ล่องแก่งลำน้ำเข็ก
ล่องแก่งลำน้ำเข็ก
ลำน้ำเข็ก เป็นลำน้ำเล็กและไหลเชี่ยว ช่วงหน้าฝนอย่างนี้ สีน้ำจะออกเป็นสีแดงน้ำตาลและขุ่นคลัก!!! ดูราวกับสีน้ำป่า ถ้าเป็นสายน้ำอื่นในช่วงหน้าฝนอย่างนี้ หากเห็นสีน้ำขุ่นแดงน้ำตาลและไหลแรงแล้วละก้อ เขาว่ากันว่า ให้โกยแน่บได้เลย เพราะมันเป็นสัญญาณของน้ำป่ากำลังจะไหลบ่าทะลักอยู่แล้ว
แต่ต้องขอยกเว้นกับลำน้ำเข็ก เพราะทุกหน้าฝนมันจะมีสีขุ่นแดงน้ำตาลและไหลเชี่ยวแบบนี้เสมอ เหมาะกับการไปล่องแก่งผจญภัยที่ทั้งสนุก ทั้งเสียวเร้าใจอันดับต้นๆ ของลำน้ำที่มีอยู่ในประเทศทีเดียว
ลำน้ำเข็ก มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ด้านอ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ไหลผ่านอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ผ่านน้ำตกศรีดิษฐ์ น้ำตกแก่งโสภา น้ำตกปอย น้ำตกแก่งซอง น้ำตกวังนกนางแอ่น แล้วผ่านอ.วังทอง
เส้นทางล่องแก่งลำน้ำเข็กนี้ เป็นที่กล่าวขานว่าน่าตื่นตาตื่นใจมาก เนื่องจากความรุนแรงของสายน้ำมีตั้งแต่ระดับ 1-5 และทิวทัศน์ของสองข้างทางก็ยังเป็นป่าบริสุทธิ์ที่สวยงาม ใช้ระยะทางล่องแก่งประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำจะมากและไหลเชี่ยวหรือไม่
แล้วลำน้ำนี้ ก็จะไหลไปรวมกับแม่น้ำน่านที่ อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก หลายคนคงจะสังเกตว่าแม่น้ำน่านจะมีสีแดงน้ำตาลไปด้วย ก็เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากลำน้ำเข็กนี่แหละ
ลำน้ำเข็ก ในช่วงฤดูแล้งจะมีน้ำน้อย กระแสน้ำจะลดความรุนแรงลงและเปลี่ยนเป็นน้ำใส ลำน้ำจะไหลคดเคี้ยวไปตามซอกเขาใหญ่น้อยตลอดทาง ทำให้เกิดเกาะแก่งมากมายตลอดลำน้ำเข็ก ดูแล้วก็จะมีความสวยงามไปอีกแบบ
แต่พอถึงหน้าฝนทีไร เกาะแก่งเหล่านี้แหละ จะเป็นอุปสรรคขวางกลางลำน้ำเข็ก ให้เหล่านักผจญภัยผู้พิสมัยความตื่นเต้นชมชอบเป็นอย่างมาก ที่จะได้ล่องแก่งในลำน้ำไหลเชี่ยวแล้วต้องคอยหลบหลีกเกาะแก่งที่ขวางหน้า อย่างชนิด สติหลุดนิดเดียวเรือก็คว่ำ และคนก็จะตกน้ำ ทุกเรี่ยวแรงของทุกคนบนเรือจึงต้องร่วมกายร่วมใจเป็นหนึ่งเพื่อสู้กับความไหลเชี่ยวและหักเลี้ยวของสายน้ำ แถมบางแก่งหักเลี้ยวถึงขนาดโค้งเป็น ตัวเอส
ทีเดียว
Blog เรื่องนี้ เจ้าของBlog ยังไม่เคยไปล่องแก่งลำน้ำเข็ก
แต่ที่เจ้าของBlog รวบรวมข้อมูลมาให้ เพราะมีเจตนาดีอยากจะแจ้งข้อมูลให้ ผู้ที่ไม่เคยล่องแก่งเหมือนเจ้าของBlog รู้ว่ามีกิจกรรมที่คนไทยหลายคนและหลายทีม เขาจะทำกันอยู่ทุกปี เป็นกิจกรรมที่มากไปด้วยความตื่นเต้นและเสี่ยงอันตรายอย่างมาก
แต่ทุกคนก็รอคอย และจะไปทำกิจกรรมนี้ทุกปี ไม่เคยพลาด มีทั้งหญิงทั้งชายหลากหลายอาชีพ และฤดูฝนนี้ กิจกรรมที่ว่านั้น
..ก็ถึงกำหนดช่วงเวลาอีกแล้ว
ท่ามกลางสายน้ำเชี่ยวกรากสีแดงน้ำตาล และขุ่นคลัก ที่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ....ลำน้ำเข็กกำลังเรียกร้อง รอให้พวกเขาทุกคนไปเยือน ไปพิสูจน์ฝีมือกันอีกครั้งว่า ใครจะแน่กว่ากัน
คนหรือลำน้ำเข็ก!!!!
ลำน้ำเข็ก เป็นลำน้ำที่ใช้เรือยางล่องแก่ง จุดเริ่มต้นล่องแก่งสามารถเริ่มได้หลายจุด แต่หากต้องการความสะดวก สามารถเริ่มได้ตั้งแต่บ้านปากยาง ตำบลทรัพย์ไพรวัลย์ อำเภอวังทอง ล่องไปจนถึง น้ำตกแก่งซอง รวมระยะทาง 8 กิโลเมตร
ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการล่องแก่งจะอยู่ใกล้ถนน คือ ลงจากรถยนต์ก็สามารถลงเรือยางได้เลย เมื่อถึงจุดขึ้นจากเรือยางก็สามารถขึ้นรถต่อได้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องเดินทางไกลๆเหมือนสถานที่อื่น
แก่งท่าข้าม
พอเริ่มลงเรือยาง แก่งแรกเป็นแก่งน้ำขนาดเล็ก คือ แก่งท่าข้าม สายน้ำอยู่ในระดับ 1-2 เรือยางแล่นผ่านไปได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ที่ให้นักล่องแก่งได้ฝึกหัดบังคับเรือยางหลังจากที่ร้างรามานาน สร้างความคุ้นเคยมือก่อนเจอศึกใหญ่ แก่งใหญ่กว่าที่รออยู่ข้างหน้า
แก่งไทร จากนั้นก็เป็น แก่งไทร เป็นแก่งน้ำที่มีความยากระดับ 2 ซึ่งจะต้องใช้ทักษะในการบังคับเรือยางพอสมควร คนหัวเรือต้องดูไลน์ของน้ำให้ดีในการจะพาเรือผ่านแก่งนี้
แก่งมรดกป่า
แล้วเรือก็เข้าสู่ แก่งมรดกป่า โดยสายน้ำก็จะแยกออกเป็น 2 ไลน์ ทางซ้ายมือจะไม่สามารถนำเรือล่องผ่านไปได้เพราะจะมีโขดหินใหญ่โผล่ออกมามากมายและมีต้นไม้ริมตลิ่งขึ้นหนาแน่นมากด้วย จะต้องนำเรือผ่านทางด้านขวาของสายน้ำเท่านั้นซึ่งเป็นช่องทางที่ไม่กว้างนัก
แต่ปัญหาก็คือเมื่อเริ่มล่องแก่งไปได้ประมาณ 10 เมตรเท่านั้นสายน้ำจะหักเลี้ยวซ้ายทันที แต่เรือจะไปทางซ้ายแบบนั้นก็ไม่ได้ ทำให้ฝีพายทางด้านขวามือต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะดึงเรือให้ไปทางขวา กว่าจะผ่านแก่งมรดกป่านี้ไปได้ ความยากระดับ 2-3
แก่งปากยาง
เมื่อล่องผ่านแก่งมรดกป่ามาได้ไม่ไกล จะได้ยินเสียงน้ำดังสนั่นอยู่ด้านหน้า ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ แก่งปากยาง ที่แก่งปากยางนี้จะมีความยาวต่อเนื่องกันประมาณ 100 เมตร ซึ่งที่แก่งนี้ฝีพายจะต้องยึดสายน้ำทางด้านซ้ายมือเอาไว้ ความยากของแก่งปากยางจะอยู่ที่ระดับ 23 แล้วแต่ปริมาณน้ำและความเชี่ยวของกระแสน้ำ
แก่งหินลาด
ก่อนจะหมดแก่งปากยาง จะมีน้ำตกเล็กๆที่ลดระดับลงตามชั้นหินซึ่งขวางอยู่ทั้งลำน้ำ ความสูงที่ลดระดับลงจะต่างระดับกันประมาณ 1 เมตรเศษ เรียกแก่งนี้ว่า แก่งหินลาด เมื่อล่องเรือยางมาถึงแก่งนี้ เทคนิคอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเอนหลังให้น้ำหนักของคนมาอยู่ทางด้านท้ายเรือ และทุกคนจะต้องยึดเชือกไว้ให้แน่น เท้าก็จะต้องขัดกับสิ่งที่มั่นคงภายในเรือ มิฉะนั้นอาจจะถูกกระแสน้ำซัดกระเด็นออกนอกเรือได้ เมื่อผ่านแก่งนี้ไปได้แล้วสายน้ำจะลดความรุนแรงลง กลายเป็นสายน้ำไหลเอื่อยอีกครั้ง
แก่งสวนรัชมังคลา1,2
แต่ห่างจากแก่งน้ำตกเมื่อครู่มาไม่นาน เรือจะพบกับทางแยกของสายน้ำอีกครั้ง ช่วงนี้จะเรียกว่า แก่งสวนรัชมังคลา1,2 ที่จริงเรือสามารถจะไปได้ทั้งซ้ายและขวา แต่ขอแนะนำให้ล่องเรือไปทางด้านขวาของสายน้ำ เพราะจะสนุกตื่นเต้นกว่าทางด้านซ้าย
ทางด้านขวาของสายน้ำ จะมีหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำ ทำให้ทุกคนได้โหมแรงบังคับเรือยางกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้หลบหินใหญ่ก้อนนั้นให้ได้ ที่แก่งนี้ถ้าเป็นช่วงที่น้ำมีปริมาณมาก จะพบว่ามียอดคลื่นสูงเกิน 1 เมตรด้วย จึงเป็นที่ยอมรับให้แก่งนี้ มีระดับความรุนแรง 3-4 ทีเดียว
แก่งซาง
ก่อนที่เรือจะเคลื่อนเข้าสู่แก่งซาง สายน้ำจะค่อนข้างราบเรียบเสียก่อน คล้ายๆธรรมชาติจะทำให้มนุษย์ตายใจ แต่เมื่อเรือผ่านน้ำนิ่งไปแล้ว สายน้ำจะหักเลี้ยวซ้ายทันที และทันทีที่เรือเลี้ยวซ้ายมาตามสายน้ำ ทุกคนก็จะได้พบกับความยิ่งใหญ่ของแก่งซาง
