาง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมจากเมืองผู้ดี ดึงตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 300 ล้านบาท) ซึ่งตอนแรกหลายฝ่ายคิดว่าการมาเล่นในลีกผู้ดีของ ปาร์ก นั้น อาจจะเป็นการตัดสินใจผิด แต่หนุ่มน้อยพลังโสมก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาไม่มีปัญหาใดๆ ให้กลุ้มใจ ซึ่งสามารถปรับตัวกับทีมได้อย่างสบายๆ และได้กลายเป็นกำลังหลักของทีมไปโดยปริยาย ซึ่งในปัจจุบันนี้ ปาร์ก ลงสนามให้ แมนฯ ยูฯ ไปแล้ว 27 นัด ยิงไปแล้ว 1 ประตูด้วยกัน


ผลงานในทีมชาติ : ปาร์ก ได้ถูกเรียกตัว ติดทีมชาติเกาหลีใต้ครั้งแรกเมื่อปี 2000 ในเกมที่พบกับ เม็กซิโก และก็ติด 1 ใน 23 คนของทีมโสมขาว เพื่อลุยศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โดยในเกมที่พบกับ โปรตุเกส ที่ปาร์ก เป็นผู้ยิงประตูชัยพร้อมทั้งถีบยอดทีมจากยุโรปตกรอบไปอย่างพลิกความคาดหมาย ก่อนที่ทีมเกาหลีใต้จะจบด้วยการคว้าอันดับที่ 4 มาครองได้


และในอีก 4 ปีต่อมา ปาร์ก ได้กลับมาเล่นฟุตบอลโลกอีกครั้ง หลังจากทีมชาติเกาหลีใต้ผ่านเข้ามาสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งในฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีทีแล้ว ปาร์ก ก็โชว์ฟอร์มได้ดีในระดับหนึ่ง ทำให้ในฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เมืองเบียร์ครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่า ปาร์ก จะพาทีมบ้านเกิดของเขาไปได้ไกลแค่ไหน




ทรรศนะ : ตั้งแต่ย้ายมาลงเล่นในยุโรป ความสามารถของ ปาร์ก เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไอ้หนุ่มจากแดนโสมขาวนั้น มีจุดเด่นอยู่ที่พละกำลังที่ตัวเขานั้นมีเหลือเฝือมาก เท่านั้นยังไม่พอ ปาร์ก ยังเป็นนักเตะที่สามารถหาตำแหน่งในการยืนได้ดีมากทีเดียว และยังเป็นคนที่ไม่ห่วงบอลและจ่ายบอลง่ายๆ ทำให้เพื่อนเล่นบอลได้ง่าย


ซึ่งด้วยการเล่นที่ง่ายๆ ของ ปาร์ก นั้น จะเป็นผู้ฉุดนำพาทีมชาติเกาหลีใต้เดินไปข้างหน้าในฟุตบอลโลก โดยทางเกาหลีใต้ ถูกอยู่ในสายเดียวกับ ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์ และ โตโก ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่งานง่ายของทีมจากเอเชีย และก็ไม่ยากเกินไป สาเหตุที่ทำให้ ปาร์ก น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ วิธีการเล่นที่ง่ายๆ แต่อันตรายสุดๆ และเขาก็เป็นเครื่องจักรสำคัญของทีมโสมขาวชุดนี้ ยิ่งจะทำให้เขามีบทบาทมากขึ้นไปอีก ดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของ ปาร์ก นั้น มี 50 เปอร์เซ็นต์




ดร็อกบา : ดิดิเยร์ ดร็อกบา
ว/ด/ป เกิด : 01/03/1978 เกิดที่ : อาบิยัน, ไอวอร์รี โคสต์
สัญชาติ : ไอวอรี โคสต์ สูง : 188 ซม. น้ำหนัก : 74 กก.
สโมสร 1998 - 2002 : เลอ ม็องส์ 2002 - 2003 : ก็องแก็ง 2003 - 2004 : โอลิมปิก มาร์กเซย์ 2004 - ปัจจุบัน : เชลซี




ดิดิเยร์ ดร็อกบา กองหน้าจอมโขกของ เชลซี เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1978 ในเมืองอาบิยัน ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ของประเทศ ไอวอรี โคสต์ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 8 ปี ช่วงนั้นเขาไม่คิดว่าจะได้มาเล่นในลีกต่างประเทศขนาดนี้ จนเมื่ออายุได้ประมาณ 17-18 ปี ก็มีทีมจากฝรั่งเศสมาเซ็นสัญญาไปร่วมทีม และจากนั้น คือ จุดเริ่มต้นของเขาในวงการ
ฟุตบอลจนถึงบัดนี้


ผลงานในสโมสร : ดร็อกบา เคยค้าแข้งที่ลี เมนส์ ในประเทศบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีม เลอ ม็องส์ ทีมใน ดิวิชั่น 2 ของลีกฝรั่งเศสในปี 1998 ซึ่งในปีแรกนั้น เด็กหนุ่มยังไม่เป็นที่ไว้วางใจของโค้ชเลย ไม่ค่อยได้ลงสนามเท่าที่ควร แต่ในปีต่อมาเจ้าตัวเริ่มสร้างความเชื่อมั่นให้กับเทรนเนอร์จนกลายเป็นตัวหลักของทีมมาตลอด 3 ปีที่เขาอยู่ในสโมสร เลอ ม็องส์ โดยลงสนามไปทั้งสิ้น 64 เกม ยิงไปทั้งสิน 12 ประตู ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ ก็องแก็ง ซึ่ง ดร็อกบา ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนทาง โอลิมปิก มาร์กเซย์ ดึงตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 300 ล้านบาท) ซึ่งเจ้าตัวยังเฉิดฉายแววอย่างต่อเนื่องในทีม โอเอ็ม ลงสนาม 46 เกมยิงไป 27 ประตู พร้อมผงาดซิวตำแหน่ง ดาวซัลโว ศึก ยูฟ่า คัพ มาครองได้ แม้จะไม่สามารถพาทีมเป็นแชมป์ ยูฟ่า คัพ ได้


จน โฆเซ มูรินโญ กุนซือของ สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ติดใจในตัวของกองหน้าวัย 27 ปีจนต้องดึงตัวมาร่วมทีมเมื่อปี 2004 ด้วยค่าตัวจำนวนมหาศาลถึง 24 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,800 ล้านบาท) โดยที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในตอนแรกนั้น ดร็อกบา ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องภาษา แต่ก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญเขายังเป็นแกนหลักในการพาทีม เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ คาร์ลิง คัพ มาครองได้ โดยลงเล่นทั้งหมด 60 นัด ยิงไปจำนวน 27 ประตู ส่วนในปี 2005 นั้น ดร็อกบา ก็ยังแรงไม่หยุด ในฤดูกาลนี้ยิงไปแล้ว 9 ประตูด้วยกัน


ผลงานในทีมชาติ : กับทีมชาตินั้น ดร็อกบา นั้น ถูกถือว่าเป็นพระเจ้าของชาว ไอวอรี โคสต์ เลยทีเดียว หลังจากประสบความสำเร็จพาทีมไปเล่นฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมนี ได้สำเร็จ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนั้น ดร็อกบา ยิงให้ทีม ตราช้าง
ไปถึง 9 ลูกด้วยกัน




ทรรศนะ : ฟุตบอลโลก 2006 ถือว่าเป็นครั้งแรกของ ไอวอรี โคสต์ และ ดร็อกบา ซึ่งแม้ว่าจะถูกจับให้อยู่ในสายแข็งร่วมกับ อาร์เจนตินา, เซอร์เบียฯ และ ฮอลแลนด์ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นของ ดร็อกบา ที่กำลังอยู่ในช่วงท็อปพีคสุดๆ ทำให้ทีมอื่นไม่สามารถที่จะประมาทเขาได้ โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ถือว่าเป็นลูกถนัดของ ดร็อกบา เลยทีเดียว แม้ว่าชื่อชั้นจะเป็นรองทุกทีมในกลุ่มนี้ แต่ถ้ามาเช็คตัวจริงล่ะก็ทีมของ ดร็อกบา ก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่ ดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้มี 60 เปอร์เซ็นต์




ริเควเม : ฮวน โรมัน ริเควเม
ว/ด/ป เกิด : 24/06/1978 เกิดที่ : บูเอโนสไอเรส, อาร์เจนตินา
สัญชาติ : อาร์เจนตินา สูง : 182 ซม. น้ำหนัก : 79 กก.
ลงเล่นทีมชาติ : 27 นัด ประตู : 7
สโมสร 1995 - 1996 : อาร์เจนตินอส จูเนียร์ 1996 - 2002 : โบคา จูเนียร์ 2002 - 2003 : บาร์เซโลนา 2003 - ปัจจุบัน : บียาร์รีล




ริเควเม ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1978 ที่ กรุงบูเอโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โดย ริเควเม เริ่มเล่นบอลตั้งแต่เล็กๆ เหมือนยอดนักฟุตบอลคนอื่นๆ ทั่วไป จนอายุ 17 ปี ความฝันของเด็กที่ชื่อ ริเควเม ที่บ้าฟุตบอลก็เป็นจริง เมื่อได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพในปี 1995


ผลงานในสโมสร : ริเควเม เริ่มต้นกับสโมสร อาร์เจนตินอส จูเนียร์ แต่เจ้าตัวไม่มีโอกาสลงสนามเลยแม้แต่นัดเดียว ทำให้ในปีต่อมาได้ย้ายไปเล่นให้กับ โบคา จูเนียร์ ทีมยักษ์ใหญ่ในแดน ฟ้า-ขาว ซึ่งที่โบคานั้น ได้เล็งเห็นความสามารถของ ริเควเม จึงเปิดโอกาสให้ลงสนาม และเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์ม ไม่ทำให้ทีมต้องผิดหวัง เมื่อลงสนาม 22 เกมยิงได้ 4 ประตูด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มพัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลัก
ของทีม โบคา จูเนียร์


