ผัดกะเพรา
ผัดกะเพรา
ข้าว(ราด)กะเพราหมูสับ ... ข้าว(ราด)กะเพราไก่ ใครๆก็ว่าเป็นอาหารสิ้นคิด อ่อนความคิดสร้างสรรค์ หุหุ
ใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่แม่ค้าหลายร้านก็ยืนยันว่า ต้องขาย เพราะขายดี ขายดีทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อเย็นเลย
นักศึกษาชอบ ข้าราวการชอบ คนงานชอบ คนโดยสารรถไฟชอบ คนรอรถทัวร์ชอบ คนรีบๆกินแล้วไปธุระ
ชอบ ยิ่งคนต่างจังหวัด
ยิ่งชอบ
เออ
..แต่ไม่ยักกะมีเสิร์ฟบนเครื่องบิน รึว่า ผู้โดยสารไม่ชอบ
จขบ.เคยพบกระทู้หนึ่งในพันทิป เขาตั้งกระทู้มาว่า
ถามเพื่อนๆทำงานตามoffice เวลากลางวันเบื่ออาหารอะไรที่สุด และอยากทานอะไรมากที่สุด อยากให้แม่ค้าขายอะไรมากที่สุด
จากคุณ : สีไม้น้ำ[ 18 พ.ย. 49 17:33:33 ]
เบื่อๆๆๆๆ ที่สุด กินแต่อาหารสิ้นคิด ทู้กกก วัน ก็ข้าวกะเพราหมูสับ ใข่ดาวอ่ะดิ กินมันได้ทุกมื้อกลางวัน เฮ้อๆๆๆๆ
จากคุณ : m'_yui - [ 20 พ.ย. 49 07:19:32 ]
ขอตอบคับ เวลากลางวันเบื่ออาหารอะไรที่สุด....ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว... อยากทานอะไรมากที่สุด.....ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว... อยากให้แม่ค้าขายอะไรมากที่สุด....ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว... อิอิ....กินได้ทุกวันไม่รู้จะกินไร...ขี้เกียจคิดอ่ะ....ถ้าไม่มีเมนูนี้ ฉงฉัย..อดข้าวกลางวันแน่นอนเลยอ่ะ......คิคิ
จากคุณ : บังใบ - [ 20 พ.ย. 49 08:32:47 ]
ชอบกินอาหารสิ้นคิดอ่ะ
. กินได้ไม่เบื่อ
จากคุณ : ชลันธ์ - [ 21 พ.ย. 49 22:06:50 ]
ไม่เพียงแต่คนไทยที่ชอบกินผัดกะเพรา ชาวเกาหลีหลายคนเขาก็ชอบ
.
จากข้อมูลของ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้คำแนะนำแก่ผู้เปิดร้านอาหารไทยในเกาหลีว่า
ชาวเกาหลีจะรับประทานอาหารที่มีรสจัดมากกว่าชาวจีนหรือชาวญี่ปุ่น ดังนั้นรายการอาหารที่เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวเกาหลี คือ ต้มยำกุ้ง ผัดกะเพราไก่ ผัดไทย ยำทะเล เป็นต้น
นอกเหนือจากรายการอาหารเหล่านี้ ชาวเกาหลียังนิยมบริโภคอาหารทะเลดิบแบบญี่ปุ่น เช่น ซูชิ ซาซิมิ ชาวเกาหลีนิยมบริโภคข้าวและบะหมี่เป็นอาหารหลัก โดยมักจะรับประทานกับผักดอง (กิมจิ) เนื้อย่างเช่น เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ และน้ำแกงที่ปรุงรสด้วย ซีอิ๊ว น้ำปลา เต้าเจี้ยว และพริกป่น
หมายเหตุ1 จากจขบ...... คนเอเชียที่ไม่นิยมกินกะเพรา น่าจะเป็นคนจีน เพราะอาหารจีนจะไม่นิยมใส่ใบกะเพรา (และแปลกที่อาหารจีนไม่นิยมกินผักสด แต่ผักที่จะใช้ปรุงอาหารมักจะใช้ความร้อนแรงๆและเร็วๆแทน)