ลักษณะของแก่งซางจะเป็นลานหินกว้างมาก และลดระดับลงไปทีละช่วง กว่าจะสิ้นสุดทุกช่วงของแก่งซางนั้น สายน้ำก็ลดระดับลงไปไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ความรุนแรงของสายน้ำที่ไหลผ่านชั้นของแผ่นหิน มีลักษณะคล้ายฟองคลื่นสีขาวกระจายไปทั่วลำน้ำ น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวกรากจึงแตกกระเซ็นเป็นฟองกระจาย เรือทุกลำกว่าที่จะผ่านแก่งซางไปได้ น้ำจะเข้ามาเต็มลำเรือทุกลำอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
ยิ่งกว่านั้นขณะที่เรือตกกระแทกลงมา และน้ำเต็มลำเรืออยู่นั้น ยังจะต้องบังคับเรือให้ชิดทางด้านฝั่งซ้ายของลำน้ำเข็กเอาไว้ด้วย ถ้าบังเอิญบังคับเรือไปกลางลำน้ำ หรือไปทางด้านขวาของลำน้ำ ความเชี่ยวรุนแรงของสายน้ำจะพัดพาเรือไปกระแทกหินที่อยู่ด้านฝั่งขวาทันที
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเรือทุกลำจะพลิกคว่ำและทุกคนจะต้องตกลงไปจากเรือ ไปจมอยู่ท่ามกลางฟองคลื่นราวกับน้ำเดือด ไม่ใครก็ใครอาจจะถูกน้ำพัดพาไปกระแทกหินใหญ่หรือสำลักอยู่ใต้น้ำ อันนับเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งที่พึงต้องหลีกเลี่ยง
ที่แก่งซางนี้ จึงถูกยกระดับให้มีความยากระดับ 4-5 เป็นแก่งที่ทุกคนจะถูกบอกเล่าให้ระวังตัวกันมาตั้งแต่ต้น คนที่เคยมีประสบการณ์ผ่านไปแล้ว ก็ยังต้องนั่งตัวเกร็งและรอคอยด้วยใจระทึกกันทุกคน ทุกคนจะนั่งจับเชือกยึดตัวเองให้แน่นอยู่กับเรือ จะพยายามไม่ให้ตกออกไปนอกเรือ ยกเว้นแต่กรณีเรือจะคว่ำเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือ ความพ่ายแพ้ที่มนุษย์จะมีต่อลำน้ำเข็ก
แก่งโสภาราม
จากแก่งซาง ก็เข้าสู่แก่งหักศอกตัว เอส ความรุนแรงนั้นน้อยกว่าแก่งซาง ปัญหาอยู่ที่แป็นแก่งที่โค้งมากๆแล้วก็โค้งกลับอีกที ของแก่งโสภาราม ทุกฝีพายจึงทำงานกันอย่างสุดกำลังเท่าที่มี ยิ่งหากน้ำไหลเชี่ยวด้วยแล้ว
เฮอะเฮอะ ลองคิดดู
แก่งดงสัก
เป็นแก่งไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่ง่าย มีความยากในระดับ 3 พอๆกับแก่งโสภาราม
แก่งนางคอย
หลังจากเหนื่อยมากๆจากการผ่านแก่งซองมาแล้ว นี่ก็กำลังจะเข้าสู่แก่งที่จะต้องเหนื่อยมากๆอีกรอบแล้ว บางคนถึงกับบอกว่า แก่งนี้แหละ แก่งในฝันที่ซาดิสต์สุดๆ ...แก่งนางคอย
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ที่แก่งนี้เคยมีผู้หญิงท้องมานั่งรอสามีอยู่ แต่บังเอิญเธอโชคร้ายถูกน้ำป่าพัดพาไปจนเสียชีวิต โดยที่เธอยังไม่ได้พบสามี ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อแก่งนี้ว่า แก่งนางคอย
แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันนี้ จะชอบเรียกแก่งนี้ว่า แก่งนางกรี๊ด มากกว่า เพราะทั้งสาวจริงและสาวไม่จริง พอผ่านแก่งนี้ทีไร จะร้องกรี๊ดกันเสียงลั่นสุดๆ ด้วยความตกใจกลัว
ลักษณะของแก่งนางคอย จะเป็นการลดระดับของชั้นหินและของกระแสน้ำที่มีความสูงเกือบๆ 2 เมตร แถมการลดระดับนี้จะเอียงจากทางด้านขวาของสายน้ำไปทางด้านซ้ายในแนวเฉียงอีกด้วย
ฉะนั้นการตกลงไปของลำเรือ หากไม่ระมัดระวังให้ดี จึงไม่ใช่ตกลงแบบใช้หัวเรือลง แต่อาจจะตกลงไปแบบเอาข้างของลำเรือลง ซึ่งเรือจะยิ่งพลิกคว่ำง่าย ยิ่งกว่านั้นยังมีโขดหินและเกาะแก่งต่างๆที่จมอยู่ใต้น้ำข้างล่างแก่งนางคอยอีกด้วย นักล่องแก่งจึงต้องใช้ทักษะในการพายเรือร่วมกันสูงจึงจะผ่านแก่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ระดับความยากอยู่ที่ 4-5
หนทางที่ดี ควรที่จะจอดเรือตรงลานหินเหนือแก่งนางคอยเสียก่อน แล้วเดินไปตรวจดูสภาพของสายน้ำที่ไหลผ่านแก่งนี้จากข้างบน เพื่อจะได้มองเห็นร่องน้ำนี้ได้ชัดเจนพร้อมๆกันทุกคน ว่าควรจะนำเรือไปตามร่องน้ำด้านไหน
แต่โดยปกติเรือทุกลำมักจะผ่านลงไปทางด้านซ้าย แต่ไม่ใช่ชิดซ้ายสุด เพราะทางด้านซ้ายสุด ด้านล่างของแก่งนี้จะมีก้อนหินใหญ่อยู่ 2 ก้อน ที่อาจจะกระแทกกับลำเรืออย่างแรงจนสามารถทำให้เรือพลิกคว่ำได้เช่นกัน
สรุปว่า ทุกลำที่จะผ่านแก่งนี้ไปได้ จะต้องบรรทุกน้ำหรือฟองน้ำที่แตกกระจายเต็มลำเรือ ใช้แรงกายของทุกคนอย่างชนิดที่เรียกว่า เหนื่อย โหดสุดๆ
แก่งดูด
เป็นแก่งเล็กๆที่มีความยากในระดับ1-3
แก่งยาว
แก่งยาวจะมีความยาวกว่า 100 เมตร สมกับชื่อของแก่ง ลักษณะของแก่งยาว จะเป็นแก่งที่สายน้ำไหลเชี่ยวผ่านโขดหินมากมายหลายโขดหิน จะค่อยๆ ลดระดับลาดเอียงลงสู่ด้านหน้าของแก่ง มีเสียงแว่วมาว่า น้ำบริเวณด้านหน้าของแก่งนี้มีลักษณะเป็นน้ำวนด้วย
เทคนิค ควรจะบังคับเรือยางให้เข้าร่องน้ำทางซ้ายก่อนที่จะสิ้นสุดปลายแก่ง เพราะกลางลำน้ำจะมีก้อนหินใหญ่ขวางอยู่ จะต้องบังคับเรือให้หลบหลีกได้ทัน ไม่เช่นนั้นเรืออาจจะกระแทกกับก้อนหินใหญ่ก่อให้เกิดอันตรายและตกลงในน้ำวนได้
กว่าจะล่องผ่านแก่งยาว 100 เมตรนี้ไปได้ ทุกคนก็เหนื่อยสะบักสะบอม จนแทบจะหมดสภาพกันทุกคน ความเหนื่อยล้าเข้ามาเรียกหา จนแทบจะปล่อยวางไม้พายกันแล้ว ความยากอยู่ในระดับ 3-5 ขึ้นกับระดับความเชี่ยวของน้ำและปริมาณน้ำ
แก่งวังน้ำเย็น และแก่งทับขุน
เมื่อได้ล่องเรือผ่านแก่งซาง แก่งนางคอย และแก่งยาว ที่สุดโหดจนจำได้ติดตามาได้แล้ว แก่งอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ ก็ไม่ใช่เป็นแก่งที่น่ากลัวหรือยากอะไรอีกแล้ว จะขาดก็เพียงแรงแขนที่จะจ้วงฝีพายเท่านั้น
แต่โชคดีที่แก่งวังน้ำเย็น และแก่งทับขุน ต่างมีความยากระดับ 1-2 เท่านั้น น้ำไหลเอื่อยๆและไม่เป็นอันตราย ผู้นำทีมจึงบอกว่า หากใครต้องการจะลงไปลอยคอแช่น้ำเย็นๆตอนนี้ก็เชิญได้ เพราะใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของการล่องแก่งแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงบอกเช่นนี้ เกือบทุกคนในลำเรือก็จะกระโจนลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เพื่อชดเชยความเหนื่อยล้าและความเครียดที่มีอยู่เมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้
บางคนถึงกับถอดเสื้อชูชีพ หมวกกันน็อก และรองเท้ายางฝากไว้ไปกับเรือ แล้วลอยคอผ่อนคลายกล้ามเนื้อหรือว่ายน้ำอย่างเย็นสบาย จนถึงจุดขึ้นฝั่งที่ท่าวังน้ำเย็น
รวมแล้วทุกคนก็ผ่านแก่งในลำน้ำเข็กมาได้ถึง 18 แก่ง
ลำน้ำเข็ก ลำน้ำเล็กๆที่มีน้ำเชี่ยวกรากและมีสีแดงน้ำตาลขุ่นคลักนั้น แค่มองเห็นลำน้ำก็สร้างความเข็ดขยาดไม่กล้าลงไปสู้แล้ว
สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ต่างเกิดอาการ เสียวเว้ย!!!! กันทุกคน
แต่หลังจากมีประสบการณ์ที่สนุกสนานเร้าใจตื่นเต้นแบบสุดๆมาแล้ว ร้อยทั้งร้อยจะรอวันเวลาของฤดูฝนรอบใหม่ รอคอยวันเวลาที่จะไปพบเพื่อนๆ เพื่อล่องแก่งระดับ 5 ดาวของไทยเรานี้ด้วยกันอีกครั้ง
เพราะว่าทุกคนเกิดอาการ
มันเว้ย!!!!!! ไปแล้ว...