และ ริเควเม ก็ร่ายเวทมนตร์ได้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ทำให้บรรดาทีมต่างๆ ในยุโรป จ้องตะครุบตัว และก็เป็น เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลนา สโมสรยักษ์ใหญ่จากแดนกระทิงดุคว้าตัวไปครองได้สำเร็จ แต่ในปีแรกที่สเปนนั้น ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเพลย์เมกเกอร์สายเลือดฟ้าขาว นั้นไม่สามารถที่จะยึดตัวจริงถาวรได้ ทำให้ต้องลุกๆ นั่งๆ ซุ้มม้านั่งสำรองอยู่ตลอดเวลา โดยในปีแรก โรมี ลงสนามไปทั้งหมด 41 เกม โดยตกเป็นตัวสำรองถึง 20 เกมด้วยกัน แต่ปีที่ 2 ในถิ่น คัมป์ นู ไม่ง่ายเลย เมื่อไม่สามารถเบียดขึ้นมาเป็นตัวจริงได้


ทำให้ต้องระเห็จไปอยู่กับ บียาร์รีล เพื่อนร่วมลีกของ บาร์เซโลนา และที่นี่เองที่ทำให้ ริเควเม ระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาจนได้ โดยเฉพาะฤดูกาล 2004 - 2005 ถือว่าเป็นปีทองของ ริเควเม เลยทีเดียว โดยเจ้าตัวลงสนามทั้งหมด 39 เกม และยิงได้ถึง 18 ประตู พร้อมทั้งพาต้นสังกัดผงาดเข้าไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ขณะที่ในปีนี้เจ้าตัวก็ยังคงร่ายฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในลีก ที่ลงสนามไป 14 นัด ยิงได้ถึง 7 ประตู ซึ่งดูแล้วความร้อนแรงของ ริเควเม
ยังไม่หยุดแค่นี้แน่นอน


ผลงานในทีมชาติ : ในทีม ฟ้า-ขาว อาร์เจนตินา นั้น โรมี ได้ลงสนามเป็นนัดแรกในเกมที่พบกับ โคลัมเบีย ซึ่งในเกมนั้นทั้งสองทีมเสมอกันไป แต่เจ้าตัวยังได้โอกาสลงสนามไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากในตำแหน่งของเขานั้น มี ฮวน เซบาสเตียน เวรอน เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ อินเตอร์ มิลาน คอยขวางทางอยู่ แต่หลังจากที่ เวรอน ได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาว โอกาสของ ริเควเม ก็มาถึง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนตินาต้องผิดหวัง โดยเฉพาะ โฆเซ เปอร์เกมัน เทรนเนอร์คนปัจจุบัน เมื่อ โรมี สามารถร่ายเวทมนตร์พาทีมผงาดผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ในฐานะแชมป์ของโซนอเมริกาใต้ ขณะเดียวกัน ริเควเม ก็สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติอาร์เจนตินาได้สำเร็จและคาดว่า เปอร์เกมัน จะใช้ โรมี เป็นแกนหลักในทีม ฟ้า-ขาว ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน


ทรรศนะ : หลังจากที่ โฆเซ เปอร์เกมัน เทรนเนอร์ของ อาร์เจนตินา ได้ออกมาประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า ฮวน โรมัน ริเควเม นั้นเหนือกว่า โรนัลดินโญ เจ้าของตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมถึง 3 รางวัล ทำให้ทั่วโลกนั้นเริ่มจะนำเขามาเปรียบเทียบในทันที ริเควเม นั้นเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่มีจุดเด่นในเรื่องการจ่ายบอล ซึ่ง โรมี มักจะทำได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอ โดยเฉพาะจังหวะการจ่ายบอลคิลเลอร์พาส ที่สร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูมาได้นักต่อนักแล้ว ขณะที่ลูกยิงฟรีคิกก็ถือว่าเป็นมือสังหารที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครเช่นกัน ถึงแม้ในครั้งนี้อาร์เจนตินาจะอยู่ในสายหนักไม่ใช่เล่น แต่ก็ยังไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่ ริเควเม จะนำพาทีมชาติอาร์เจนตินาไปถึงฝั่งฝัน สำหรับโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของ ริเควเม นั้นมี 60 เปอร์เซ็นต์




อังเดร เชฟเชนโก : อังเดร เชฟเชนโก
ว/ด/ป เกิด : 29/09/1976 เกิดที่ : ดวิเคียเชนา, ยูเครน
สัญชาติ : ยูเครน สูง : 183 ซม.แน้ำหนัก : 72 กก.
สโมสร 1994 - 1999 : ดินาโม เคียฟ 1999 - ปัจจุบัน : เอซี มิลาน




จรวดยูเครน อังเดร เชฟเชนโก ลืมตาดูโลกครั้งแรกเมื่อ 29 พฤศจิกายน 1976 ที่เมือง ดวิเคียเชนา ซึ่งใกล้เมืองเคียฟ เชว่า เริ่มหลงใหลในฟุตบอลตั้งแต่เด็ก และได้เริ่มเล่นฟุตบอลด้วยการเป็นเยาวชนของสโมสร ดินาโม เคียฟ และด้วยความสามารถที่มากเกินวัย เชฟเชนโก ก็ถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น


ผลงานในสโมสร : ปีแรกในทีมชุดใหญ่ของ เชฟเชนโก นั้น เจ้าตัวยังไม่ค่อยได้ลงสนามมากเท่าไหร่ เนื่องจากทางโค้ชนั้นยังเห็นว่ายังเด็กอยู่ แต่ในฤดูกาล 1995 - 1996 เชฟเชนโก ก็เริ่มฉายแววยอดนักเตะมากขึ้น เมื่อสามารถยิงได้มากถึง 16 ประตู จากการลงสนาม 31 นัดติดกัน


หลังจากนั้นเป็นต้นมา เชว่า ก็สามารถยึดตัวจริงในทีม ดินาโม เคียฟ ได้ตลอด และสามารถยิงประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนในฤดูกาล 1998 - 1999 เชฟเชนโก ก็ระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาจนเตะตาบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป ด้วยการยิงได้ทั้งหมด 28 ประตูจากการลงสนามทั้งหมด 44 เกม ซึ่งในปีนี้เจ้าตัวยังสามารคว้ารางวัล ดาวซัลโว
ของลีกยูเครน


ทำให้ในฤดูกาล 1999 - 2000 ทาง ปีศาจแดง-ดำ เอซี มิลาน ยอดทีมจากแดนมะกะโรนี ดึงตัวร่วมทีมด้วยค่าตัวจำนวนมหาศาลถึง 26 ล้านดอลลาร์ (1,040 ล้านบาท) และปีแรกในการลงสนามในถิ่น ซาน ซิโร เชว่า ก็สร้างความตื่นตะลึงด้วยคว้าตำแหน่งรางวัล ดาวซัลโวสูงสุด ของลีกมาครองได้สำเร็จหลังจากกดไปทั้งหมด 24 ประตู ซึ่งจากนั้นมา เชว่า ก็กลายเป็นดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีม ปีศาจแดง-ดำ มาตลอดจนถึงบัดนี้


ซึ่งในปี 2004 ก็ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของเชฟเชนโกเลยทีเดียว เมื่อพาทีม เอซี มิลาน ผงาดเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ และเท่านั้นยังไม่พอปลายปี เชว่า ก็ได้ถูกรับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลง ดอร์ ประจำปี 2004 ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของ เชฟเชนโก เลยก็เป็นได้


ผลงานในทีมชาติ : แม้ว่าชื่อของ อังเดร เชฟเชนโกนั้น จะติดหูแฟนบอลมาเนิ่นนานแล้ว ก็เฉพาะในสโมสรเท่านั้น แต่กับทีมชาติยูเครนนั้น เชื่อว่าแฟนบอลไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไร โดยเฉพาะกับรายการใหญ่ๆ อย่างฟุตบอลโลก เพราะว่า ทีมชาติยูเครนไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรายการใหญ่ได้บ่อยครั้ง โดย เชฟเชนโก ได้ลงสนามเล่นกับทีมชาติครั้งแรกในปี 1995 ในเกมพบกับ โครเอเชีย โดยเจ้าตัวมีเป้าหมายสูงสุด คือการพาทีมชาติยูเครนไปเล่นฟุตบอลโลกให้ได้ และเจ้าตัวก็สามารถทำได้สำเร็จ เมื่อพาทีมไปลุยศึกฟุตบอลโลกฉบับเมืองเบียร์ได้ ซึ่งนี้เองทำให้เป็นที่น่าจับตามองว่าการเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกของ เชฟเชนโก นั้นจะทำได้ดีแค่ไหน




ทรรศนะ : ฟุตบอลโลกปี 2006 ฉบับเมืองเบียร์ ถือว่าเป็นครั้งแรกของ ยูเครน และของ เชฟเชนโก ซึ่งยอดทีมจากยุโรปตะวันออกนั้น ถูกจับให้อยู่สายเดียวกับ สเปน, ตูนิเซีย และ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นสายที่ไม่แข็งมาก ทำให้ อังเดร เชฟเชนโก มีโอกาสที่ดี ที่จะสร้างชื่อเสียง
ให้กับตัวเองอีกครั้ง


เชว่า นั้นมีจุดเด่นที่ความเร็ว และความแม่นยำในการยิงประตู หากมีโอกาสจะๆ เมื่อไร โอกาสที่พลาดการได้ประตูนั้นยาก ซึ่งการที่อยู่ในสายที่ไม่แข็งเช่นนี้ ทำให้ เชว่า มีโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้มากถึง 60 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว.





โดย yyswim




 

Create Date : 24 เมษายน 2549    
Last Update : 24 เมษายน 2549 0:44:08 น.
Counter : 1936 Pageviews.  

