เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น



เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น


เรื่องนี้ เล่ากันว่าเป็นเรื่องที่โจษขานกันมากในญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ 22 ปีก่อน



ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของญี่ปุ่นนั้น การกินบะหมี่ในวันส่งท้ายปี นับเป็นประเพณีเก่าแก่ของญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ ร้านบะหมี่ทุกร้านในประเทศญี่ปุ่นจึงขายดีมากในวันสิ้นปี รวมทั้งที่แถบซัปโปโร บนเกาะฮอกไกโด




002




003






"ร้านฮอกไก" บนถนนซัปโปโร ก็เช่นกัน ในวันนี้มีผู้คนเข้ามาอุดหนุนแน่นขนัดร้านตลอดทั้งวัน ผู้เป็นเจ้าของและภรรยาแทบจะไม่ได้นั่งพักเลย จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. ผู้คนจึงเริ่มจะบางตาลง ตอนนี้ละ พอจะหายใจหายคอ พอจะได้พูดคุยหรือนั่งพักบ้าง




004





โดยปกติแล้วบนถนนสายนี้ ผู้คนจะออกมาจับจ่ายซื้อของและสัญจรกันอย่างเนืองแน่นทั้งวันทั้งคืน แต่ในวันนี้ผู้คนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นร้านค้าบนถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วขึ้นกว่าปกติ รวมทั้งเจ้าของร้าน"ฮอกไก"และภรรยา ซึ่งก็อยากจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเช่นกัน



พอลูกค้าคนสุดท้ายลุกออกจากร้าน ขณะที่ภรรยากำลังจะปิดประตูร้าน เธอก็ต้องสะดุ้ง เพราะประตูร้านถูกเปิดออกอย่างเบาๆ ด้วยมือของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งนำเด็กชายสองคนเข้ามาในร้าน คนหนึ่งอายุประมาณ 10 ขวบ อีกคนหนึ่งอายุประมาณ 6 ขวบ เด็กทั้งสองอยู่ในชุดกีฬาใหม่เอี่ยม แต่หญิงผู้เป็นแม่สวมโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตที่ดูเก่าๆและรูปแบบไม่ทันสมัย



"เชิญนั่งค่ะ" ภรรยาเจ้าของร้านทักทายลูกค้าด้วยอัธยาศัยอันดี



หญิงผู้เป็นแม่เอ่ยปากขึ้นอย่างหวาดๆว่า "ขอซื้อบะหมี่น้ำสักชาม ได้ไหมคะ?" เด็กชายสองคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังก็สบตากันอย่างหวาดๆไม่แตกต่างไปจากผู้เป็นมารดามากนัก



"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ละค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" ภรรยาเจ้าของร้านเชื้อเชิญพวกเขานั่ง ที่โต๊ะเบอร์สองชิดกับฝาผนังร้าน แล้วเธอก็ตะโกนบอกไปทางห้องครัว ตามรูปแบบที่เธอเคยทำอยู่เป็นประจำ "บะหมี่น้ำ หนึ่งชาม"



บะหมี่น้ำ หนึ่งชาม คือบะหมี่แค่หนึ่งก้อน ลวกลงในน้ำเดือด แล้วปรุงเครื่อง ปรุงผัก ปรุงไข่ พร้อมน้ำซุป ....เจ้าของร้านคิด “มันจะพออะไร๊!!!” แล้วเขาก็ใส่บะหมี่แถมเข้าไปอีกครึ่งก้อน เขาปรุงออกมาเป็นบะหมี่น้ำ ใส่น้ำซุปเยอะๆ กลิ่นและควันหอมฉุย โดยที่ภรรยาของเขา และลูกค้าไม่รู้เลยว่าเขาแถมบะหมี่มาให้




005





สามคนแม่ลูกนั่งล้อมหัวกันรอบชามบะหมี่ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางก็พูดคะยั้นคะยอคนอื่น


"ทานซิครับ แม่" ลูกชายคนพี่พูด


"แม่ ทานหน่อยซิครับ" ลูกชายคนน้องพูด ปากพูดพร้อมมือคีบบะหมี่เข้าปากแม่ แทนที่จะคีบบะหมี่เข้าปากตนเอง



ไม่นาน บะหมี่ทั้งชามก็หมดไม่มีเหลือ จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วทั้งสามคนก็ชมเจ้าของร้านและภรรยาว่า "ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)" พร้อมกับค้อมตัวลงอย่างสุภาพแล้วก็เดินจากไป



"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ด้วยค่ะ(ครับ)" เจ้าของร้านและภรรยาต่างก็กล่าวขอบคุณลูกค้าด้วยวาจาพร้อมกัน