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมของการล่องแก่งลำน้ำเข็ก จะอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม และสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก ททท.ภาคเหนือ เขต 3 โทร. 0-5525-2742-3
ติดต่อธุรกิจให้บริการ ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ได้ที่
1. ทรัพย์ไพรวัลย์ แกรนด์โฮเต็ล แอนด์รีสอร์ท โทร. 0-5529-3339-40, 0-2236-2711, 0-2236-2715
2. POP TOUR โทร. 0-5524-2060, 0-1680-3939, 0-1475-5080
3. NATURE CAMP โทร 0-5521-3541, 0-1475-6867
4. RAIN FOREST RESORT โทร 0-5529-3085-6
5. CAMPING SIDE CENTER โทร 0-2433-2760
6. ภูแก้ว แอดเวนเจอร์ ปาร์ค โทร. 0-2381-0691-4 , 0-2381-0198
หมายเหตุ : ท่านใดที่เคยไป เคยเจอประสบการณ์อย่างไร ตรงหรือไม่ตรงประการใด ช่วยคอมเมนต์บอกกันบ้าง? บริษัทนำเที่ยวที่นำท่านไป ให้บริการดูแลเป็นอย่างไร คิดราคาอย่างไร ช่วยบอกกันบ้าง?
อ่านคอมเมนต์จากคนในเว๊ปสนุกดอทคอมเชิญคลิกอ่านที่นี่
ประสบการณ์ล่องแก่งลำน้ำเข็ก
เจ้าของ Blog ขอนำประสบการณ์ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ที่เขียนขึ้นโดย ผู้ล่องแก่งลำน้ำเข็กตัวจริง เสียงจริง คุณ Joyful พร้อมรูปประกอบโดย คุณ Lighthouse
นำมาจาก เว๊ป tripandtrek
คุณ Joyful เขียนเล่าประสบการณ์ครั้งนี้ได้อย่างสนุกมาก อ่านมันส์และเพลิน เขียนเล่าไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2545 แต่เขียนเล่าแบบผู้อ่านมองเห็นภาพเหตุการณ์การล่องแก่ง
ราวกับได้ไปล่องแก่งลำน้ำเข็ก
ซ้าเอง
เรื่องเล่าจากสายน้ำเดือด
เสาร์ 20 กรกฎาคม 2545
และแล้ว...วันที่รอคอยก็มาถึง เราไปถึงที่นัดหมายที่ปั๊มปตท. สนามเป้า ด้วยหัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ก็บ่ายวันนี้แล้ว ที่เราจะได้ไปล่องแก่งเป็นครั้งแรกในชีวิต.. จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ...
เจ็ดโมงเช้าเศษ ๆ สมาชิกทุกคนมากันพร้อม ทั้งๆที่เวลานัดเป็นเจ็ดโมง งานนี้อย่าให้เผาว่าใครมาสาย.. อิ ๆ ทุกคนขึ้นนั่งประจำที่ แล้วออกเดินทางไปยัง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก เพื่อผจญสายน้ำโจนกันเป็นแห่งแรก ต่างคนก็งัดเอาอุปกรณ์ ฆ่าเวลา ไม่ว่าจะเป็น VCD , CD หนังสือ ข้าวหนมนมเนย แล้วแต่จะเตรียมกันมา
บ่ายโมง..หลังจากนั่งหลับสัปหงกกันจนคอเคล็ด เราก็แวะกินข้าวกันที่ร้านหม้อแกง (มีหม้อข้าวด้วย) ข้าวปลาอร่อยใช้ได้ จากนี้ไม่กี่กิโลก็ถึง อ.วัดโบสถ์ แต่ยังต้องเดินทางกันต่อ เพื่อไปยังไร่ชลคุปต์ ที่อยู่ห่างไปอีกราว 60 กิโลเมตร เกือบๆจะถึงที่หมาย รถตู้หนึ่งในสามคัน ลูกปืนล้อแตก อาจจะด้วยบรรทุกเกินอัตรา ดูรูปร่างของสมาชิกแต่ละคนแล้วคงเข้าใจ...
กระจายคนไปนั่งรถคันอื่น ๆ แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ กว่าจะถึงไร่ชลคุปต์ ก็บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปกางเต็นท์ เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับผจญสายน้ำกันอย่างรวดเร็ว สามโมง ทุกคนก็กลับมารวมกันในชุดเต็มยศ เสื้อชูชีพสีสด กะหมวกกันน๊อคสีแปร๊น...ได้เวลาลุยแย้ววววว สิบนาทีเศษ เรานั่งรถมาจากไร่ชลคุปต์ มาที่หน่วยพิทักษ์ริมลำน้ำโจน คุณกนกผู้ดูแลการล่องแก่งสำหรับวันนี้ พาเราไปยังจุดชมวิวน้ำโจน ที่จะมองเห็นแก่งน้ำโจน ที่เป็นชั้นน้ำตกสูงเมตรเศษ ๆ ขวางลำน้ำทั้งสาย
"อ่ะ.. มาดูกันทุกคนเลยครับ จะได้ทำใจไว้ก่อน เนี่ย แก่งแรกที่เราจะต้องลงกัน"
ฮือ ๆ ๆ ๆ ทำไมมันสูงขนาดน้านนนนนนนนนนน หลังจากที่ดูแก่งน้ำโจนกันแล้ว จากใจกล้า ๆ กลัว ๆ เหลือเพียงแต่ความกลัวล้วน ๆ ก็ไอ้กล้า ๆ น่ะ มันหายไปตั้งกะไปถึงจุดชมวิวแล้ว เจ้าหน้าที่อีกคนก็มาซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์การล่องแก่งและวิธีการปฎิบัติตัว
ว่ากันไปตั้งแต่การปรับหมวกให้กระชับ เสื้อชูชีพต้องใส่ให้แน่น ไม่งั้นเวลาที่เราตกน้ำ เสื้อชูชีพมันจะลอยขึ้นโดยที่ตัวเรายังห้อยอยู่ข้างล่าง วิธีการนั่งบนเรือยาง วิธีการจับพาย วีธีการพาย การเก็บพายเวลาเข้าปะทะแก่ง การปฏิบัติตัวเวลาตกน้ำ ฯลฯ
เจ้าหน้าทีกำลังสอนวิธีการถือพาย
วิธีการเก็บพายแล้วจับเชือกให้แน่น เอนตัวไปข้างหลังเมื่อเข้าปะทะแก่ง ที่สำคัญต้องเอาขาเกี่ยวกับลูกบวบเรือเอาไว้ รับรองไม่ตกน้ำ เว้นแต่เรือยางจะคว่ำ
เมื่อจบหลักสูตรล่องแก่งภาคทฤษฎีกันแล้ว คราวนี้ก็มาถึงภาคปฏิบัติกันแล้วล่ะ
พวกเราก็เดินเท้าไปยังจุดขึ้นเรือริมน้ำโจน กระจายกันนั่งเรือยางห้าลำ ลำละหกคน รวมคนคัดหัวเรือกะท้ายเรืออีกสองคน ทั้งหมดแปดชีวิตก็พาเรือยางทะยานสู่สายน้ำ ที่อยู่เหนือแก่งโจนขึ้นมาราวสองร้อยเมตร กว่าจะผ่านสายน้ำนิ่งมาจนถึงแก่งโจน ทุกคนก็เริ่มหอบแล้ว...