นิทานสร้างคน




นิทานสร้างคน


#1 นิทานดีกว่าทีวี



“กระต่ายกับเต่า”
นิทานยอดฮิตตลอดกาลที่อยู่ในใจของใครต่อใครหลายคน

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า การเล่านิทานก่อนนอน คือความโหยหาของเด็กๆ และคงจะปฏิเสธไม่ได้อีกว่า นิทานสามารถจะช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของเด็กได้ดีอีกทางหนึ่ง


การที่พ่อแม่สละเวลาเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง อาจจะทำเพียงวันละ 15-20 นาทีเท่านั้น แต่ผลที่ได้รับตามมานั้น นับว่าคุ้มค่ามหาศาล

ดีกว่าการปล่อยให้เด็กอยู่แต่กับทีวีตามลำพัง

เพราะการฟังนิทาน เด็กจะได้รับทั้งความชอบ การซักถาม และความรู้สึกอันอบอุ่น


การเล่านิทานให้เด็กฟัง สามารถทำได้ตั้งแต่แม่เริ่มรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ เพราะสมองของเด็กสามารถจะได้ยินเสียงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เสียงที่มีความไพเราะ เสียงที่ทำให้เด็กในท้องสบายใจ ก็คือเสียงที่บอกถึงความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่นั่นเอง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ช่วงเด็กแรกเกิด - 6 ขวบ
จะเป็นช่วงที่มหัศจรรย์มาก เป็นช่วงที่สมองของเด็กจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าปกติด้วย จึงเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะเล่านิทานให้ลูกฟัง และพูดคุยกับลูกบ่อยๆ


การเล่านิทาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ฟังคนอื่นเขาเล่ามา อ่านมาจากหนังสือ หรือแต่งเองก็ตาม ล้วนแล้วแต่เกิดผลดีทั้งนั้น

เพราะธรรมชาติของเด็ก จะชอบฟังเสียงและจะชอบดูท่าทาง ยิ่งพอเล่าให้ฟังแล้ว พ่อแม่ช่วยใส่ท่าทางและน้ำเสียงให้สนุกตื่นเต้นด้วย เด็กก็จะยิ่งรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน หัวเราะอย่างชนิดลืมเวลาเลยทีเดียว เด็กจะรู้สึกมีความสุขและนอนหลับสนิทหรืออาจจะฝันดี ทั้งๆที่ใช้เวลาในการฟังนิทานก่อนนอนแค่15-20 นาทีเท่านั้นเอง





ครอบครัวเขมะโยธิน เป็นครอบครัวหนึ่งที่มีความตั้งใจเล่านิทานให้ลูกฟังอย่างสม่ำเสมอ

กวาง-กมลชนก เขมะโยธิน ดาราสาวเล่าว่า

"น้องเน็ตลูกชาย จะชอบให้แม่เล่านิทานให้ฟัง เพราะเขาบอกว่าแม่ทำเสียงสัตว์ตลกดี บางครั้งที่กวางไม่อยู่ คุณพ่อน็อตก็จะเล่าให้ฟังแทน นอกจากจะเป็นประโยชน์กับลูกแล้ว ยังทำให้ครอบครัวของเรา
ได้คุยกันมากขึ้นด้วย"


“การเล่านิทานนี่แหละ ที่ทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างพ่อแม่กับลูกอยู่ตลอดเวลา ได้รู้ว่าขณะนี้น้องเน็ตมีพัฒนาการไปถึงขั้นไหนแล้ว

ช่วงเวลาก่อนนอน น้องเน็ตเขาจะชอบให้เล่านิทานให้เขาฟังมาก และจะชอบให้แม่หรือพ่อเลียนเสียงสัตว์ต่างๆประกอบในขณะที่เล่า มีบ้างเหมือนกันที่ถามขึ้นเองระหว่างที่เล่าว่า แม่ครับเสือมันร้องยังไง แม่ครับช้างมันเดินยังไง ก็จะทำเสียงให้น้องเน็ตฟัง แสดงท่าทางให้เขาดู เราก็สนุกสนานกันตามประสาแม่ลูก”


"เพื่อนบ้านของกวาง เขามีลูกอยู่ในวัยเดียวกันเลย แต่ลูกเขายังไม่ยอมพูด ซึ่งขณะนั้นลูกของกวางพูดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

แต่ก็มีอยู่สาเหตุหนึ่ง ที่ครอบครัวของเราต่างกับครอบครัวของเขา คือ ครอบครัวของเราจะเลี้ยงลูกด้วยการเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน ส่วนครอบครัวของเขามักจะให้ลูกเขาดูโทรทัศน์เป็นส่วนใหญ่"



หากพ่อแม่เล่านิทานไม่เป็น หรือไม่มีนิทานจะเล่า การอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง พร้อมกับให้ลูกดูภาพในหนังสือก็สามารถกระทำได้เช่นเดียวกัน


ที่จริง ช่วงเด็กแรกเกิด เด็กจะยังไม่เข้าใจเนื้อเรื่องที่เล่าเท่าใดนัก แต่เด็กจะสนใจฟังน้ำเสียงของพ่อแม่ ท่าทางของพ่อแม่ และการสัมผัสอันอบอุ่นจากพ่อแม่มากกว่า


พอเด็กเติบโตขึ้น เด็กจึงจะเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น แต่แม้จะเป็นการอ่านหรือเล่านิทานเรื่องเดิมซ้ำๆ เด็กก็ยังพอใจ เพราะเด็กจะพอใจฟังน้ำเสียง ดูท่าทางขณะเล่า มากกว่าความอยากจะทราบเนื้อเรื่อง




ยิ่งกว่านั้น นิทานที่มีตัวละครเป็นสัตว์ ยังจะช่วยทำให้เด็กเรียนรู้บทบาทของสัตว์ในตัวละครว่า ตัวใดเป็นผู้ร้ายหรือตัวใดอยู่ฝ่ายธรรมะ และตัวใดมีลักษณะนิสัยพื้นฐานเป็นอย่างไร วิธีการสอนแบบนี้จะซึมซับเข้าไปอยู่ในใจของเด็ก มากกว่าการสอนด้วยคำพูดด้วยซ้ำ


แต่การให้เด็กดูโทรทัศน์เอง คนเดียว เด็กจะไม่ได้พูดซักถามใคร เด็กจะขาดการสัมผัสที่อบอุ่น ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการพูดช้า ไม่ค่อยกล้าถาม และไม่ค่อยกล้าพูด


ยิ่งกว่านั้น เด็กบางคนจะชอบยืนดูทีวีอยู่ใกล้จอ ซึ่งจะมีผลเสียต่อสายตาของเด็กที่ได้รับรังสีมากเกินควร และถ้าให้เด็กยืนดูทีวีบ่อยๆ ความเร็วของภาพในจอจะเร็วจนทำให้เซลล์สมองรับภาพแล้วตัดทิ้ง ฉะนั้นหากดูเกิน 20 นาที ประสาทหูและประสาทตาจะล้ม เมื่อมีเรื่องที่น่าสนใจเข้ามา ประสาทหูและประสาทตาของเด็กอาจจะไม่รับก็ได้



ในกรณีที่จะให้เด็กดูทีวี จึงควรที่พ่อหรือแม่อยู่ด้วย เพื่อจะได้แนะนำตักเตือน ไม่ให้เด็กยืนดูอยู่ใกล้จอมากเกินไป คอยพูดแนะนำและซักถามเด็ก เพื่อให้เด็กได้หยุดดูทีวีเป็นช่วงๆ และเด็กจะได้มีการพูดคุยหรือซักถามพ่อแม่ในสิ่งที่ตนเองยังไม่เข้าใจและอยากรู้.



#2 สำนึกของความเป็นแม่



หญิงสาวคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า…...

พอดีวันนั้นดิฉันเพิ่งกลับจากทำงาน มันค่อนข้างจะดึกแล้ว และเป็นวันที่ดิฉันผจญเรื่องราวต่างๆมาหนักหนาสาหัสจากที่ทำงาน จะเรียกว่าดิฉันหมดสภาพเลยก็ได้ ทำให้พลอยไม่อยากจะทำอะไรเมื่อกลับไปถึงบ้าน ซึ่งมีลูกนั่งรอให้เล่านิทานอยู่ ลูกยังไม่ยอมเข้านอน


โดยปกติ ดิฉันและพ่อของลูกจะสลับกันเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอนเป็นประจำ วันนั้นพ่อของลูกก็กลับดึกเช่นกัน ในขณะที่ดิฉันก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งเล่านิทานให้ลูก เพราะรู้แต่ว่าตอนนั้นดิฉันเครียด


“วันนี้ แม่ขอไม่เล่านิทานให้ฟังได้ไหม?”

แต่ลูกไม่ยอม ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ลูกก็ไม่ยอม ลูกยิ่งดื้อ ดิฉันยิ่งอารมณ์เสีย พยายามจะบอกเขาว่า วันนี้แม่ไม่มีอารมณ์จริงๆ ขอไม่เล่านะ


เขาไม่ยอม เราก็ยิ่งอารมณ์เสีย จนกระทั่งเขาร้องไห้ เขาปล่อยโฮออกมาเสียงดังปากสั่นมาก ชนิดที่ดิฉันเองก็ตกใจและใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน




วินาทีนั้น สำนึกของความเป็นแม่ก็แว๊บเข้ามา เข้าใจเลยว่าลูกตั้งหน้าตั้งตารอเราจนดึก เพื่อจะรอให้แม่เล่านิทานให้เขาฟัง ซึ่งเป็นช่วงเวลาความสุขของเขามาก


เราต่างหากที่เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เครียดมาจากที่ทำงานแล้ว กลับไม่สนใจความรู้สึกของลูกที่รอเราอยู่ และยังนำความเครียดกลับมามอบให้เขาก่อนนอน


ดิฉันเดินเข้าไปกอดลูกทั้งน้ำตา ทิ้งทุกอย่างรอบๆข้างในคืนนั้น แล้วนั่งเล่านิทานให้ลูกฟังอย่างรู้สึกผิดระคนรู้สึกสุขใจ



ดิฉันเชื่อว่า คนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนต่างก็คงจะเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ ที่ทำให้เราต้องหันมาทบทวนตัวเองว่า...

เราจะทำสิ่งใดก็ตาม เราได้คิดถึงตัวเองเป็นหลัก หรือได้คิดถึงลูกเป็นหลัก หรือได้คิดถึงครอบครัวเป็นหลัก


มันอยู่ที่ว่า เราจะจัดลำดับความสำคัญของชีวิตของเราเอาไว้ตรงไหน ถ้าเราคิดว่าครอบครัวต้องมาก่อน การตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องง่าย


ถ้าวันนั้นดิฉันเห็นแก่ตัว เดินหนีลูก ไม่สนใจว่าลูกจะร้องไห้หรือน้อยใจเพียงใด เพราะเด็กกับเรื่องการร้องไห้ มันเป็นของคู่กัน
เดี๋ยวก็คงเงียบไปเอง


แต่สิ่งที่เราเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ก็คือ จิตใจที่ถูกทำร้ายด้วยท่าทีของพ่อแม่ ถูกทำร้ายด้วยการเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง.