หมายเหตุ2 จากจขบ...... จากข่าวในไทยรัฐ เจ้าชายจิกมี ทรงโปรดผัดกะเพรา
เจ้าชายจิกมีถึงไทยแล้ว [24 พ.ย. 49 ]
ประชาชนชาวไทยได้ปลื้มปิติยินดีและมีโอกาสได้เฝ้าชื่นชมพระบารมี เจ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมารรูปงามแห่งราชอาณาจักรภูฏาน อย่างใกล้ชิดอีกคำรบหนึ่ง เมื่อเจ้าชายจิกมี เสด็จเยือนไทยอีกครั้ง เพื่อทรงเที่ยวชมงานพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ราชพฤกษ์ 49 ที่เชียงใหม่
นายสว่าง พุ่มพวง รอง ผจก.ใหญ่ ฝ่ายไทย โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ได้กล่าวถวายการต้อนรับเจ้าชายจิกมี ซึ่งเจ้าชายจิกมี ได้แย้มพระโอษฐ์และยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม พร้อมตรัสเป็นภาษาอังกฤษว่า รู้สึกยินดีเช่นกันที่ได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง ก่อนที่จะเสด็จฯขึ้นสู่ห้องรอยัล ออคิด สวีท ชั้น 28 ที่โรงแรมจัดถวายให้เป็นที่ประทับพักแรม
น.ส.จิราภา จันทร์กิติสกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด เผยว่า ห้องรอยัล ออคิด สวีท ซึ่งถือเป็นห้องพักที่ดีที่สุดของโรงแรม และเป็นห้องที่เจ้าชายเคยประทับ เมื่อครั้งเสด็จฯร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ในวันนี้โรงแรมได้ปิดชั้น 28 ซึ่งเป็นชั้นที่เจ้าชายจิกมีประทับทั้งชั้น เพื่อถวายความปลอดภัย ภายในห้องที่ประทับ สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยา และภายในห้องยังประดับประดาตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวอมม่วง ที่พระองค์ทรงชื่นชอบ สำหรับห้องนี้เคยใช้ต้อนรับประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ และ บอง โจวี นักร้องชื่อดังระดับโลกมาแล้ว
นายทรงวุฒิ โถน้อย เชฟประจำโรงแรม ผู้ปรุงพระกระยาหารถวายเจ้าชายจิกมี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยปรุงพระกระยาหารถวายเจ้าชาย ซึ่งพระองค์เสวยง่ายๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทรงโปรดอาหารไทย โดยเฉพาะ ไข่เจียวปู ผัดกะเพรา และต้มยำกุ้ง ซึ่งรสจะไม่จัดมาก และไม่ใช้มะนาวเพื่อให้รสเปรี้ยว แต่จะใช้น้ำมะขามแทน พระองค์ทรงชอบอาหารที่ง่ายๆ สบายๆ ทำให้คนครัวสบายๆ ไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด ที่สำคัญอีกประการหนึ่งพระองค์จะมีเจ้าหน้าที่ประจำพระองค์ที่ตามเสด็จฯมาจากภูฏาน คอยตรวจสอบอาหารทุกชนิดก่อนที่จะถวายให้เสวย
..