"โต้ง ๆ ๆ คัดเข้าไลน์ซ้ายไว้.." เสียงนายท้ายตะโกนสั่ง นายหัวเรือมือใหม่เอี่ยมอ่องเสียงดัง...
"เอ้าทุกคนเก็บพาย...." นายท้ายตะโกนต่อ พวกเราเก็บพายแนบข้างเรือพร้อมกับจับเชือกและเอนตัวมาข้างหลัง เรือยางพาเรากระโจนจากน้ำตกสูงเกือบ ๆ สองเมตร
"กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ทุกคนส่งเสียงกรี๊ดกันอย่างพร้อมเพรียง ทันทีที่ท้องเรือกระทบผิวน้ำ น้ำในแก่งที่เดือดพล่านก็ปะทะกับหน้าพวกเราโครมใหญ่
"เอ้า.. ซ้ายพาย ขวาพาย.."
พวกเราทั้งสองกราบเรือก็ตั้งหน้าตั้งตาจ้วงจนหลุดออกมาจากแก่งได้ พร้อมกับเสียงเฮที่เอาชนะแก่งแรกมาได้อย่างปลอดภัย แต่สายน้ำยังไหลเชี่ยวกราก พาเรือยางของเราแล่นฉิวไปชนเอาก้อนหินโครมเบ้อเร่อ ตามด้วยกอไคร้กอใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า
...เงียบกริบ... ไม่ยักกะมีใครกรี๊ดแฮะคราวนี้ อิ ๆ
เรือยางสี่ลำผ่านแก่งโจนที่มีความยากระดับ 3-4 มาตั้งลำรอ ก่อนที่จะผจญแก่งต่อไป
สีหน้าสมาชิกที่ผ่านแก่งโจนมาได้
นี่ก็ผ่านมาได้แบบไม่ตกน้ำซะคน ฮ่า ๆ
แต่ เอ... ลำที่ห้ามันหายไปไหนวะ... วิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อยๆ
สามชาติกว่าผ่านไป... เรือลำที่ห้าก็พายพ้นคุ้งน้ำเข้ามา พร้อมกับโชว์ลีลาแหวกกอไคร้กอใหญ่กลางลำน้ำ
เห็นลิบ ๆ โน่นเรือบรรทุกน้ำของ เจ๊ส้มจีน
"เย้ ๆ ๆ ๆ เจ๊ สู้ ๆ "
พวกเราส่งเสียงเชียร์ ยังไม่พอ เจ๊ส้มจีน โต้โผใหญ่ยังทำท่าจะตกเรือโชว์ให้พวกเราดูอีกตะหาก
"ทำไมหายไปนานนักเจ๊" ใครคนหนึ่งถามขึ้น
"ลงไปเล่นน้ำตั้งกะแก่งแรกแล้ว พายก็หายเหลือแค่สามเนี่ย จะให้มาเร็ว ๆ ได้ยังไงยะ"
เจ๊แกว่า พร้อมค้อนอีกสองขวับ เรือเราก็เลยบริจาคไม้พายให้ไปอีกหนึ่งเป็นการทำทาน แต่ว่าเรือของเจ๊ แกบรรทุกน้ำได้เยอะจริง ๆ ซัก 300 ลิตรเห็นจะได้... เราผ่านแก่งขามแก่งระดับ 3 มาได้แบบไม่ยากเย็นนัก ช่วยกันพายเรือแบบสบาย ๆ ไม่นานนักเราเจอแก่งใหญ่ขวางอยู่ข้างหน้า สายน้ำเชี่ยวกรากกระแทกแก่งหิน ทำให้เกิดคลื่นระลอกใหญ่สูงเมตรเศษ ด้านล่างของแก่งระลอกคลื่นแตกกระจาย ราวกับว่าถูกต้มจนเดือดพล่านตลอดเวลา
เวลาที่เรือยางพุ่งเข้าปะทะยอดคลื่นทีนึง พวกเราก็ประสานเสียงกรี๊ดกันทีนึง กว่าจะผ่านแก่งนี้ไปได้เล่นเอาเปียกปอนกันถ้วนหน้า เรียกเสียงกรี๊ดกันได้ลั่นคุ้งน้ำทีเดียว สายน้ำยังพาเรือแล่นฉิวต่อไป
"โต้ง ๆ เข้าไลน์ซ้ายเอาไว้" นายท้ายตะโกน
"เอ้า.. ซ้าย พายหนัก ๆ" พวกเราที่อยู่กราบซ้ายก็ก้มหน้าก้มตาจ้วง มุ่งตรงไปยังร่องน้ำแคบ ๆ แล้วก็ผ่านไปได้โดยสวัสดิภาพ มีเพื่อน ๆ บางลำที่เข้าร่องน้ำไม่ทัน ตะลุยฝ่าดงกอไคร้ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นไปหลายสิบเมตร พวกเราที่เหลือส่งเสียงโห่แซวกันเป็นที่สนุกสนาน
"แก่งอะไรคะที่ผ่านมาตะกี้" เราตะโกนถามนายท้าย
"แก่งบ้าครับ" นายท้ายตอบ มิน่า ๆ ก็แก่งบ้า เป็นแก่งที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก มีคลื่นถาโถมเข้าหาเรือตลอดเวลา ไหนจะสายน้ำเดือดพล่านด้านท้ายแก่ง สมชื่อแก่งจริง ๆ
เราผจญแก่งเล็กๆกันอีกหลายแก่ง พอเรียกเสียงกรี๊ดได้ แล้วก็พายและควบคุมเรือได้คล่องขึ้น เวลาที่เรือสองลำเข้ามาใกล้กัน ก็จะมีสงครามสาดน้ำกันเสมอๆ สนุกสนานกันเกือบๆสิบนาทีก็มีเสียงเตือนจากนายท้าย
"เตรียมตัวนะครับ เดี่ยวเราจะไปลุยแก่งม้ากันแล้ว" สิ้นเสียงทุกคนก็อยู่ท่าพร้อม
"เอ้า.. ซ้ายพาย ขวาพาย"
พวกเราจ้วงน้ำหนักๆ เพื่อเข้าสู่แก่งที่ลดระดับลง ทำให้เกิดคลื่นสูง
"เก็บพาย.."
เราเก็บพายแนบลำเรือ เกาะเชือกกันแน่น เพราะคลื่นน้ำกระแทกลำเรือแรง ๆ ถ้าไม่เกาะไว้แน่น อาจจะตกจากเรือได้ มีเพื่อนบางลำตกเรือกันที่แก่งนี้
"กรี๊ด ๆๆ ๆ "
ลำของเราส่งเสียงกรี๊ดดังไม่แพ้ใคร จนเรียกให้เรือลำที่ผ่านไปแล้วหันกลับมามอง
จากจุดนี้ไปจนถึงจุดขึ้นฝั่ง จะเป็นสายน้ำเรียบที่ไม่มีแก่ง เป็นระยะทางหลายร้อยเมตร นายท้ายเรือบอกพวกเราว่า ถ้าใครอยากจะเล่นน้ำก็ได้เลย เราไม่รอช้าลงไปลอยคอ เพื่อนๆบางคนโชว์ลีลากระโดดจากเรืออย่างสวยงาม แล้วสายน้ำเชี่ยวก็พาพวกเราลอยละลิ่วแซงหน้าเรือไปซะอีก บางก็เกาะกันไปเป็นแพ เป็นขบวนรถไฟ มีเสียงตะโกนบอกจากเรือให้เข้าร่องน้ำขวาบ้าง ซ้ายบ้าง เพื่อไม่ให้โดนน้ำซัดไป
เราว่าการได้ลงไปแช่น้ำนี่ ถือเป็นไฮไลท์อีกอย่างของการล่องแก่งเหมือนกัน
ลงไปลอยคอในน้ำหลังจากผจญแก่งกันมาแล้ว
"อีกร้อยเมตรขึ้นฝั่งนะครับ ตรงกอไผ่นั่นนะครับ"
นายท้ายตะโกนบอกพวกเรา สิ้นเสียงพวกเราก็เริ่มว่ายเข้าหาฝั่ง มีเพื่อนบางคนว่ายไม่ทัน คนเรือก็ว่ายน้ำไปเก็บกลับมาอย่างปลอดภัย และแล้วเรือของ เจ๊ส้มจีน โต้โผใหญ่ของพวกเรา ก็เข้าฝั่งไม่ทัน ต้องตั้งหน้าตั้งตาจ้ำทวนน้ำขึ้นมาอีก ไม่ต้องสงสัยว่าจะโดนพวกเราที่เหลือแซวไปอีกนานแค่ไหน ฮ่า ๆ
เราขึ้นรถเพื่อกลับไปยังที่พัก ตลอดทางมีเสียงพูดคุยกันถึงความตื่นเต้นและความสนุกสนานที่พวกเราเพิ่งได้รับมา ไม่เว้นเสียงเยาะเย้ยถากถางเพื่อนๆที่โชว์ลีลาตกน้ำ และลีลาแหวกดงไคร้ที่แสนจะประทับใจ คงเป็นเรื่องเล่าประจำกลุ่มไปอีกนาน ...