#3 พระเจ้าสร้างประเทศไทย

เรื่องนี้เขียนดัดแปลงมาจาก ฟอร์เวิดเมล์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ครั้งที่พระเจ้าเพิ่งจะสร้างโลก

พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ของวิเศษ แล้วพระองค์ก็นำของวิเศษไปวางไว้ ณ พื้นที่ต่างๆทั่วโลก โดยพระองค์จะทรงวางของดีและของไม่ดีควบคู่กันเสมอ เพื่อไม่ให้ที่หนึ่งที่ใดสมบูรณ์ไปกว่าที่อื่นๆ


พระองค์ทรงวางเทือกเขาร็อกกี้และน้ำตกไนแอการ่าไว้ที่อเมริกา แล้วก็ไม่ทรงลืมวางทะเลทรายอริโซนากับพายุทอร์นาโดไว้ให้ด้วย

พระองค์ทรงวางป่าอเมซอนไว้ที่บราซิล แล้วก็ไม่ทรงลืมวางไข้ป่า
เอาไว้ให้ด้วย

พระองค์ทรงวางขั้วแม่เหล็กโลกไว้ที่แคนาดา แล้วก็ไม่ทรงลืมวางความหนาวเย็นเอาไว้ให้ด้วย

พระองค์ทรงวางเทือกเขาหิมาลัยเพื่อเป็นปราการไว้กั้นข้าศึก ไว้ที่ทิเบตและเนปาล แล้วก็ไม่ทรงลืมวางความเบาบางของอากาศและความแห้งแล้งเอาไว้ให้ด้วย


ลองมองดูซิ ทุกประเทศจะได้ของคู่กันทั้งนั้น ไม่มีประเทศใดได้น้อยหน้ากว่าประเทศใดเลย


แต่แล้วพระองค์ก็ทรงลืมประเทศรูปขวานเล็กๆในแหลมอินโดจีน พระองค์ทรงลืมวางของไว้ให้กับประเทศไทย!!!!


แต่ให้บังเอิญ ขณะที่พระองค์ทรงสะพายถุงวิเศษก้าวข้ามภูเขาหิมาลัยนั้น เพราะความที่ภูเขาหิมาลัยนั้นสูงมาก มันจึงเกี่ยวถุงของพระองค์ขาด สิ่งของดีๆที่พระองค์จะเตรียมนำไปวางไว้ที่ประเทศอื่นๆ

เช่น แดดสวยฟ้าใส ฝนที่ตกชุ่มฉ่ำตลอดปี ป่าไม้และที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำไหลแรงหลากหลายสาย นกปลาสัตว์ป่าหลากหลายพันธุ์ ไม้ผลอร่อยหลากหลายชนิด ดอกไม้กลิ่นหอมหลากหลายสี หาดทรายขาวสวยและปะการังรูปทรงแปลกตา

สิ่งของเหล่านี้ จึงรั่วออกจากถุง เทลงมากองรวมกันที่ประเทศไทย
ทั้งหมด


ว้า แย่แล้ว พระเจ้าทรงคิด…ประเทศนี้ท่าทางจะเจริญรุ่งเรืองกว่า
ประเทศอื่นๆเป็นแน่


พระเจ้าจึงทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุลสิ่งดีๆ
ที่ถูกเทมากองรวมกัน


แต่มันก็สายเกินไป
เพราะพระองค์ทรงวางภูเขาไฟกับแผ่นดินไหวไว้ที่ญี่ปุ่นไปแล้ว
ทรงวางไต้ฝุ่นไว้ที่เวียตนามและที่ฟิลิปปินส์ไปแล้ว

โอว์ …ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ประเทศอื่นๆก็จะหาว่าเรานั้นไม่ยุติธรรม
อืมม...จะมีภัยธรรมชาติอันใดอีกน๊ออออ

ที่จะทำให้ประเทศไทย ไม่เจริญไปกว่าประเทศอื่นๆได้



สุดท้ายพระองค์ก็ทรงคิดออก

เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้
ไม่ให้ล้ำหน้าไปกว่าประเทศอื่นๆ

พระองค์จึงทรงสร้าง “นิสัยของคนไทย” ให้อยู่คู่กับคนไทยขึ้นมา


ถ้ามีคนไทยอยู่ที่ไหน ละก้อ ต่อให้ที่นั้นๆสมบูรณ์มากขนาดไหน คนไทยก็จะทำให้ที่นั้นๆ ไม่มีวันเจริญไปได้


..…พระเจ้าทรงรู้ความจริงข้อนี้ดี....




อิอิอิ มีเรื่องไหนชอบบ้างครับ?
#1, #2, หรือ #3




โดย yyswim




 

Create Date : 17 เมษายน 2549    
Last Update : 17 เมษายน 2549 22:33:04 น.
Counter : 2290 Pageviews.  

การเคี้ยวอาหาร



การเคี้ยวอาหาร



เชื่อหรือไม่ว่า มีอาจารย์ท่านหนึ่งป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหารมาตั้งแต่ท่านหนุ่ม ท่านกลัดกลุ้มและทรมานเป็นอย่างมาก

แต่หลังจากที่ท่านได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเคี้ยวอาหารมา แล้วท่านได้ปฏิบัติตาม โดยท่านเคี้ยวอาหารคำละ 100 ที ปรากฏว่าท่านหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลาเพียง 1 สัปดาห์


การเคี้ยวอาหารไม่เพียงแต่จะมีผลต่อสุขภาพเท่านั้น ยังจะมีผลต่อสมรรถนะของสมองของคนเราด้วย





เพราะการเคี้ยวอาหารจะไปกระตุ้นต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ยิ่งเคี้ยวนานก็จะยิ่งหลั่งมาก

และการเคี้ยวอาหารซึ่งจะไปทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันนั้น ยิ่งเคี้ยวนาน ก็จะยิ่งไปกระตุ้นสมองใหญ่เป็นเวลานาน ทำให้สมองใหญ่ปราดเปรื่อง ช่วยเพิ่มพลังการวินิจฉัยขบคิด ความมีสมาธิ และความจำ
มากยิ่งขึ้น



ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนที ที่เคี้ยวอาหาร


ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ เคี้ยวอย่างน้อย 30 ที จะช่วยให้เหงือกฟันแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิด


ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ เคี้ยวอย่างน้อย 50 ที จะช่วยลดอาการกลัดกลุ้ม ใจร้อนเจ้าอารมณ์ จะช่วยให้ลืมเรื่องเครียด และยังจะช่วยลดความอ้วนอีกด้วย


ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ เคี้ยวอย่างน้อย 60 ที ซึ่งเหมาะกับการกินอาหารที่มีกากใยมากๆหรือย่อยสลายยาก จะช่วยลดอาการท้องผูก กระตุ้นสมรรถนะของสมอง ช่วยทำให้สมองใหญ่คิดอะไรได้โลดแล่น และมีความจำดี


ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ เคี้ยวอย่างน้อย 80 ที จะช่วยให้ประสาทสัมผัสไวยิ่งขึ้น ต่อไปจะสามารถจำแนกรสชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษในอาหารได้อย่างรวดเร็ว


ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ เคี้ยวอย่างน้อย 100 ที จะช่วยทำให้ใจคอหนักแน่น สามารถวินิจฉัยจัดการปัญหาได้อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก กระเพาะอาหารและลำไส้มีสมรรถนะสูงขึ้น ช่วยให้หายจากโรคเรื้อรังบางอย่างโดยไม่ต้องพึ่งยา
และยังจะช่วยลดความอยากอาหารประเภทเนื้อได้ด้วย



ผู้เป็นมารดาหากเอาแต่ป้อนอาหารที่อ่อนเหลวแก่ลูกน้อย ลูกน้อยก็จะโตขึ้นโดยติดนิสัยที่ชอบกลืนอาหารโดยไม่ต้องเคี้ยว และไม่มีทางได้สัมผัสความรู้สึกอิ่มในการกินอาหาร แล้วท้ายที่สุด ก็จะติดนิสัยความเคยชิน ชอบกินอาหารจำนวนมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อ้วนมากนั่นเอง


การเคี้ยวอาหารที่ไม่ถูกหลัก จึงไม่เพียงแต่จะมีผลต่อสภาพฟันที่ไม่แข็งแรงแล้ว แม้แต่สมอง อวัยวะภายใน สุขภาพของร่างกาย ความฉลาด
สมาธิ อารมณ์ และความจำก็จะพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย


“การเคี้ยวอาหารน้อยครั้งต่อคำ จะทำให้อ้วน เกิดโรคภัยโดยไม่จำเป็น ทำลายสมาธิ และเป็นคนไม่ฉลาด”




โดย yyswim




 

Create Date : 01 เมษายน 2549    
Last Update : 1 เมษายน 2549 11:30:54 น.
Counter : 2413 Pageviews.  

นางงามจักรวาล





นางงามจักรวาล






นาตาลี เกลโบวา - Natalie Glebova นางงามจักรวาล ปี พ.ศ. 2548 เธอเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2525 ในประเทศรัสเซีย ปัจจุบันมีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ชนะการประกวดนางงามจักรวาลในปี
พ.ศ.2548 (ค.ศ. 2005) ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร


นาตาลี เกลโบวา เป็นผู้เข้าประกวดคนที่สองจากประเทศแคนาดา ที่ได้รับเลือกเป็นนางงามจักรวาล ซึ่งคนแรก คือ คาเรน ไดแอน บาลด์วิน - Karen Diane Baldwin ชนะการประกวดนางงามจักรวาล ในปี ค.ศ.1982 ที่จัดขึ้นที่เมืองลิมา ประเทศเปรู





นาตาลีมาเยือนเมืองไทยเป็นครั้งที่ 4 แล้ว เธอบอกว่าเหมือนได้กลับมาบ้านอีกครั้ง รู้สึกอบอุ่นประทับใจเหมือนเดิม เพราะเมืองไทยเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเธอ

ครั้งหนึ่งเมื่อเธอเข้าเยี่ยมคำนับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำเนียบฯ เธอประทับใจวัฒนธรรมไทย เธอบอกว่าหลังพ้นตำแหน่งจะขอมาใช้ชีวิตที่นี่ ถือเป็นบ้านอีกครั้ง เธอขอฝากตัวเป็นลูกสาวด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ขอรับ แต่เกี่ยงขอให้ไปเป็นลูกสะใภ้แทน เธฮตอบปฏิเสธเล็กน้อย บอกว่า พานทองแท้ ชินวัตร เด็กเกินไป ไม่ใช่สเปกเธอ 555555