จขบ.เอง เป็นคนกินอาหารรีบๆคนหนึ่งและชอบกินรสจัด
.ข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาว หรือข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว จึงเป็นอาหารยอดฮิตที่ชอบสั่งแม่ค้าที่ร้าน ทั้งร้านแถวบ้านและแถวที่ทำงาน
ที่จริง พอกินจำเจเข้า ก็มีเบื่อๆอยู่บ้างเหมือนกัน
.ก็จะขอแม่ค้าเปลี่ยนจากไข่ดาวเป็นไข่เจียวบ้าง ขอเปลี่ยนจากหมูสับหรือไก่ เป็นกุ้ง เป็นปลาหมึก หรือเป็นไข่เยี่ยวม้าบ้าง
คราวหน้าก็กำลังคิดอยู่ว่า
.จะขอเปลี่ยนเป็นกบ เป็นหมูยอ เป็นแหนม แต่ที่ไม่เปลี่ยนแน่ๆ ก็คือผัดกะเพรา
.โฮะโฮะ
ผัดกะเพรา แม้จะเป็นอาหารดาษๆ สิ้นคิดอย่างที่บางคนเรียก แต่กะเพราก็เป็นผักพื้นบ้านที่มีคุณประโยชน์อย่างที่บางคนไม่เคยรู้
เชื่อมั๊ย
ปกติเรามักจะรู้กันเพียงว่า ทาน "ผักบุ้ง" จะช่วยบำรุงสายตา แต่เราไม่ค่อยรู้กันว่า กะเพราก็มีคุณประโยชน์ไม่แพ้ผักบุ้ง ทั้งนี้เพราะ "กะเพรา" มีเบต้าแคโรทีน และ วิตามินซี รวมทั้งมี ฟอสฟอรัส เหล็ก และแคลเซียม ในปริมาณสูง ทำให้ช่วยบำรุงสายตาได้ดี
และปกติเรามักจะรู้กันว่า แครอท เป็นพืชที่อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน แต่เชื่อมั๊ย
กะเพรา ผักพื้นบ้านไทยนี่แหละ มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มากกว่าแครอท ซะอีก
ในผักพื้นบ้าน ขนาด100 กรัม
ยอดแค มีเบต้าแคโรทีน 8,654 ไมโครกรัม, รวมวิตามินเอ 1,442 หน่วยสากล ใบกะเพรา มีเบต้าแคโรทีน 7,867 ไมโครกรัม, รวมวิตามินเอ 1,310 หน่วยสากล ใบขี้เหล็ก มีเบต้าแคโรทีน 7,181 ไมโครกรัม, รวมวิตามินเอ 1,197 หน่วยสากล แครอท มีเบต้าแคโรทีน 6,994 ไมโครกรัม, รวมวิตามินเอ 1,166 หน่วยสากล
อนึ่ง เบต้าแคโรทีน จะมีมากในผลไม้สีเหลืองด้วย เช่น มะละกอ ฟักทอง มะม่วงสุก มะปราง เป็นต้น
เบต้าแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญในแง่การกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้เซลล์ร่างกายแข็งแรงขึ้น เป็นการช่วยชะลอความชราไม่ให้ร่างกายของคนเราแก่เร็ว ช่วยป้องกันโรคเสื่อมต่างๆ ตั้งแต่โรคข้อ โรคหัวใจ โรคอัมพาต และข้อสำคัญ สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารที่สามารถป้องกันการกลายเป็น เซลล์มะเร็ง
จากงานวิจัยพบว่า เบต้าแคโรทีน จะทำให้เซลล์ปอด หลอดลม ผิวหนัง หลอดอาหาร กระดูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ไต สมอง แข็งแรงขึ้น เบต้าแคโรทีน ช่วยรักษาผิวพรรณ ลบริ้วรอยของสิวผ้า ริ้วรอยของผิวที่เหี่ยวย่น ช่วยทำให้มองเห็นได้ดีขึ้นในที่สลัวๆ และยังช่วยรักษาอาการของโรคภูมิต้านทาน เช่น ช่วยบรรเทาอาการแพ้อากาศ ช่วยในการป้องกันโรคข้อรูมาตอยด์ด้วย
ส่วนวิตามินซี ซึ่งมีมากในกะเพรา ก็เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่ง ที่มีคุณประโยชน์ไม่น้อยไปกว่า เบต้าแคโรทีน