อาทิตย์ 21 กรกฎาคม 2545
พวกเราตื่นกันตั้งแต่ไก่โห่ ก็จะให้นอนกันต่อยังไงไหว เจ๊ส้มจีน แกเล่นเดินปลุกกันเป็นรายเต็นท์
พวกเรารีบเก็บเต็นท์และสัมภาระ แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว ก่อนจะมากินข้าวต้มมื้อเช้า เพื่อเตรียมตัวตะลุยลำน้ำเข็ก สายน้ำที่ได้ชื่อว่ามีระดับความยากเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย
เจ็ดโมงครึ่งได้ฤกษ์ล้อหมุน พวกเราย้อนออกมาทางเดิมอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังลำน้ำเข็ก ที่มีต้นน้ำมาจากเขาค้อ ตอนนี้เราไม่เหลือความกลัวแล้ว อยากให้ถึงไวๆ อยากจะลงไปแช่น้ำเหมือนเมื่อวาน
เก้าโมงพวกเราก็มาถึงจุดเริ่มต้นล่องแก่งที่ปากยาง ทุกคนจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างรวดเร็ว วันนี้คนเรือมากำชับพวกเราอีกครั้งว่า อย่าประมาทกับสายน้ำนี้เด็ดขาด เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นสายน้ำดุอันดับหนึ่ง ถ้าหากตกลงไปในแก่งแล้ว คงต้องมีเจ็บตัวกันแน่ ...
พวกเรากระจายกำลังกันลงเรืออย่างรวดเร็ว เรานั่งเรือยางลำเล็กลำเดิม นายท้ายบอกว่าเรือเล็กนี่แล่นเร็ว ต้องมีทักษะในการบังคับมากกว่าเรือที่มีขนาดใหญ่ ..
หันไปมองหน้าเพื่อนร่วมชะตากรรมแต่ละคน อืมมมม... มือโปรกันท้างงงงน้านนนนนนนนนน เพราะ 4 ใน 6 เป็นมือใหม่ทั้งสิ้น ยังไม่พอ คนคัดหัวเรือ ยังเป็นพี่โต้งมือใหม่คนเดิมอีกเช่นกัน เอาน่า...
แก่งปากยางเป็นแก่งแรกที่พวกเราจะลงในวันนี้ ลักษณะเป็นแผ่นหินลาดตัว เลยไม่ค่อยจะตื่นเต้นกันซักเท่าไหร่
แก่งต่อมา คือ แก่งรัชมังคลา ที่เรียกเสียงกรี๊ดพวกเราได้มากพอควร ต่อด้วยแก่งโสภาที่พี่แดงนายท้ายเรือเตือนว่าจะประมาทไม่ได้
"โต้ง ๆ เข้าร่องน้ำขวา" พี่แดงนายท้ายตะโกนบอกหัวเรือมือใหม่ของพวกเรา
"เอ้า.. ขวาพาย พายหนัก ๆ " เราที่นั่งกราบขวาจ้วงน้ำเต็มที่
"แก่งนี้ น้ำไม่แรงมาก แต่เป็นแก่งหักศอก เข้าขวาแล้วเตรียมคัดเข้าซ้ายเลยนะโต้ง.."
นายท้ายสั่งการก่อนที่เราจะเข้าไปปะทะแก่งเพียงเสี้ยวนาที ตู้มมมมมมมมมม น้ำซัดเต็มหัวเรือ ตามด้วยเสียงกรี๊ดลั่นคุ้งน้ำของพวกเรา
"ซ้ายพาย ซ้ายพาย " นายท้ายปลุกพวกเราจากภวังค์ พรรคพวกกราบซ้ายพายกันเต็มกำลัง พาพวกเราเข้าร่องน้ำซ้าย และหลุดออกมาจากแก่งนางคอยอย่างปลอดภัย
ตอนนี้ในใจทุกคนเริ่มกระหยิ่มแล้ว หยุดรอเรือทุกลำจนมากันครบดี แล้วต่อไปเราจะเจอกับแก่งซาง ที่มีระดับความยาก 4-5 ช่วงแรกจะเป็นแผ่นหินลาดตัว ก่อนจะไปหักศอกหนึ่งครั้ง แล้วก็ลาดลงไป ปิดท้ายด้วยชั้นน้ำตกสูงเกือบๆ เมตร
แก่งซาง
ดูภาพแล้วไม่น่าที่ใครจะล่องลงไปได้
"เข้าขวาโต้ง โต้งเข้าขวา ดูไลน์น้ำจากลำหน้าไว้"
พี่แดงนายท้ายตะโกนสั่งพี่โต้ง แกก็ชะเง้อดูแล้วสั่งพวกเราพายเข้าด้านขวา
"เก็บพาย ๆ ๆ"
พวกเราเก็บพาย ปล่อยให้แรงน้ำส่งเรือเข้าปะทะยอดคลื่นลูกแล้วลูกเล่า
"กรี๊ด ๆ ๆ ๆ " พวกเราประสานเสียง
"คัดเข้าซ้ายโต้ง เร็ว ๆ ๆ "
พี่โต้งแกก็พยายามคัดหัวเรือเข้าด้านซ้าย พวกเราช่วยพายส่ง เรือปะทะสายน้ำเดือดพล่านข้างหน้า แต่เพราะยังแล่นด้วยความเร็วสายน้ำจึงพัดเอาเรือของเราหมุนคว้าง แล้วเอาด้านข้างเรือพาเรากระโจนลงจากชั้นน้ำตกสูงเกือบเมตรที่มีไฮโดร รออยู่เบื้องล่าง
ทันที่ที่ท้องเรือแตะผิวน้ำ "กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พวกเรากรี๊ดกันสุดเสียง
"ซ้ายพาย ขวาพาย.. พายหนัก ๆ เข้าฝั่งไปก่อน"
พี่แดงสั่งก่อนที่เรือจะโดนดูดให้คว่ำลงไป พวกเรารีบจ้วงสู้กับสายน้ำเชี่ยว เกือบๆถึงฝั่งพี่โต้งคว้ากิ่งไม้เพื่อยึดเรือไว้ แต่กระแสน้ำพัดรุนแรงทำเอาพี่โต้งแกตกน้ำ แต่แกก็ตะกายขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย เล่นเอาใจหายใจคว่ำไปตาม ๆ กัน ... ...