ธุรกิจขายบะหมี่ในร้าน "ร้านฮอกไก" บนถนนซัปโปโร ดำเนินไปวันแล้ววันเล่า ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และต่อเนื่องไปถึงตอนดึก และแล้ววันเดือนก็ผ่านไปอีกครบหนึ่งปี




006




007




008




009





วันที่ 31 ธันวาคม ก็เวียนมาอีกรอบ ...ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีมากเหมือนทุกวันที่ผ่านมา และขายดีมากเป็นพิเศษในวันนี้ เจ้าของร้านทั้งสองเหน็ดเหนื่อยกับการปรุงบะหมี่ เสิร์ฟบะหมี่ เก็บชามและเช็ดโต๊ะ จนที่สุดวันที่แสนจะวุ่นวายก็จบลง เฮ้อ จะได้พักผ่อนฉลองปีใหม่กันสักที



เวลา 22.00น.กว่าๆในขณะที่ภรรยากำลังจะปิดร้านอยู่นั้น เธอก็ต้องสะดุ้งชักมือกลับอีกรอบหนึ่ง เพราะประตูร้านถูกดึงออกเบาๆ โดยผู้ที่เดินเข้าร้านมาก็คือ แม่กับลูกชายสองคน



พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตที่ดูเก่าและไม่ทันสมัย ภรรยาเจ้าของร้านก็นึกขึ้นได้ว่า เป็นลูกค้ารายสุดท้ายของวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง



"ขอซื้อบะหมี่น้ำ สักหนึ่งชามได้มั๊ยคะ?"



"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ" แล้วเธอก็นำพวกเขาไปนั่ง ณ ที่นั่งเดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สองของร้าน พร้อมกับตะโกนเข้าไปในครัวเหมือนที่เคยปฏิบัติทุกวัน "บะหมี่น้ำ หนึ่งชาม"



เจ้าของร้านรับคำ "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" พร้อมกับจุดเตาที่เพิ่งจะดับไปเมื่อครู่ โชคดีที่ว่าไม่ต้องรอนาน เพราะน้ำซุปในหม้อยังมีความร้อนสูงอยู่



ภรรยาของเขา ...ความที่เป็นคนมีน้ำใจดี ก็แอบเข้าไปสะกิดสามีว่า "นี่ตาเฒ่า เธอปรุงบะหมี่ไปให้พวกเขาสามชามเลยไม่ได้เหรอ? ทำไมจะต้องให้ไปแค่ชามเดียว สามคน!!!"



"ไม่ได้ ถ้าฉันทำเช่นนั้น จะทำให้พวกเขาอาย กินไม่อร่อย แล้วไม่สบายใจ รู้มั๊ย??"



สามีตอบพลาง แล้วก็แอบโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อน้ำที่เริ่มจะเดือดพล่าน โดยที่ภรรยาของเขาไม่ทันเห็น แล้วก็หันไปพูดกับภรรยาเสียงเบาๆว่า "เห็นเธอพูดจาเสียงดัง ไม่นึกเลยว่า จิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"




สามี ยกบะหมี่น้ำชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินให้กับภรรยา ยกไปให้สามแม่ลูกที่กำลังชะเง้อคอยอยู่ด้วยความหิว .....และแล้วก็ถึงเวลาที่สามคนแม่ลูก นั่งล้อมหัวรอบชามบะหมี่อีกครั้ง กินไปก็ชักชวนให้อีกฝ่ายกินเยอะๆ และก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนม …และเสียงคุยของสามคนแม่ลูก ก็ดังไปถึงหูของเจ้าของร้านและภรรยาด้วย




010





"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริงๆ"


"แม่ครับ ปีนี้เราสามารถมากินบะหมี่ของร้าน”ฮอกไก”ได้ นับว่าไม่เลวทีเดียวนะ"


"ถ้าปีหน้า สามารถมากินได้อีก ก็ดีนะสิ แม่"



กินเสร็จ ผู้เป็นแม่ก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามคนแม่ลูกก็ลากลับอย่างสุภาพ และเดินออกจากร้าน “ฮอกไก”ไป



"ขอบคุณค่ะ(ครับ) และสวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" เจ้าของร้านและภรรยากล่าวขอบคุณบ้าง และมองตามหลังสามแม่ลูก เดินลับจากไป





011




012





กิจการของ “ร้านฮอกไก” ได้รับความนิยมดีมาก มีเงินเข้าร้านมากขึ้น จนถึงกับจ้างพนักงานมาช่วยเก็บจาน ล้างจาน และช่วยงานอื่นๆ วันทั้งวันเจ้าของร้านและภรรยาจะมีโอกาสต้อนรับและให้บริการลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรที่ผลัดหน้ากันเข้ามาใหม่ จนยากจะจำใบหน้าใครๆได้ แต่ใบหน้าของลูกค้าชุดหนึ่งที่เจ้าของร้านและภรรยาไม่เคยลืม ก็คือใบหน้าของสามคนแม่ลูกในวันสิ้นปีเก่า