วิตามินซีจะเพิ่มความแข็งแกร่งและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว จะช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ วิตามินซี จะช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของเส้นเลือด จึงป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและป้องกันอัมพาต วิตามินซี จะช่วยระบายท้อง จะช่วยสมานแผล จะช่วยรักษาอาการหวัด และช่วยรักษาอาการเครียด
วิตามินซี จะมีมากเป็นพิเศษในความสดของผักสดและผลไม้สด ยิ่งสดเท่าไรก็จะยิ่งมีวิตามินซีมากเท่านั้น ผักที่เก็บจากต้นเดี๋ยวนั้นและกินเดียวนั้น จะให้วิตามินซีมากกว่าเก็บมาไว้ข้ามคืน จากรายงานวิจัยพบว่าวิตามินซีจะน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อเก็บผักหรือผลไม้จากต้นนาน ๆ
และกะเพรา นอกจากจะช่วยบำรุงสายตา (ดังที่เปรียบไว้กับผักบุ้ง) กะเพรา ยังใช้เป็นยาแก้ไข้ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้คลื่นไส้ อาเจียน บำรุงธาตุ เพิ่มน้ำนมในสตรีหลังคลอดได้อีกด้วย
โดยการต้มใบสดและยอดอ่อนรวมกัน ดื่มเอาแต่น้ำ ...หรือหากจะใช้รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ก็ทำได้โดยใช้ ใบสดผสมเกลือเล็กน้อยตำให้ละเอียด ทาบริเวณที่เป็นโรค ก็จะหายจากโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนโดยไม่ต้องหาซื้อยาแพงๆ
จากข้อมูลของคณะเภสัชศาสตร์ ม. มหิดล
ทานใบกะเพราสดทุกวัน แก้โรคกระเพาะได้ ...ใบกะเพรา มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ประมาณ 0.35% และกรดอินทรีย์หลายชนิด การทดลองพบว่า น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ขับลม ขับน้ำดี ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ลดการบีบตัวของลำไส้ ช่วยย่อยไขมัน และลดอาการจุกเสียด
นี่แหละ ประโยชน์ของ กะเพรา หรือผัดกะเพรา อาหารที่หลายคนคุ้นปาก แต่ยังไม่ค่อยคุ้นในคุณค่า.....
แถมกะเพรา สามารถจะปลูกขึ้นง่ายแถวริมรั้ว หรือปลูกในกระถางบนคอนโดก็ยังได้......
Create Date : 09 ธันวาคม 2549 |
Last Update : 9 ธันวาคม 2549 13:43:04 น. |
|
71 comments
|
Counter : 21526 Pageviews. |
|
|
|
กะเพรา เป็นพืชอยู่ในตระกูลเดียวกับ โหระพาและแมงลัก เป็นพืชผักจำพวกเครื่องเทศที่ใช้ ใบสดใบอ่อน ประกอบอาหารในย่านเอเซียบางประเทศ เพื่อช่วยดับกลิ่นคาว ช่วยชูรสอาหาร ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้อาหาร และข้อสำคัญช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ให้กับร่างกาย
กะเพรา มักใช้ใส่ในอาหารประเภท ผัดกะเพรา ผัดขี้เมา แกงป่า แกงเผ็ด แกงเลียง และหอยนึ่ง เป็นต้น
ในประเทศไทยมีอยู่ 3 พันธุ์ คือ กะเพราแดง กะเพราขาว และกะเพราลูกผสมระหว่างกะเพราแดงและขาว เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นและใบมีขนอ่อน ใบมีกลิ่นหอมฉุน ดอกเป็นดอกช่อ ใบและกิ่งก้านกะเพราขาวมีสีเขียวอ่อน ส่วนใบและกิ่งก้านกะเพราแดงมีสีเขียวแกมม่วงแดง
หากจะใช้เป็นยา จะใช้ใบที่สมบูรณ์เต็มที่ นิยมใช้กะเพราแดงมากกว่ากะเพราขาว