เงียบกริบ... ไม่ยักกะมีใครกรี๊ดแฮะคราวนี้ อิ ๆ
พวกเราหยุดรอเรือลำอื่นๆ จนครบ แล้วตั้งลำพายตัดลำน้ำเดือดพล่านด้านหน้าแก่งซางไปอีกฝั่ง
"เอ้า.. พายหนักๆ เข้า พาย ๆ ๆ "
พี่แดงส่งเสียงกระตุ้น พวกเราตั้งหน้าตั้งตาพายมาอีกฝั่งจนได้ แต่สายน้ำเชี่ยวซัดเอาเรือเข้าไปที่ซุ้มไม้ริมน้ำ เล่นเอาต้องหลบกันพัลวัน ได้รอยข่วนกันมาคนละนิดละหน่อย แล้วพวกเราก็ส่งเสียงแจ้ว ๆ ๆ หลังจากหลุดออกมาได้
"อ่ะ.. ตะกี้ไม่เห็นมีใครกรี๊ดเลย เงียบกริบเลย" มีเสียงพี่อีกคนแซวมา
"จะกรี๊ดตอนไหนพี่ ลำพังหลบกิ่งไม้เนี่ย ก็แทบไม่พ้นอยู่แล้ว" เพื่อนอีกคนว่า
"เอ้า.. เตรียมตัวได้แล้วครับ เดี๋ยวเราจะไปกันต่อแล้ว" พี่แดงเรียกสติพวกเรากลับ ทุกคนก็ช่วยกันพายต่อไป
สายน้ำกลับมานิ่งสนิทอีกครั้ง พวกเราพายไปเรื่อยๆจนมาถึงลานหินข้างหน้า พี่โต้งคัดหัวเรือเข้าไปจอด เรือลำอื่นๆ ก็เข้าไปจอดตรงนี้ด้วย แล้วคนเรือก็พาพวกเราเดินไปดู แก่งนางคอยที่พวกเราจะต้องล่องต่อไป
บรรยากาศก่อนลงแก่งนางคอย ทุกคนพร้อมที่จะกรี๊ดแล้ววว
เรือแวะให้ลูกเรือได้ทำใจก่อนลงแก่งนางคอย
พอเดินไปถึงเท่านั้นแหละ
อะโห... ไม่ยากจะเชื่อ ... แก่งเบื้องหน้าเรา เป็นชั้นน้ำตกสูงสองเมตรเศษ ที่มีน้ำพุ่งลงไปกระแทกด้านล่าง ก็จะเดือดพล่านขึ้นมาเหมือนหม้อน้ำเดือดใหญ่ๆ นี่ถ้าไม่รู้จักการล่องแก่งมาก่อน เราจะคิดมั๊ยว่า จะมีใครบ้าพอที่จะพายเรือลงจากน้ำตกสูงขนาดนี้
"เดี๋ยวเราจะลงไลน์น้ำซ้ายมือ ถ้าลงด้านขวาเราจะพุ่งจากข้างบนลงไปชนก้อนหินที่อยู่ใต้น้ำด้านล่าง" พี่แดงว่า
พวกเรายังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
"พอถึงแก่งแล้วทุกคนรีบเก็บพาย แล้วเกาะเชือกเอนตัวมาข้างหลังนะครับ" พี่แดงชี้แจง
"ขึ้นเรือครับ" สิ้นเสียงพี่แดง พวกเรากลับไปนั่งประจำที่ รอจนเรือสามลำกระโจนลงแก่งนางคอยอย่างปลอดภัยตามด้วยเรือของพวกเราที่กระโจนตามไปติด ๆ พร้อมกับเสียงกรี๊ดที่น่าจะมีการแจกรางวัล และทันที่ที่ลงสู่ผิวน้ำด้านล่าง เรือด้านขวาที่เรานั่งก็โดนดูดจนเอียงวูบ ทำเอาแต่ละคนรีบจ้วงน้ำกันอย่างไม่คิดชีวิต
ในที่สุดเราก็ผ่านแก่งนางคอยที่มีระดับความยาก 4-5 มาได้อย่างปลอดภัย เย้ๆๆๆ
แต่อีกสักพัก แก่งยาว ข้างหน้าที่ท่าทางจะไม่หมู ก็ปรากฏตัวให้พร้อมเผชิญเข้าอีกแล้ว
"พวกเราเก็บพายครับ"
พี่แดงตะโกนบอก ก่อนสายน้ำจะพาเรือเราเข้าปะทะแก่งยาวด้านหน้า เป็นแก่งหินลาดตัวลงทำให้มีคลื่นน้ำสูงเกือบเมตร ตลอดระยะทางร้อยกว่าเมตร ช่างเป็นการกรี๊ดที่แสนยาวนานจริงๆ พอแก่งลดระดับลงมาก่อนจะถึงน้ำนิ่งข้างหน้า คลื่นน้ำสูงทำเอาเรือยางเราหมุนคว้างอีกรอบ ก่อนที่จะพัดเอาด้านท้ายเรือลงปะทะสายน้ำเดือนพล่านด้านล่าง
"เฮ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พวกเราส่งเสียงดีใจ ที่เอาด้านหลังลงแต่เรือไม่คว่ำ
"เป็นไงล่ะ ๆ เจ๋งแค่ไหน พวกเราหันหลังลงก็ได้" พวกเราว่าอย่างไม่สำนึก
ในใจพี่แดงคงนึกๆว่า พวกเอ็งไม่คว่ำนี่ บุญเท่าไหร่แล้ว
ถัดจากตรงนี้ไป ก็เป็นเพียงแต่สายน้ำไหลเอื่อยๆ มีแก่งขนาดเบาๆ พวกเราจึงได้ลงไปลอยคออีกเช่นเคย เที่ยงเศษๆ ก็ขึ้นฝั่งที่ร้านนิตยา ใช้เวลาล่องแก่งกันราวสองชั่วโมงเศษๆ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้วก็มากินมื้อเที่ยงร่วมกัน ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพ ฯ อาหารอร่อย โดยเฉพาะไก่ทอดสูตรของที่นี่ แล้วก็ปลากดทอด ที่ไม่ค่อยจะได้กินบ่อยนัก.
Create Date : 01 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 2 สิงหาคม 2549 1:40:54 น. |
|
59 comments
|
Counter : 2840 Pageviews. |
|
|
หากจะทดลองล่องแก่งครั้งแรก มีคำแนะนำว่า
ให้เริ่มต้นหาประสบการณ์ล่องแก่งจากที่ง่าย ไปสู่ที่ยากเสมอ
เพื่อค่อยๆสร้างประสบการณ์ของการพายเรือ การฝึกฝนการใช้กำลังกล้ามเนื้อเพื่อสู้กับกระแสน้ำจากไหลธรรมดาเป็นไหลเชี่ยว การแก้ไขปัญหาขณะเรือเกิดปัญหากลางลำน้ำธรรมดาเป็นกลางลำน้ำไหลเชี่ยว การแก้ไขปัญหาเมื่อตนเองตกน้ำที่ไหลธรรมดาจนเป็นเมื่อตกน้ำที่ไหลเชี่ยว เป็นต้น
เปรียบเทียบก็คล้ายกับกีฬาปีนหน้าผา
กีฬาปีนหน้าผา จะต้องเริ่มจากขั้นพื้นฐานก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มประสบการณ์แบบนานขึ้น สูงขึ้น ยากขึ้น แล้วจึงจะถึงไปปีนหน้าผาของจริงร่วมกับผู้อื่น มิฉะนั้นแล้วเราเองจะเป็นภาระถ่วงให้ผู้อื่นพลอยเกิดอันตรายตามเราเองไปด้วย
โปรดอย่าสำคัญผิดว่า การไปล่องแก่งน้ำเข็กหรือการไปล่องแก่งน้ำอื่นๆ จะเหมือนกับการไปนั่งเรือชมวิว โดยหวังว่าหัวเรือและท้ายเรือจะต้องพายให้เรานั่งเฉยๆ
นั่งสบายๆและอย่างปลอดภัย
เพราะแท้ที่จริงแล้วในการล่องแก่งทุกครั้ง ทุกคนที่ร่วมอยู่ภายในเรือจะต้องเป็นหนึ่งเดียว จะต้องเชื่อฟังผู้นำภายในเรือ จะต้องทำตามคำสั่งพร้อมกัน จึงจะร่วมกันพายให้พ้นแก่งน้ำแต่ละแก่งไปได้ หรือร่วมกันกู้เรือที่ล่มขึ้นมาได้
งานนี้จะต้องไม่กลัวเหนื่อย ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเหนื่อยแบบสุดๆ
เทียบระดับกับการขึ้นภูกระดึงทีเดียว
และจะต้องไม่อายที่จะเชื่อฟังคำสั่งจากหัวหน้าทีม ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการล่องแก่ง
แม้เขาจะอายุยังน้อยกว่าเราก็ตาม
ข้อควรปฏิบัติในการล่องแก่ง
1. ควรจะศึกษาเส้นทางของลำน้ำ ลักษณะของกระแสน้ำเป็นอย่างดีก่อนจะล่องแก่ง ซึ่งอาจจะถามหรือซักซ้อมความเข้าใจกับผู้นำทีมก็ได้ อย่าหวังพึ่งพาแต่เพียงผู้นำทีมรู้เพียงคนเดียว ควรจะรู้ว่าสายน้ำที่ไหลมีทิศทางที่จะเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายตรงไหน จะมีโขดหินที่ตรงไหน จะมีน้ำวนที่ตรงไหน ช่วงไหนเป็นช่วงยากหรือง่ายของลำน้ำ
จะได้ออมแรงหรือเพิ่มแรงได้อย่างเหมาะสม
2. อุปกรณ์ในการล่องแก่งไม่ว่าจะเป็นแพยาง ไม้พาย เสื้อชูชีพ หมวกกันน็อก ควรจะตรวจสอบให้ละเอียด และจัดการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนก่อนที่จะทำการล่องแก่ง
3. เสื้อผ้าควรจะสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขาสั้น รองเท้าที่สวมควรจะเป็นรองเท้ายางที่มีสายรัดข้อเท้า ไม่ควรจะสวมรองเท้าแตะที่หลุดง่ายหรือรองเท้าผ้าใบที่อุ้มน้ำ แต่หากการท่องเที่ยวนั้นมีการเดินป่าไกลๆด้วย ก็จำเป็นต้องนำรองเท้าผ้าใบติดไปอีกคู่หนึ่ง ควรจะมียาประจำตัวและยาสามัญทั่วไปจำนวนเล็กน้อยติดตัวไปด้วยโดยควรจะใส่แพ็คกันน้ำให้เรียบร้อย การเตรียมสัมภาระอื่นๆควรนำไปเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เพราะพื้นที่ที่ขนสัมภาระจะมีจำกัดและอาจเรือยางพลิกคว่ำสูญหายได้