แล้วในวันสิ้นปี ก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พอเลยเวลา 21.00น.ไปแล้ว เจ้าของร้านและภรรยาก็สบตากันและเริ่มมองดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่ผนังร้านอยู่บ่อยๆ ถึงเวลา 22.00น. พนักงานในร้านต่างได้รับเงินขวัญถุงจากเจ้าของร้าน แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน



พอลูกค้าและผู้ช่วยงานออกไปจากร้านหมดแล้ว เจ้าของร้านทั้งสองคนก็สบตากัน แล้วก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้บนผนังทั้งหมด พลิกกลับด้านหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" ..และเมื่อ 30นาทีก่อนหน้านี้ไปแล้ว ภรรยาของเจ้าของร้านก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สองของร้านเอาไว้แล้วด้วย……เหมือนกับว่า ร้านนี้ มีเจตนารอแขกชุดหนึ่งจะมาอย่างนั้นแหละ



22.30น. ในที่สุด สามคนแม่ลูก ก็เดินเข้ามาราวกับเวลานัดของร้านแบบเงียบๆและอย่างสุภาพ ลูกชายคนโตนั้นวันนี้เขาสวมเครื่องแบบมัธยมของโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง ดูสภาพแล้วยังใหม่อยู่ทีเดียว ส่วนคนน้อง เขาสวมเสื้อแจ๊คเก็ตที่พี่ชายเคยสวมเมื่อปีก่อน มันยังดูหลวมๆไม่พอดีตัวนัก แต่เด็กทั้งสองคนก็สูงขึ้นมากแม้จะดูผอมไปหน่อย



ผู้เป็นแม่ เธอยังคงสวมเสื้อโค้ท ลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและไม่ทันสมัย แต่ที่แปลกกว่าปีก่อนๆ ก็คือมันมีสีซีดลง และมีรอยเย็บชุน



"เชิญค่ะ เชิญค่ะ" ภรรยาเจ้าของร้านทักทายด้วยความดีใจ



ผู้เป็นแม่นั้น มองใบหน้าคนใจดีแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจยิ่งขึ้น เปล่งคำพูดจากในลำคอออกมาเบาๆว่า "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำ ให้สักสามชาม ได้ไหมคะ?"



"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ" ภรรยาเจ้าของร้านนำทั้งสามคนไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง และรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางในครัวว่า "บะหมี่น้ำ สามชาม"



"ได้ครับ บะหมี่น้ำสามชาม ได้เดี๋ยวนี้ครับ"



เจ้าของร้านตอบพลาง โยนบะหมี่ที่เตรียมเอาไว้ลงในหม้อน้ำที่เดือดรออยู่แล้ว จำนวนสามก้อน




013





สามแม่ลูกกินบะหมี่คนละชามอย่างเอร็ดอร่อย กินไปก็สบตากันไป วันนี้เขาทั้งสามไม่ต้องสุมหัวรวมกันที่ชามบะหมี่ ใบเดียวกันอีกแล้ว ระหว่างกินก็มีสายตาห่วงใยมองไปที่คนอื่น แต่เป็นสายตาที่ใครๆพบเห็นก็จะรู้ว่า ...ทั้งสามคนนี้เขามีความสุข



สองสามีภรรยาซึ่งแอบยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ ก็ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาทั้งสามคนได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานใจไปด้วย



"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูกๆ เป็นอย่างมาก"


"ขอบคุณ ?" "ทำไมล่ะครับ"


"เรื่องเป็นอย่างนี้ …คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุขับรถแล้วเสียชีวิตไป ได้ทำให้คนอื่นอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันเขาไม่รับผิดชอบตรงส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ ทำให้เราต้องจ่ายเงิน เดือนละห้าหมื่นเยน ทุกเดือน"


"เอ๊ะ เรื่องนี้ ผมกับน้องก็ทราบแล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ



ฝ่ายสองสามีภรรยาที่แอบอยู่ ต่างแทบจะลืมหายใจ ที่จะได้มีโอกาสฟังเรื่องนี้



"คือแต่เดิมนั้น แม่จะต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้า เดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว หมดก่อนที่กำหนดตั้งสามเดือนแน่ะ"


"จริงหรือครับ แม่? ดีใจจังครับ" ลูกชายคนเล็กพูด


"จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะพี่ชายของลูก เขาขยันส่งหนังสือพิมพ์ ตัวลูกเองก็ช่วยแม่ ไปซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่มีเวลาทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทของแม่จึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมกับให้เงินโบนัสพิเศษกับแม่ วันนี้แม่ดีใจมากๆ ลูก ที่สามารถนำเงินไปชำระส่วนที่เหลือได้ทั้งหมดรวดเดียว"