และนอกจากจะชื่นชอบในอัธยาศัยไมตรีของคนไทย เธอยังติดอกติดใจเสน่ห์ของสปาไทยมากๆ ขนาดก่อนจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯไปรัสเซียเพื่อไปรณรงค์เรื่องเอดส์ ซึ่งมีเวลาเหลือเพียงวันเดียว เธอยังรีเควสขอไปนวดหน้าและทำบอดี้สปาเสียก่อน

เธอบอกว่า “ นวดไทยดีที่สุดในโลก ฉันมาเมืองไทยทีไร ฉันต้องแวะไปนวด รู้สึกว่ารีแล็กซ์ เพราะแตกต่างจากการนวดของชาติอื่นมาก เวลานวดไทย เหมือนกับฉันได้หลุดไปอีกโลกหนึ่ง และฉันก็ชอบกลิ่นสมุนไพรไทยมากๆ โดยเฉพาะตะไคร้และมะลิ ฉันซื้อโลชั่นและบอดี้สครับ กลิ่นพวกนี้กลับบ้านด้วย เวลาเหนื่อยๆได้กลิ่นเฮิร์บไทยแล้ว รู้สึกปลดปล่อย รู้สึกสบายใจ”






ล่าสุด นาตาลี เกลโบวา ซึ่งเดินทางมาเมืองไทยเพื่อสวมมงกุฎให้มิสไทยแลนด์ ยูนิเวิร์ส 2006 เธอผอมเพรียวและดูอ่อนเยาว์ ทั้งๆที่อายุย่าง 25 ปีแล้ว เธอบอกว่า

“ ฉันไม่ได้ไดเอทหรอกนะ แต่ควบคุมการทานอาหารอย่างเคร่งครัดมากกว่า วันหนึ่งๆจะทานแค่ 2 มื้อครึ่ง งดแป้งทุกชนิด ของมันของทอดไม่แตะเลย จะทานแต่ผักสดกับผลไม้ ส่วนช็อกโกแลตของโปรดต้องหันหลังให้จริงจัง ดีว่าฉันเป็นคนไม่ชอบทานจังก์ฟู้ดนะ พวกน้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ก็ไม่แตะอยู่แล้ว เลยรีดน้ำหนักได้เร็ว ตอนนี้ผอมลงกว่าเดิมเกือบ 10 กิโลกรัมแน่ะ”


เธอเล่าไปยิ้มไป ระหว่างไปรีแล็กซ์ที่ “Apasra's” บิวตี้, สลิมเมอร์ แอนด์ สปาเซ็นเตอร์ ของ “อาภัสรา หงสกุล” อดีตนางงามจักรวาลของไทย เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่26 มีนาคม 2549

ถ้าใครอยากสวยมีหุ่นเพรียว เธอบอกว่า ตื่นเช้ามาให้ทานไข่ต้มกับผลไม้ อัดผลไม้ทุกชนิดให้เต็มที่ เลือกประเภทเปรี้ยวๆจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดี ส่วนมื้อกลางวันทานแต่ปลาย่างกับสลัดผัก เน้นผักเยอะๆ ถ้าเป็นไปได้ไม่ต้องราดน้ำสลัดก็จะยิ่งผอมเร็ว พอถึงตอนเย็นโด๊ปสลัดผักกับผลไม้เพียวๆอีก ห้ามมีแป้งเข้าสู่ร่างกายเด็ดขาด ทำอย่างนี้จนเคยชิน จะไม่รู้สึกหิวหรือหงุดหงิด เธอย้ำเพิ่มเติมว่า ไม่ควรจะทานอาหารในช่วง 4 ชั่วโมงก่อนเข้านอนเด็ดขาด เพราะจะมีแต่อ้วน และควรที่จะขยันเข้าฟิตเนสทุกวัน ออกกำลังกายให้ฟิต หุ่นจะเฟิร์มสวย

ส่วนที่ใบหน้าเธอดูอ่อนใสเยาว์วัยกว่าอายุ เธอบอกว่า ไม่มีอะไรมาก แค่นอนเยอะๆเท่าที่จะทำได้ และอีกอย่างที่ดีต่อร่างกายคือ เธอดื่มชาเขียวเป็นประจำ วันละ 4 ซอง เรียกว่าดื่มแทนน้ำเปล่าเลยก็ว่าได้





บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้เซ็นสัญญาแต่งตั้ง นาตาลี เกลโบวา นางงามจักรวาล เป็นพรีเซ็นเตอร์ประจำ ยุโรปกับยุโรปตะวันออก เป็นเวลา 1 ปี เพื่อโปรโมทภาพลักษณ์ของ “สิงห์” ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกเป็นเวลา 1 ปี แถมได้ข่าวว่า เธอต้องการจะพำนักที่เมืองไทยจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญาด้วย







อาภัสรา หงสกุล - Apasra Hongsakula ชื่อเล่น ปุ๊ก เธอเกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2490 ที่กรุงเทพ ครองมงกุฏนางสาวไทยใน ปี พ.ศ. 2507 ครองมงกุฏนางงามจักรวาลในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2508 (ค.ศ.1965) จากการประกวดที่ ไมอามี บีช ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา นับเป็นนางงามจักรวาลคนที่ 14 เป็นคนไทยคนแรก และเป็นคนที่ 2 ของเอเซีย


คนแรกของเอเชีย คือ อากิโกะ โคจิมะ - Akiko Kojima นางงามญี่ปุ่น ที่ครองตำแหน่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1959 จากการประกวดที่ ลองบีช แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา


อาภัสรา ในปีที่เธอครองตำแหน่งนางงามจักรวาลนั้น เธอมีส่วนสูง 164 ซม. สัดส่วน 35-23-35 ซ.ม. รองนางงามจักรวาลคนที่ 1 คือ นางงามจากฟินแลนด์ ,รองคนที่ 2 นางงามจากสหรัฐ , รองคนที่ 3 นางงามจาก สวีเดน ,และรองคนที่ 4 นางงามจากฮอลแลนด์






ปัจจุบันอาภัสรา อายุ 58 ปี เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะศิลปะศาสตร์ สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จบการศึกษาระดับปริญญาโท คณะศิลปะศาสตร์ สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงเช่นเดียวกัน


นอกจากเธอจะเป็นนางสาวไทย ปี พ.ศ. 2507 และเป็นนางงามจักรวาล ปี พ.ศ. 2508 แล้ว เธอยังเป็นตัวแทนไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย ให้กับกระทรวงพาณิชย์ ในงาน EXPO ของศาลาไทย ที่ประเทศแคนนาดา และงาน EXPO ของศาลาไทย ที่ประเทศญี่ปุ่น


เธอเคยเป็นกรรมการตัดสินประกวดนางงามจักรวาลที่ประเทศกรีก และที่ประเทศออสเตรเลีย เคยเป็นประธานบริษัทนาฬิกา Raymond Weil นำเข้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นานกว่า 10 ปี เคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า และเคยเป็นผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า

ปัจจุบันเธอเป็นประธานสถาบันความงาม อาภัสรา บิวตี้ สลิมมิ่ง สปา(World Quality Beauty Institute by Apasra)






"พี่เป็นคนที่มีสองบุคลิกในตัวเอง ยอมรับค่ะว่า เป็นคนเรียบร้อย แต่ในความเรียบร้อยนี้ พี่เป็นคนกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และจะสดชื่นในการทำงาน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับผู้หญิงในยุคนี้ อย่างไรก็ดีส่วนหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม นั่นคือการดูแลสุขภาพของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนก็ตามค่ะ"


“ในวงการนางงาม เรียกได้ว่าตลอดเวลาเราแทบจะไม่มีเวลาที่เป็นส่วนตัวเลย ชีวิตเปลี่ยนเยอะมาก มีงานสังคมมากมายทั้งงานที่เป็นการกุศลและที่เป็นธุรกิจ จะต้องพบเจอกับผู้คนระดับ VIP หลายต่อหลายงานในแต่ละวัน”


“แต่ก็ยังดีนะคะ ที่การคลุกคลีในวงการนี้ได้ปลูกฝังนิสัยพี่ ให้เป็นคนที่ต้องหมั่นดูแลตนเองเสมอ นอกจากเรื่องความสวยความงาม แล้วยังรวมไปถึงเรื่องการดูแลสุขภาพ เพราะการที่คนเราจะสวยได้ ต้องมาจากการมีสุขภาพที่ดี”


เมื่อถามถึงการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน….

“ตอนนี้ก็เรียบๆนะคะ ตื่นมาสวดมนต์ในตอนเช้า พี่สวดมนต์ทุกเช้าเลยนะคะ มันช่วยให้จิตใจเราสงบขึ้นมาก โดยเฉพาะการได้ทำบุญกับคนในครอบครัว ก็ทำให้เรามีความสุข”


“ตอนนี้ พี่ผ่านmenopause หรือที่เรียกว่าวัยหมดประจำเดือนหรือจะเรียกว่าเป็นช่วงวัยทองไปแล้ว ก็มีการดูแลตัวเอง พวกเครื่องดื่มที่ชอบ จะเป็นน้ำสมุนไพรแบบอุ่นๆ น้ำตะไคร้นี่ก็ชอบค่ะ ดื่มแล้วรู้สึกดี ตนเองมีประวัติเป็นภูมิแพ้ด้วย จึงมักทานแต่น้ำที่อุ่นๆค่ะ ปกติเป็นคนทานเก่งทำ.ให้อ้วนง่าย เน้นการออกกำลัง สำหรับพี่แล้วการออกกำลังกายที่สะดวกที่สุดก็คือที่บ้าน มีเครื่องออกกำลังหลายแบบ อีกอย่างที่ชอบมากก็คือการนวดอโรม่า สิ่งแวดล้อมสมัยนี้ทำให้คนเราเครียดกันมากและดูจะเครียดง่ายด้วย เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ที่ให้ตัวเรา relax มากเท่าไหร่ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น”





เมื่อถามถึงคิดอย่างไรกับสตรีวัยทอง….