4. ควรจะฝึกซ้อมทักษะเสียก่อน เช่น การขึ้นเรือจากในน้ำ การนั่งทรงตัวในเรือ การจับไม้พาย การพายแบบต่างๆ การถ่อเรือ และการรู้วิธีช่วยเหลือตนเองเมื่อตกน้ำ เป็นต้น
5. ขณะล่องแก่ง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้นำทีมในเรือที่จะบอกให้ทำสิ่งต่างๆ
6. ฟิตร่างกายให้แข็งแรงไม่อ่อนเพลีย ไม่บาดเจ็บ ไม่เจ็บป่วย ไม่มีครรภ์ก่อนออกเดินทาง เตรียมกำลังใจที่จะต่อสู้และอดทนในทุกรูปแบบอย่างเต็มที่ และตั้งอยู่ในสติพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาทุกๆนาทีขณะล่องแก่ง ไม่ควรจะอยู่ในอาการใจลอย สติแตก
หรือเศร้าโศกเด็ดขาด
7. หากจะมีการรับประทานอาหารหรือไปประกอบอาหารกินกันในป่า ควรจะเลือกรายการอาหารที่กินง่าย ไม่เลือกของกินที่ยุ่งยาก หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องกระป๋อง ภาชนะประเภทกล่องโฟม ขวดน้ำพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ทั้งนี้เพื่อลดขยะและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และทุกครั้งที่เก็บแคมป์ ควรจะดูแลความสะอาด พยายามให้พื้นที่นั้น
กลับคืนสู่สภาพเดิมให้มากที่สุด
วิธีช่วยเหลือตนเองเมื่อตกน้ำ
1. หากบังเอิญพลัดตกลงไปในน้ำ ควรจะพยายามรีบว่ายเข้าหาเรือ หรือรีบว่ายเข้าหาฝั่งโดยเร็ว อย่ามัวทำอ้อยอิ่งหรือทะนงตนว่าว่ายน้ำเก่ง เพราะเราไม่อาจทราบว่าสายน้ำจะไหลไปปะทะกับแก่งหินที่ใด หรือจะมีสายน้ำหมุนวนหรือดูดลงไปข้างล่างที่ใด
อยู่บนเรือหรือขึ้นฝั่งจะปลอดภัยกว่า
2. หากบังเอิญพลัดตกลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว ควรจะรีบว่ายเข้าหาฝั่งแทนการรีบว่ายเข้าหาเรือเพื่อหวังจะขึ้นเรือ เพราะกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวจะพัดพาเอาเรือออกไปด้วยความเร็ว ตนเองจะว่ายน้ำตามเรือไม่ทัน และอาจจะได้รับอันตรายจากโขดหินหรือแรงดูดของน้ำไปด้วย เมื่อขึ้นจากฝั่งได้แล้ว อาจจะรออยู่ ณ จุดนั้น หรือค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามริมน้ำ
เพื่อตามลำเรือไป
3. ถ้าขณะที่ตกน้ำนั้น ไม่สามารถว่ายน้ำได้เพราะสาเหตุใดๆก็ตาม พยายามลอยตัวอยู่เหนือน้ำในท่านอนหงาย ยกขาสองข้างขึ้น อาจจะช่วยตีน้ำไปทางทิศทางที่ต้องการด้วย เพื่อจะให้เสื้อชูชีพช่วยพยุงตัวเองให้ลอยน้ำ
และหากถูกน้ำพัดพาไปเรื่อยๆ ให้เหยียดขาไปทางด้านที่กระแสน้ำพัดพาไป เพื่อป้องกันศีรษะกระแทกกับโขดหิน และอาจจะเตะขาตีน้ำบ้างเพื่อช่วยชะลอความเร็วของกระแสน้ำที่พัดพา
อย่าคว่ำหน้า อย่างอเข่า หรืออย่าพยายามจะยืนโดยไม่จำเป็น เพราะข้างใต้ของลำน้ำเราไม่อาจจะทราบว่ามีโขดหินอยู่ที่ใด อาจจะทำให้ร่างกายถูกกระแทกกับสิ่งนั้นขณะที่ถูกน้ำพัดพาไป
และในกรณีที่ไม่มีโอกาสว่ายน้ำเข้าหาฝั่งได้เลย พยายามตั้งสติแล้วหาที่ยึดเกาะเอาไว้เท่าที่พอจะหาได้ เพื่อจะรอเรือหรือรอทีมมาช่วยเหลือ
4. หากบังเอิญพลัดตกลงไปในน้ำที่ไม่เป็นอันตราย เช่น เป็นน้ำไหลเอื่อย น้ำตื้น อย่างนี้หากหัวหน้าทีมที่ชำนาญเส้นทาง อนุญาตให้ว่ายน้ำตามเรือได้ จึงจะว่ายน้ำได้
ข้อมูลเกี่ยวกับกระแสน้ำ
1. ความแรงของกระแสน้ำ ร่องน้ำยิ่งลึกมาก กระแสน้ำจะยิ่งไหลแรงมาก บริเวณที่ลึกน้ำจะไหลแรงกว่าบริเวณที่ตื้น
2. การไหลของน้ำ (Gradient) สามารถแยกได้เป็น 2 แบบ คือ แก่ง (Rapid) น้ำจะไหลเร็วและแรงมาก แอ่ง (Pool) น้ำจะไหลช้าและมีความลึกมาก ปกติบริเวณต้นแก่งน้ำ น้ำจะไหลเอื่อยและช้ากว่ากลางแก่ง หรือปลายแก่ง
3. ความเร็วของกระแสน้ำใต้ผิวน้ำกับบนระดับน้ำจะต่างกัน โดยช่วงต่ำกว่าผิวน้ำลงไป กระแสน้ำจะค่อยๆลดความเร็วลง และ
4. ร่องน้ำรูปตัววี (downstream V) สายน้ำจะบีบตัวเข้าหากันเป็นรูปตัววี โดยมีโขดหินสองข้างขวางลำน้ำ ทำให้เกิดเป็นร่องน้ำระหว่างหิน ควรบังคับให้หัวเรืออยู่ตรงกลางของร่องตัววีนั้น แต่อย่างไรก็ตาม หัวหน้าทีมที่เชี่ยวชาญจะตัดสินใจสั่งการอีกครั้ง
5. น้ำวน ต้องพายเรือออกจากศูนย์กลางของน้ำวนให้เร็วที่สุด และกรณีตกน้ำวนก็เช่นเดียวกัน จะต้องพยายามว่ายออกจากศูนย์กลางให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องสนใจว่าฝั่งจะอยู่ทางใด และเมื่อหลุดพ้นออกมาจากวังน้ำวนแล้วจึงค่อยว่ายเข้าหาฝั่งที่คิดว่าเหมาะสม
6. คลื่น (Wave) ในกระแสน้ำที่ไหลแรงและลึก มีหินใต้น้ำ คลื่นอาจจะม้วนเป็นวงอย่างแรง ควรพยายามหลีกเลี่ยง เพราะจะควบคุมเรือยาก เรืออาจจะถูกกระแสน้ำม้วนทำให้พลิกคว่ำได้
7. น้ำม้วนหน้าแก่ง (Hydro) เกิดจากกระแสน้ำที่ตกจากที่สูง น้ำที่ตกลงมาจะม้วนตัวอยู่หน้าแก่ง ก่อนที่จะไหลต่อไป ซึ่งถ้ามีความแรงมาก ก็สามารถที่จะพลิกเรือให้คว่ำได้ ยิ่งกระแสน้ำไหลตกจากที่สูงมากเท่าใด ก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น กรณีที่เรือพลิกคว่ำหลังลงจากที่สูงแล้ว ผู้ตกน้ำควรจะดำน้ำมุดหนีโพรงน้ำนั้นให้เร็วที่สุด อย่าพยายามขึ้นมาเหนือน้ำ เพราะกระแสน้ำจะม้วนดูดกลับลงไปอีก
8. น้ำนิ่งหลังแก่ง (Eddy) กระแสน้ำบริเวณหลังแก่งจะเป็นน้ำวนไหลย้อนทิศทาง ทำให้มีความแรงของน้ำน้อยลง สามารถใช้เป็นจุดพักเรือได้
แก่งของเมืองไทย
ล่องแก่งแม่ตื่น จ.เชียงใหม่ แก่งระดับ 3
ล่องแก่งแม่แตง จ.เชียงใหม่ แก่งระดับ 2-4
ล่องแก่งแม่ปาย จ.แม่ฮ่องสอน แก่งระดับ 1-4
ล่องแก่งแม่กลอง(ตอนบน) จ.ตาก แก่งระดับ 2-3
ล่องแก่งทีลอเร จ.ตาก แก่งระดับ 3-4
ล่องแก่งเกาะร้อย จ.กำแพงเพชร แก่งระดับ 3
ล่องแก่งลำน้ำเข็ก จ.พิษณุโลก แก่งระดับ 3-5
ล่องแก่งลำน้ำว้า จ.น่าน แก่งระดับ 3-4
ล่องแก่งห้วยเขย่ง จ.กาญจนบุรี แก่งระดับ 3
ล่องแก่งแม่น้ำรันตี จ.กาญจนบุรี แก่งระดับ 2-3
ล่องแก่งซองกาเรีย จ.กาญจนบุรี แก่งระดับ 2-3
ล่องแกงต้นน้ำเพชรบุรี จ.เพชรบุรี แก่งระดับ 2-3
ล่องแก่งหินเพิง จ.ปราจีนบุรี แก่งระดับ 3-4
ล่องแก่งโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี แก่งระดับ 2-3
ล่องแก่งน้ำตกมวกเหล็ก จ.สระบุรี แก่งระดับ 2-3
ล่องแก่งลำตะคอง จ.นครราชสีมา แก่งระดับ 2-3
ล่องแก่งพะโต๊ะ จ.ชุมพร แก่งระดับ 3
ล่องแก่งแก่งกรุง จ.สุราษฎร์ธานี แก่งระดับ 3
ล่องแก่งคลองกลาย จ.นครศรีธรรมราช แก่งระดับ 2-3
ล่องแก่งน้ำตกไพรสวรรค์ จ.ตรัง แก่งระดับ 3
ระดับแก่ง หรือความง่ายยากของแก่ง
ระดับ 1. ง่ายมาก น้ำไหลเอื่อย คนทั่วไปสามารถพายได้
ระดับ 2. ธรรมดา น้ำไหลแรง ต้องมีทักษะฝีมือในการพายพอสมควร
ระดับ 3. ปานกลาง มีแก่งตื่นเต้น ต้องเรียนรู้การพาย จึงต้องฝึกเทคนิคบ้าง
ระดับ 4. ยาก มีแก่งที่ต้องใช้เทคนิคฝีมือ ต้องใช้ทักษะในการพาย และต้องระมัดระวังขณะล่องแก่ง
ระดับ 5. ยากมาก มีน้ำไหลเชี่ยว ใช้เทคนิคและประสบการณ์ฝีมือในการพายสูง ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ระดับ 6. อันตราย แก่งมีลักษณะเป็นน้ำตก ไม่เหมาะสำหรับการล่องแก่ง
รายละเอียดของแก่งบางแก่ง
1. ล่องแก่งแม่ปาย จ.แม่ฮ่องสอน แก่งระดับ 1-4
แม่ปายหรือแม่น้ำปาย เป็นแม่น้ำสายหลักของจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีต้นกำเนิดมาจากทิวเขาถนนธงชัยและแดนลาว ไหลผ่าน 3 อำเภอในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจังหวัดเดียว คือ อ.ปาย อ.ปางมะผ้า และอ.เมือง ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน เป็นแม่น้ำที่มีทิวทัศน์ป่าสวยงาม การล่องแก่งแม่ปาย จะรวมระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร
ความยากของแก่งมีตั้งแต่ระดับ 1-4 แต่ในช่วงฤดูฝนบางปีซึ่งมีระดับน้ำเชี่ยวรุนแรงมาก อาจจะถึงระดับ 5 ได้ ซึ่งมีความยากมาก
ช่วงเวลาที่เหมาะสมของการล่องแก่งแม่ปาย คือ เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปีหน้า การล่องแก่งแม่ปายควรจะอาศัยผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นเป็นผู้นำทีม
2. ล่องแก่งแม่แตง จ.เชียงใหม่ แก่งระดับ 2-4
แม่น้ำแม่แตง มีช่วงระยะทางที่เหมาะสำหรับการล่องแก่งประมาณ 10 กม. ซึ่งใช้เวลาล่องแก่งประมาณ สองชั่วโมงถึงสองชั่วโมงครึ่ง ล่องตั้งแต่ บ้านสบก๋าย ถึง บ้านเมืองกึ๊ด เป็นช่วงๆ
ช่วงแรก จากบ้านสบก๋าย ถึง ปางเกาะ ระยะทางประมาณ 5 กม. มีความยากอยู่ที่ระดับ 2-3 ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผ่านเกาะแก่งต่างๆที่สนุกตื่นเต้น แต่ไม่เป็นอันตรายมาก มีแก่งประมาณ 6 แก่ง ช่วงที่สอง จากปางเกาะ ถึง บ้านห้วยมะขาง ระยะทางประมาณ 2 กม. มีความยากอยู่ที่ระดับ 3-4 ช่วงนี้นับเป็นช่วงที่ยากมากของการล่องแก่งแม่แตง เป็นช่วงที่จะต้องล่องแก่งด้วยการทำงานเป็นทีม ส่วนในช่วงสุดท้ายจาก บ้านห้วยมะขาง ถึง บ้านเมืองกึ๊ด ระยะทางประมาณ 3 กม. มีความยากอยู่ที่ระดับ 3-4 เช่นกัน แต่ก็นับเป็นช่วงที่สนุกเพราะเป็นแก่งใหญ่ๆต่อกันถึง 3 แก่ง ความยาวรวม 500 เมตร
ช่วงเวลาที่เหมาะสมของการล่องแก่งแม่แตง คือ ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายนจนถึงเดือนตุลาคม
3. ล่องแก่งหินเพิง จ.ปราจีนบุรี แก่งระดับ 3-4
เขาใหญ่ ชื่อที่ถูกใช้เรียก เทือกเขาอันสูงใหญ่ที่ถอดตัวยาวกั้นขวางระหว่าง ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในอดีตเรียกผืนป่าบริเวณนี้ว่า ดงพญาเย็น เป็นผืนป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ คอยดูดซับน้ำฝนไว้ให้เป็นที่มาของต้นน้ำลำธาร ซึมไหลผ่านออกมาเป็นสายน้ำเล็กๆ เช่น ห้วยพระยาไกร ห้วยพระเพลิง และรวมกับหลายๆสายน้ำเล็กๆบนเขาแหลมและเขาร่มน้อย ที่ไหลมารวมกันเป็นน้ำใสใหญ่ ไหลผ่านผืนป่าลงสู่หุบเหวเป็นธารน้ำตกวังเหว จากนั้นจึงไหลลดหลั่นผ่านโขดหินมากมายจนกลายเป็นแก่งน้ำ
ที่รู้จักกันในนามแก่งหินเพิง
แก่งหินเพิงอยู่ในเขตอำเภอนาดี จ.ปราจีนบุรี มีลักษณะทางธรณีวิทยาเป็นชั้นหินทราย เมื่อถึงฤดูฝนทีไร น้ำจะไหลหลากรุนแรงผ่านเกาะแก่งกลางลำน้ำมากมาย นับเป็นลำน้ำที่เหมาะสมอีกสายหนึ่งสำหรับผู้ที่ชอบท้าทายสายน้ำเชี่ยว
การล่องแก่งหินเพิง จะเริ่มใกล้ๆกับหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ขญ.9 ลำน้ำใสใหญ่จะมีแก่งเล็กแก่งน้อยอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดทาง สภาพป่ายังคงความอุดมสมบูรณ์ แก่งน้ำที่ตื่นเต้นที่สุดคือ แก่งวังไทร ซึ่งจะมีโขดหินใหญ่อยู่ใต้น้ำเยอะมาก ทำให้กระแสน้ำที่ไหลเป็นลอนคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวขึ้นเป็นวงๆ มีระยะทางยาวราว 60 เมตร
ช่วงเวลาที่เหมาะสมของการล่องแก่งหินเพิง คือ ฤดูฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม
4. ล่องแก่งลำน้ำว้า จ.น่าน แก่งระดับ 3-4
ลำน้ำว้า เป็นต้นธารสายน้ำหนึ่งของแม่น้ำน่าน มีต้นกำเนิดจากเขาจอม บนเทือกเขาผีปันน้ำ ซึ่งพาดผ่านชายแดนไทย-ลาว บริเวณนี้เป็นป่าต้นน้ำอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่จริม อ.แม่จริม จ.น่าน ลักษณะของสายน้ำไหลผ่านกำแพงผาหิน
รอบด้านเป็นป่าผลัดใบและป่าเบญจพรรณ
จุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง อยู่ที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่จริม ล่องแก่งผ่านแก่งน้ำปุ๊ แก่งหลวง แก่งห้วยสาลี่ แก่งต้นไทร แก่งน้ำวน ไปจนสิ้นสุดที่หาดบ้านไร่ ลำน้ำว้ามีสายน้ำที่เร้าใจตรงที่แก่งน้ำเป็นลูกคลื่นเช่นเดียวกัน โดยใช้ระยะเวลาในการล่องแก่งประมาณ 4-5 ชม.ความยากอยู่ในระดับ 3-4
ฤดูกาลล่องแก่งลำน้ำว้า คือเดือนพฤษภาคมกรกฎาคม เป็นโปรแกรมพิชิตแก่งน้ำว้าหน้าฝน และเดือนกันยายนกุมภาพันธ์ เป็นโปรแกรมพิชิตแก่งน้ำว้าหน้าหนาว
5. ล่องแก่งแม่น้ำรันตี จ.กาญจนบุรี แก่งระดับ 2-3
ต้นกำเนิดของสายน้ำรันตี เกิดจากผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรทางด้านทิศตะวันตก ไหลลงมากลายเป็นแม่น้ำรันตี ผ่านหมู่บ้านกะเหรี่ยงกองม่องทะ ซึ่งห่างจากตัวอำเภอสังขละบุรี ประมาณ 25 กิโลเมตร ลอดใต้สะพานรันตี ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำเขาแหลม
จุดเด่นของการล่องแก่งแม่น้ำรันตี คือการล่องแก่งด้วยแพไม้ไผ่จากบริเวณหมู่บ้านกะเหรี่ยง-มอญเลี้ยงช้าง ผู้ล่องแก่งจะต้องใช้ไม้ไผ่ถ่อบังคับทิศทางของแพไม้ไผ่ด้วยตนเอง สร้างความสนุกสนานเร้าใจไปอีกแบบ แก่งน้ำนี้จะผ่าน แก่งหน้าวัด และแก่งมะนาว
ในช่วงฤดูฝนเดือนมิถุนายน-ตุลาคมซึ่งมีปริมาณน้ำมาก กระแสน้ำจะท่วมแก่งหินต่างๆและไหลเชี่ยวพอสมควร ระดับความยาก 2-3 ส่วนในช่วงฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ซึ่งมีน้ำน้อย ระดับความยาก 2 แต่แม่น้ำรันตีจะชดเชยให้ผู้ล่องแก่ง ด้วยอากาศที่หนาวและน้ำในแม่น้ำรันตีที่เย็นและใสจนสามารถมองเห็นตัวปลาในแม่น้ำรันตีได้.