”ผู้หญิงวัยทอง มักจะมีอาการคล้ายๆกัน คือหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุผล ร้อนวูบๆ แน่นอนที่สุด ผิวแห้งมาก สำหรับพี่แล้ว การเข้าสู่ภาวะวัยทอง เป็นเรื่องที่ผู้หญิงเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สมัยนี้ยังโชคดีที่หลายโรงพยาบาลมีคลีนิคให้การดูแลและให้คำปรึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ สตรีสมัยใหม่ต้องรู้จักกับคำว่าวัยทอง และการเข้าคลีนิคเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนใหญ่ยอมรับว่า การขาดฮอร์โมนหลังจากที่หมดประจำเดือนจะทำให้เรามีอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวเหมือนก่อน บางเรื่องเราไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ อย่างน้อยการเข้าคลีนิคจะทำให้เราหายสงสัยได้ค่ะ นอกจากนี้ทำให้ได้ตรวจเช็คร่างกายไปในตัว เป็นโอกาสดีที่จะได้พูดคุยปรึกษาคุณหมอได้ด้วย”



เคล็ดไม่ลับของการรักษาสุขภาพ
(บทสัมภาษณ์จาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 169 ปีที่ 8 ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2548)





1. คิดถึงแต่เรื่องที่ดี

"พี่มักจะอารมณ์ดีเพราะคิดอะไรก็ตามในแง่บวก ฟังเพลงที่ชอบ บางครั้งก็อ่านหนังสือธรรมะ แค่หยิบขึ้นมาอ่านสั้นๆ ก็รู้สึกสบายใจแล้วค่ะ อยู่ที่บ้านจะกราบพระสวดมนต์ทุกวัน แต่ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิเท่าไหร่ การกราบพระก็เป็นการทำสมาธิไปในตัว เพราะในขณะนั้นจิตใจของเราจะมุ่งมั่นและมีสมาธิมาก"


2. ไม่หมกมุ่นกับปัญหา

"ทุกคนมีปัญหาทั้งนั้น ไม่มีใครหรอกที่จะยิ้มได้ตลอดเวลา วิธีแก้ก็มีหลายทางเหมือนถนนมีหลายสาย เพียงแค่นั่งนิ่งๆ คิดให้รอบคอบ มีวิธีแก้ปัญหาได้แน่นอน แต่อย่าไปคิดหมกมุ่นนาน ที่สำคัญคือต้องพยายามแก้ให้เร็วและจบไปเลย อย่าถึงขนาดเก็บไปคิดจนนอนไม่หลับ ทำดีที่สุดแค่ไหนแค่นั้น สุดความสามารถแล้ว อย่าเก็บไว้ทำร้ายตัวเอง"


3. จดจ่อใส่ใจในสิ่งที่มีคุณค่า

"ก่อนลงมือทำอะไร พี่มักจะวางแผนเรื่องต่างๆเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายหรือยาก โดยให้กำลังใจตัวเองว่าต้องทำได้ แม้ว่าวันนี้เรายังทำไม่ได้ วันหน้าก็มี บอกตัวเองเสมอว่าอย่าหมดหวัง ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

มีบ้างที่ท้อแท้ แต่ไม่เคยหมดกำลังใจ จะต้องฮึดขึ้นมาใหม่ แต่สิ่งที่ทำต้องเป็นสิ่งที่ดีและมีคุณค่าพอนะคะ ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญจะปล่อยวางไว้ก่อน เลือกที่จะทุ่มเทกับเรื่องที่มีคุณค่ามากกว่าค่ะ"


4. เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อขับเหงื่อ

"พี่จะออกกำลังกาย ทั้งขี่จักรยาน วิ่งและเดินบนสายพาน หรือไม่ก็ อบซาวน่า พยายามให้เหงื่อออก ทำพอดีๆ ไม่มากเกินไป เดี๋ยวกล้ามเนื้อจะช้ำ เพราะวัยนี้ต้องระมัดระวังให้มากหน่อย

หลักการออกกำลังกายของพี่ คือต้องการให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อเหงื่อออกแล้วจะทำให้นอนหลับสบาย"


5. สวยด้วยน้ำพริกปลาทู

"สำหรับพี่แล้ว เรื่องสุขภาพจะมาอันดับหนึ่งเลยค่ะ สุขภาพภายนอกจะดูดีได้ต้องมาจากภายใน โดยเฉพาะเรื่องอาหาร สำคัญมาก แต่ก็ต้องพิถีพิถันมากหน่อย เพราะเราอายุมากแล้ว

คือไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องบำรุงเนื้อ นม ไข่เยอะๆ พี่จะกินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ และปลาทุกชนิด อย่างปลาทูนี่ก็ถือเป็นอาหารสุขภาพแล้วนะ กินข้าวกับน้ำพริกปลาทู นี่แหละ อาหารสุขภาพชั้นเยี่ยมเลย แถมอร่อยด้วย" (ยิ้มหวาน)





ในทุกๆปี อาภัสรา หงสกุล เธอจะส่ง ส.ค.ส.ถึงนักข่าวและผู้คนที่เธอรู้จักอยู่เสมอไม่เคยขาดทุกปี ปีนี้ส.ค.ส.ปี 2549 เป็นภาพถ่ายพิมพ์สีสวยงาม ภาพคุณแม่ปุ๊ก นั่งขนาบข้างซ้ายขวาด้วยลูกชาย 2 คน ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร (36) ลูกอันเกิดจาก ม.ร.ว.เกียรติคุณ กิติยากร ขนาบซ้าย ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ (19) ลูกอันเกิดกับ สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ขนาบขวา ทั้ง 2 หนุ่มดูหล่อกว่าพ่อ กระนั้นคุณแม่ที่ปีนี้อายุ 58 ย่าง ลัดดาจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซุบซิบว่า หากเข้าประกวดนางงามจักรวาลอีกครั้ง เผลอๆเธออาจผ่านเข้าถึงรอบสุดท้ายได้….ไม่ยากหรอกจะบอกให้.





ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก - Porntip Nakhirunkanok ชื่อเล่น ปุ๋ย เกิดที่โรงพยาบาลราชวิถี ที่กรุงเทพ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511 บิดาชื่อนายอุดม มารดาชื่อนางซ่อนกลิ่น หรือ ดาวรรณ ได้เข้าประกวดขวัญใจอำนวยศิลป์ ในงาน "ชมพู-ม่วงดวงใจ 2528" ที่นครลอสแอนเจลิส คว้าตำแหน่งขวัญใจอำนวยศิลป์มาครอง และในปี 2529 ได้เข้าประกวด "ธิดาโดม ปี 2529" ของสมาคมธรรมศาสตร์ แอล.เอ. ปรากฏว่า ได้เพียงตำแหน่งรองอันดับหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าประกวด "นางสาวไทย" ในปี 2531 และครองมงกุฎนางสาวไทย ในปี พ.ศ.2531 ครองมงกุฎนางงามจักรวาล จากการประกวดที่ ไทเป ประเทศสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) ในปี พ.ศ.2531 (ค.ศ.1988) นับเป็นนางงามจักรวาลคนที่ 37 เป็นคนไทยคนที่ 2 และเป็นคนเอเซียคนที่ 5 ที่ครองมงกุฎนางงามจักรวาล (ญี่ปุ่น ไทย ฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ และไทย) แถมเธอได้รางวัลเครื่องแต่งกายประจำชาติดีเด่นในการประกวดด้วย






ใกล้เที่ยงของวันที่ 21 มีนาคม 2549 ระหว่างที่เธอเดินทางกลับมาเมืองไทย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ไซม่อน อดีตนางงามจักรวาล เธอเดินทางไปที่สำนักงานเขตบางรัก เพื่อทำบัตรประชาชนใหม่แทนบัตรเดิมที่หมดอายุ โดยมีนางพิมลรัตน์ วงษ์รักษ์ ผอ.เขตบางรัก ให้การต้อนรับ หลังจากกรอกเอกสารเสร็จเรียบร้อย เธอได้เข้าไปถ่ายรูปและขอร้องให้เจ้าหน้าที่ถ่ายใหม่อีก 2 ครั้งจนเป็นที่พอใจ เจ้าหน้าที่จึงสั่งพิมพ์บัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดให้


การเดินทางไปทำบัตรประชาชนของอดีตนางงามจักรวาลครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนและข้าราชการเป็นจำนวนมาก ต่างเข้ามาขอถ่ายภาพและขอลายเซ็นเธอ บางคนได้สอบถามถึง ด.ช.ฌอน โรเบิร์ต ไซม่อน บุตรชายของเธอ ซึ่งเธอตอบว่า ตอนนี้นอนหลับอยู่ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ส่วนนายไซม่อน เฮิร์บ สามี ไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วย เพราะติดประชุมที่ประเทศจีน





บทบาทใหม่ของ ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์

หนูน้อยฌอน โรเบิร์ต ไซมอน ลูกชายวัยใกล้ 2 ขวบ ของคุณแม่จักรวาล ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ไซมอน เริ่มพูดภาษาเจื้อยแจ้วได้แล้ว แถมยังทำท่าว่าจะมีเสน่ห์แรง เพราะถอดนิสัยความช่างพูดช่างคุยและอารมณ์ดีมาจากคุณแม่




“ตอนนี้ น้องฌอน เริ่มโตขึ้นมาก เริ่มช่วยตัวเองได้ เราต้องเริ่มสอนเขาทำทุกอย่าง ทุกเดือนเราต้องสอนเขาเพิ่มตลอด แต่โชคดีที่ลูกปุ๋ยเขาว่าง่ายมาก ไม่ดื้อ ปุ๋ยคิดว่า อาจจะเป็นเพราะว่าเราให้เวลา ให้ความรักกับเขาตลอด เพราะฉะนั้น ถ้าแม่ดุ ก็แปลว่าต้องมีอะไร ไม่ใช่ว่าเราจะดุเขาทุกวัน เพราะทุกวันเราก็เล่นกับเขา แฮปปี้กันตลอด แต่เมื่อไหร่ที่ “No” ก็คือ “No”

ถ้าปุ๋ยดุ เขาจะกลัว ลูกปุ๋ยนี่ แค่ขึ้นเสียงหรือทำหน้าดุ เขาก็จะหยุดทันทีเลย ยิ่งน้องฌอน เห็นแม่ไม่แฮปปี้ไม่ได้เลยนะ ถ้าปุ๋ยแกล้งร้องไห้ เขาจะตกใจมาก”


“พ่อเขาจะสปอยลูก ไม่ว่าลูกจะอยากได้อะไร เขาจะให้หมด เขาบอกว่า เขาห้ามไม่เป็น อย่างบ้านเรามีลูกแก้วเยอะ บางทีน้องฌอน เขาเล่นถือลูกแก้ว พ่อเขาก็ไม่กล้าดุลูก แต่ปุ๋ยไม่ได้ เพราะถ้าเกิดหกล้มขึ้นมาล่ะ เดี๋ยวบาดหน้าบาดมือ ไม่ได้ เราต้องขอคืน แต่คุณเฮิร์บเขาจะไม่กล้า เขาบอกไม่ได้เดี๋ยวฌอนโกรธเขา เขาไม่กล้าขัดใจลูก”

“ปุ๋ยก็เลยต้องเป็นฝ่ายขอลูกแก้วคืน ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนะ บอกขอแม่หน่อย เขาก็ให้ เพราะเขาพูดรู้เรื่อง ถ้าปุ๋ยพูดอะไรเขาจะเชื่อ อาจจะเป็นเพราะเราใกล้ชิดกับเขา ไม่ว่าเราบอกอะไร เขาก็เชื่อ ปุ๋ยจะให้ความสำคัญกับลูกมาก พยายามให้เวลาเขาเต็มที่”


“ถ้าปุ๋ยรู้ว่าวันนี้ปุ๋ยมีงานตอนกลางคืน ตอนเช้าปุ๋ยจะพยายามอยู่กับเขา หรือถ้ากลางวันปุ๋ยออกไปธุระ กลางคืนก็จะต้องอยู่กับลูก ก็ต้องแบ่งเวลา อย่างน้อยใน 1 วันต้องมีช่วงที่อยู่กับลูกจนเต็มอิ่ม เพราะเรามีงานต้องทำ มีอะไรทำหลายอย่าง ถ้าจะต้องออกจากบ้านก็จะพยายามสลับเวลาให้ลูก ไม่ว่าจะเป็นเช้า เย็น กลางคืน อย่างน้อยก็ต้องมีช่วงหนึ่ง”


“ตอนปุ๋ยพาเขากลับเมืองไทย ก็สอนเขาพูดไทย เขาก็พูดได้ เพราะปกติคุณยายช่วยสอนให้อยู่แล้ว กลับมาเขาก็พูดได้นะ ส่วนใหญ่ปุ๋ยจะใกล้ชิดเขา สอนเขาให้พูด สอนเขาให้ไหว้ตั้งแต่ขวบนึง พูด “สวัสดีครับ” แต่ก็ยังพูดไม่ชัด”


“ปุ๋ยกะว่าจะให้เขาเข้าโรงเรียนตอนเขาอายุ 3 ขวบ ให้อยู่โรงเรียนเดียวกับ “แจ๊กกาลีน” (หลานสาววัย 5 ขวบ ลูกน้องสาวที่ปุ๋ยเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด) ตอนนี้ตอนไปส่งพี่เขา น้องฌอนต้องไปด้วย แล้วไม่ยอมกลับ จะเล่นที่โรงเรียน ชอบนั่งรถไปส่งพี่ที่โรงเรียน ชอบโรงเรียน”


“เพราะฉะนั้น ช่วงนี้ปุ๋ยจะเป็นคนสอนอะไรเขาด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ปุ๋ยจะทำอาหารให้เขาเอง แล้วก็เลือกเสื้อผ้าให้เขาเองด้วย แต่จริงๆแล้วน้องฌอนเขาก็ชอบทำทุกอย่างเอง ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องผม จะเป็นห่วงมาก ตอนเช้าเขาตื่นมาก็จะ “แม่ ผมๆ” เขาจะห่วงผมมาก จะพูดคำว่า “my hair” ตลอด ถ้าผมยุ่งไม่ยอม อยากจะหล่อ”





ในฐานะที่เป็นแม่รุ่นใหม่ ปุ๋ยไม่ลืมที่จะสอดแทรกความอ่อนโยนเข้าไปในจิตใจของเด็กๆ โดยเธอมักจะให้สัตว์เลี้ยงเป็นของขวัญวันเกิดเสมอ

“ทั้ง ฌอน และ “แจ๊กกาลีน” รักสัตว์ทั้งคู่เลย วันเกิด “แจ๊กกาลีน” เมื่อปีที่แล้ว ปุ๋ยก็ซื้อกระต่ายให้เขา เพราะเขาอยากได้มาก “แจ๊กกาลีน” ตั้งชื่อเองว่า สโนไวท์ เขาคงเห็นว่าเป็นสีขาวไปทั้งตัว เขาดูแลเอง ให้น้ำให้อาหารทุกคืน ส่วน “น้องโทน” (หลานชาย ลูกน้องสาวที่ปุ๋ยเลี้ยงมาตั้งแต่เกิดอีกคน) ได้หนูแฮมสเตอร์ ฌอน เขาก็อยากได้ลูกหมา แต่ต้องรอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อย ปุ๋ยค่อยให้เขาเลี้ยง เพราะที่บ้านก็มีหมาอยู่แล้ว แต่ตัวนั้นแก่มากแล้ว อายุ 15-16 ปี สองคนพี่น้องนี้เห็นหมาไม่ได้ ชอบมาก”





แม้จะมีพี่เลี้ยงตามประกบแบบตัวต่อตัว แต่คุณแม่ปุ๋ยก็ขอคุมเข้มเรื่องมารยาทและการอบรมเลี้ยงดูลูกชายด้วยตนเอง

“เราต้องสร้างความมั่นใจให้ลูก ให้เขารู้จักช่วยตัวเอง รู้จักวางตัว ถ้าปุ๋ยไปไหนแล้วพาเขาไปได้ก็จะพาเขาไป ให้เขามีความรู้ ปุ๋ยคิดว่า ถ้าเรามีความรู้ก็จะทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง แต่ที่ปุ๋ยเน้นมากๆคือ มารยาท สำคัญนะ ต้องรู้จักทำความเคารพพ่อแม่ ผู้ใหญ่ รู้จักพูด รู้จักขอบคุณ และให้เกียรติคน”


“ตรงนี้ปุ๋ยถือมาก ให้อะไรแล้วไม่ขอบคุณ ปุ๋ยจะไม่ให้เลย ซึ่งปุ๋ยจะสอนแบบนี้ทั้งสองคน ทั้ง ฌอน และ “แจ๊กกาลีน” เช่น ทะเลาะเรื่องอะไรที่ไม่น่าทะเลาะกัน อย่างอาหาร หรือดูทีวี ถ้าเขา Compromise กันไม่ได้ ยอมกันไม่ได้ ตกลงกันไม่ได้ ก็ปิดเลย ไม่ต้องดู พี่น้องกันไม่ควรจะทะเลาะกัน ให้รู้จักคุยกัน ไม่ใช่โกรธแล้วตีกัน แบบนี้ไม่ได้ บางที “แจ๊กกาลีน” ไม่ยอมน้อง หรือน้องไปแกล้งพี่ อันนี้เป็นเรื่องปกติ ปุ๋ยก็จะทำตัวไม่รู้เรื่อง ให้เขาตกลงกันเอง หลังจากนั้นเราจะเข้ามาสอน มาอธิบายให้เขาฟัง พี่น้องต้องรักกัน”





นี่แหละ บทบาทใหม่ของคุณแม่ปุ๋ย อดีตนางงามจักรวาล
ของชาวไทย.




โดย yyswim




 

Create Date : 30 มีนาคม 2549    
Last Update : 30 มีนาคม 2549 12:17:26 น.
Counter : 5910 Pageviews.  

ครั้งแรกประเทศไทย




ครั้งแรกประเทศไทย



1. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์อักษรไทย เมื่อ พ.ศ.1826


2. พระราเมศวร เป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงสละราชสมบัติ
เมื่อ พ.ศ.1912


3. โปรตุเกส เป็นฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับไทย เมื่อ พ.ศ. 2060 ในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 หรือพระไชยราชาธิราช แห่งกรุงศรีอยุธยา

เป็นโปรตุเกส จากมะละกาในแหลมมลายู เข้ามาค้าขายและอาสาเป็นทหารร่วมรบที่เชียงกราน หลังสงครามได้ความชอบ ได้รับอนุญาตให้ตั้งโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นแห่งแรกในไทย

โปรตุเกสทำมาหากินกับไทยเกือบร้อยปี ฮอลันดาจึงแกะรอยตามมา เมื่อปลายสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

แล้วอังกฤษก็มาเป็นชาติที่สาม เมื่อต้นสมัยพระเอกาทศรถ

ฮอลันดากับอังกฤษนับถือคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ แต่โปรตุเกสนับถือคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก


4. หนังสือจินดามณี เป็นหนังสือแบบเรียนเล่มแรกของไทย แต่งขึ้นสมัยพระนารายณ์มหาราช โดยพระโหราธิบดี ชาวเมืองโอฆบุรี (พิจิตร) กวีและผู้เชี่ยวชาญทางอักษรศาสตร์ในสมัยนั้น เป็นผู้แต่ง


5. สมัยพระนารายณ์มหาราช ไทยได้ส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึง 4 ครั้ง





6. สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก สถิต ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2325 สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2337
ดำรงตำแหน่ง อยู่ 12 พรรษา


7. โรงพิมพ์แห่งแรกของไทย ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2378 บริเวณสำเหร่ ธนบุรี ของหมอบรัดเลย์ โดยซื้อตัวพิมพ์ของ ร.อ.เจมส์ โลว์ จากสิงคโปร์
ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3

และบทประพันธ์ที่ทำการขายลิขสิทธิ์ครั้งแรกในประเทศไทย คือ นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย ขายให้กับหมอบรัดเลย์


8. หนังสือพิมพ์อังกฤษ ฉบับแรกของไทย คือ บางกอกรีคอร์เดอร์ (Bangkok Recorder) พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2387 ในสมัยรัชกาลที่ 3


9. ตำรวจนครบาล มีขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4


10. นายจอห์น ลอฟตัส ชาวเดนมาร์ก เป็นผู้นำรถรางมาใช้เป็นครั้งแรก เปิดใช้บริการเมื่อ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2404 ในสมัยรัชกาลที่ 4



11. นายตัน เล่งซือ ชาวจีน เป็นคนแรกที่ตั้งโรงรับจำนำขึ้น ชื่อโรงรับจำนำไท้หยู และไท้เซ่งเฮง เมื่อ พ.ศ.2416 ในสมัยรัชกาลที่ 5


12. รถลาก นำมาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2417 โดยนายฮองเซียง แซ่โง้ว เป็นผู้สั่งเข้ามา ในสมัยรัชกาลที่ 5


13. โทรศัพท์ เริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2419


14. การไฟฟ้า เริ่มมีครั้งแรกเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2430 โดยใช้ในกิจการของรถราง และจ่ายให้ประชาชนใช้เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2433 ในสมัยรัชกาลที่ 5


15. โรงพยาบาลหลวงแห่งแรกในประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2430 ตั้งขึ้นที่ตำบลวังหลัง คือโรงพยาบาลวังหลัง ปีต่อมาพระราชทานชื่อว่า โรงศิริราชพยาบาล


16. โรงแรมโอเรียนเต็ล เป็นโรงแรมแห่งแรก ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2440 ในสมัยรัชกาลที่ 5


17. เงินบาท สตางค์ และการพิมพ์ธนบัตร เริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5




18. ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่5 โดย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

ทรงตั้งธนาคารพาณิชย์เพื่อทดลองดำเนินงานเป็นบางอย่าง ณ ตึกแถวสองชั้นสามคูหา ของกรมพระคลังข้างที่ บริเวณย่านบ้านหม้อ ตั้งชื่อในยุคนั้นว่า "บุคคลัภย์" (Book Club)

การทดลองดำเนินกิจการไปได้ผลดี จึงทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งเป็น บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราอาร์มแผ่นดินเป็นตราประจำบริษัท แล้วต่อมาพัฒนาเป็น
ธนาคารไทยพาณิชย์


19. รถไฟไทย มีใช้เป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่5 โดยสายแรกเดินระหว่าง กรุงเทพฯ ถึง ปากน้ำ สมุทรปราการ


20. โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เป็นโรงเรียนหลวงแห่งแรก
ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5


21. โรงเรียนวัดมหรรณพ เป็นโรงเรียนราษฎร์แห่งแรก ที่เปิดให้สามัญชนได้เรียนหนังสือ ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5


22. เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้ต่อเรือกลไฟขึ้นลำแรก ในสมัยรัชกาลที่5


23. เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ทรงเป็นพระบรมโอรสาธิราชสยามกุฎราชกุมารองค์แรก ทรงเป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5





24. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์แรกที่เสด็จออกผนวช ในระหว่างขึ้นครองราชย์



25. นิสิตนักศึกษาคนแรก คือ พระยาราชเสนา (ศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2443
(เมื่อ 106 ปีที่แล้ว)

เมื่อรับประกาศนียบัตร ต่อมาท่านได้เป็นข้าราชการ พ่อเมือง(ผู้ว่าราชการจังหวัด) อุปทูต และปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทย


26. สหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้ จังหวัดพิษณุโลก เป็นสหกรณ์แห่งแรก ตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2459 ในสมัยรัชกาลที่ 6


27. วิทยุโทรเลข เปิดให้ประชาชนชาวไทยใช้เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ในสมัยรัชกาลที่ 6


28. ธนาคารออมสิน ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปีพ.ศ. 2456 ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นคุณประโยชน์ของการออมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนรู้จักการประหยัดเก็บออม มีสถานที่เก็บรักษาทรัพย์สินเงินทองของประชาชนให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย

จึงได้ทรงจัดตั้ง คลังออมสิน ขึ้น โดยสังกัดกรมพระคลังมหาสมบัติ ดำเนินธุรกิจภายใต้ พระราชบัญญัติคลังออมสิน พ.ศ. 2456


29. คำว่า นาย นาง นางสาว เด็กชาย เด็กหญิง นำหน้าชื่อ และการใช้นามสกุล มีใช้เป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 6





30. พระราชบัญญัติประถมศึกษา และพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฏร์ มีขึ้นเป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 6


31. ธงชาติไทย มีใช้เป็นครั้งแรกเรียกว่า "ธงช้าง" ในสมัยรัชกาลที่ 2 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงเปลี่ยนเป็นใช้ ธงไตรรงค์ ดังเช่นทุกวันนี้


32. คำว่าพุทธศักราช (พ.ศ.) ใช้แทนคำว่า รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 6

อนึ่ง ผู้ที่ริเริ่มใช้ ร.ศ. คือรัชกาลที่ 5 (โดยร.ศ. 1 ตรงกับปี พ.ศ. 2331)


33. สะพานลอยแห่งแรกของประเทศไทย คือ สะพานกษัตริย์ศึก ที่ยศเส ลอยข้ามทางรถไฟ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และความสะดวกของการจราจร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471

อำนวยการสร้างโดย พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระนามเดิมพระองค์เจ้าชาย"บุรฉัตรไชยากร"

พระองค์เป็นผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง และเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม


34. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย เมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ในสมัยรัชกาลที่ 7

ดำรงตำแหน่งระหว่าง 28 มิถุนายน-10 ธันวาคม 2475 แล้วถูกเนรเทศไปอยู่ที่ ปีนัง มาเลเซีย จนถึงแก่อสัญกรรม


35. รถเมล์ขาว เป็นรถโดยสารประจำทางคันแรกของไทย เป็นของนายเลิด หรือพระยาภักดีนรเศรษฐ์

แรกทีเดียวในปี พ.ศ. 2450 เป็นรถเทียมม้า ต่อมาเป็นรถยนต์สามล้อ
ยี่ห้อฟอร์ด มีที่นั่งยาวเป็นสองแถว กิจการรถเมล์เจริญขึ้นเป็นลำดับ
จึงกลายเป็นรถโดยสารและขยายเส้นทางออกไปทั่วกรุงเทพ
ในปี พ.ศ. 2476


36. เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2476 ในสมัยรัชกาลที่ 7


37. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ในสมัยรัชกาลที่ 7



38. นางสาวกันยา เทียนสว่าง เป็นนางสาวไทยคนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2477 สมัยนั้นใช้ชื่อว่า นางสาวสยาม จัดประกวดในงานวันฉลองรัฐธรรมนูญ ในสมัยรัชกาลที่ 8

และเปลี่ยนไปใช้ชื่อนางสาวไทย เมื่อปี พ.ศ. 2482

(อ้างอิงจากข้อ19) ภาพรถไฟไทยในอดีต และ
นางสาวสยาม ปี พ.ศ.2480

นางสาวมยุรี วิชัยวัฒนะ(มยุรี เจริญศิลป์) นางสาวสยาม ปี พ.ศ.2480 ถ่ายโดยช่างภาพกรมรถไฟ เมื่อ 13 ธันวาคม 2480

รถไฟขบวนนี้เป็นรถจากกรุงเทพ - อยุธยา ภาพนี้ปรากฏในหน้า 1 หนังสือพิมพ์ประชาชาติ ฉบับวันที่ 13 ธันวาคม 2480 เนื่องจากคุณมยุรี วิชัยวัฒนะ ประกวดในนามตัวแทนจากกรุงเก่า (อยุธยา) ตามที่ท่านข้าหลวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาส่งเข้าประกวด พอได้รับการประกาศผลเป็นนางสาวสยามในคืนวันที่ 12 ต่อคืนวันที่ 13 ธันวาคม ก็รีบเดินทางไปอยุธยาตอนตี 3 ที่ต้องเสียเวลาก็เพราะต้องฝ่าฝูงมหาชนที่ยืนรอชมเธอ ตั้งแต่วังสราญรมย์ ถึงสถานีหัวลำโพง พอถึงสถานีรถไฟอยุธยา มีขบวนแห่นางสาวสยามล่องเรือไปรอบเกาะเมือง และจัดแพรับรองหน้าจวนข้าหลวงจังหวัด แล้วมีการสัมภาษณ์บริเวณแพรับรอง


39. พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) เป็นผู้ตั้งโรงงานผลิตเบียร์แห่งแรกขึ้นในประเทศไทย คือ บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ ผลิตเบียร์ตราสิงห์ออกสู่ตลาดครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2477
ในสมัยรัชกาลที่ 8


40. โรงเรียนสอนคนตาบอด ตั้งขึ้นโดย มิสเจนีวิฟ คอลฟิลด์ ชาวอเมริกัน เมื่อ พ.ศ. 2482 ในสมัยรัชกาลที่ 8


41. ประเทศไทยมีการพิมพ์แสตมป์ ใช้เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2484 สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐนมตรี ในสมัยรัชกาลที่ 8



จอมพล ป. พิบูลสงคราม


42. โรงเรียนสอนคนหูหนวก เปิดสอนครั้งแรกที่โรงเรียนเทศบาลโสมนัส เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2494 ในสมัยรัชกาลที่ 9


43. นางอรพินท์ ไชยกาล เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของไทย จากจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ.2494


44. สถานีไทยโทรทัศน์ หรือทีวีช่อง 4 เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งแรกของไทย ตั้งอยู่ที่บางขุนพรหม กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498


45. โผน กิ่งเพชร หรือนายมานะ ศรีดอกบวบ เป็นแชมป์โลกคนแรกของไทย ด้านมวยสากล เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2503

เป็นการชกชิงตำแหน่งแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท จาก ปาสคาล เปเรซ นักชกชาวอาเยนตินา ณ เวทีลุมพินี ต่อหน้าพระที่นั่งด้วย

นับเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติไทย ด้วยเหตุนี้สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย จึงกำหนดให้วันที่ 16 เมษายน ของทุกปี
เป็นวันนักกีฬายอดเยี่ยม

แม้ว่าต่อมาโผน กิ่งเพชรจะเสียตำแหน่งไป แต่ก็สามารถชิงกลับมาได้อีกถึงสามครั้ง จนประกาศแขวนนวมเมื่อปี พ.ศ.2509


46. แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับแรก ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2504-2509 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐนมตรี


47. นางสาวอาภัสรา หงสกุล เป็นมิสยูนิเวอร์สคนแรกของไทย จากการตัดสิน ณ ไมอามี บีช ฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2508





48. คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง เป็นสตรีไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ ในปี พ.ศ. 2514 สาขาบริการชุมชน

คุณนิลวรรณเป็นบรรณาธิการนิตยสาร สตรีสาร นานถึง 48 ปี เป็นกำลังสำคัญก่อตั้งสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย และมีผลงานเขียนร้อยแก้ว ทั้งบทความ และสารคดีจำนวนมากมาย


49. นางสมทรง สุวพันธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านหญิงคนแรกของไทย ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 6 ตำบลบางนกแขวก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2525


50. นายสมรักษ์ คำสิงห์ เป็นคนไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิคเหรียญแรกให้ไทย โดยชนะการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น รุ่นเฟเธอร์เวท ณ เมืองแอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ.2539.




โดย yyswim




 

Create Date : 26 มีนาคม 2549    
Last Update : 30 มีนาคม 2549 12:22:06 น.
Counter : 3020 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.