"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษ ซิครับ …แต่ว่าขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ" ลูกชายคนเล็กขอร้อง



"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ...นะแม่นะ เรายังจะต้องร่วมแรงสู้กันต่อไปอีกหน่อยละ นะน้องนะ"



"ขอบใจลูกทั้งสองมาก แม่ขอบใจจริงๆ"



ลูกชายคนที่เป็นพี่บอก "แม่ครับ ผมกับน้อง มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน โรงเรียนของน้อง เขาได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกฉบับหนึ่งว่า เรียงความของน้อง ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อจะไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆของน้องนะครับ ผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนของแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้องน่ะครับ"



"อ้าว จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ?"



ลูกชายคนน้องบอกแม่อย่างอายๆว่า "หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ‘ความปรารถนาของข้าพเจ้า’ นะครับ แม่"



พี่ชายเสริมว่า “แม่ น้องได้นำเอาเรื่อง บะหมี่น้ำหนึ่งชาม มาเขียนเป็นเรียงความครับ แล้วน้องยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"


แล้วพี่ชายก็พูดต่อว่า "ในเรียงความเขียนว่า…’หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้มอบหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวันทุกคืน แม้แต่เรื่องของผมที่ผมต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลยครับ…’ "



"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึง ..’ ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูก ได้มีโอกาสมาล้อมหัวกันกินบะหมี่น้ำ มันอร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว และคุณตาคุณยายเจ้าของร้าน ยังกล่าวขอบคุณพวกเรา แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้กับพวกเราอีก....



เสียงเหล่านั้น เป็นกำลังใจให้พวกเราเข้มแข็ง ที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหมดของคุณพ่อให้เร็วที่สุด…



ด้วยเหตุนี้เอง น้องจึงได้ตัดสินใจว่า โตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะมอบกำลังใจให้แก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้ทุกคนมีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…’ "



สองสามีภรรยาเจ้าของร้าน ที่ยืนแอบฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ จู่ ๆ ก็มีอันหายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายตัวไปไหน เพียงแต่พวกเขาคุกเข่านั่งกันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลออกมาแบบไม่ยอมหยุด



"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า …’ วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชาย ขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ’ "



"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ?" แม่ถามลูกชายคนโตอย่างสนใจ


"มันกะทันหันครับแม่ ตอนแรก ๆก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดไปว่า…’ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคน มีกิจกรรมทำกันในตอนเย็น น้องผมก็มักจะอยู่ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้ เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้ คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"



"และเมื่อครู่นี้ ตอนที่ผมได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่อง บะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอผมได้เห็นน้องผม ยืดอกอ่านเรียงความเรื่อง บะหมี่น้ำหนึ่งชาม ด้วยเสียงอันดัง นั้นจบลง ผมถึงได้รู้ว่า ความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ ถึงจะเรียกว่า เป็นความน่าละอายจริงๆ"



"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ ที่จะเข้ามาสั่งบะหมี่น้ำ หนึ่งชาม เพื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"




สามคนแม่ลูกกุมมือกันอยู่เงียบๆ ตบไหล่กัน และกินบะหมี่หมดไปอย่างมีความสุข เมื่อจ่ายเงินสี่ร้อยห้าสิบเยน พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณเจ้าของร้านแล้ว ก็ค้อมตัวลงอย่างสุภาพก่อนจะเดินออกจากร้านไป



เจ้าของร้านทั้งสอง ซึ่งกล่าวคำ "ขอบคุณค่ะ(ครับ) และสวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" มองตามหลังสามคนแม่ลูกที่เดินจากไป เขาทั้งสองรู้สึกว่า สิ่งที่ดีงามได้เกิดขึ้นแล้ว ในร้านนี้ในตอนสิ้นปี เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ




014



015



016



017





และแล้วเหตุการณ์ก็ดำเนินผ่านไปอีกปีหนึ่ง



ในวันสิ้นปี ปีถัดมา พอถึงเวลา 21.00น.ทางร้าน “ฮอกไก” ก็วางป้าย "โต๊ะจอง" ไว้บนโต๊ะเบอร์สอง แล้วก็เฝ้ารอคอย การมาเยือนของสามคนแม่ลูกอย่างใจจดใจจ่ออีกรอบ



แต่แปลก ในปลายปีนั้น สามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้าน



ปีที่สอง ปีที่สามผ่านไปอีกสองปี ….โต๊ะเบอร์สอง ก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม …สามคนแม่ลูก ไม่ได้มาที่ร้าน “ฮอกไก” !!!! ….แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน เจ้าของร้านทั้งสองต่างคิด!!




018



019





อย่างไรก็ตาม กิจการของร้าน “ฮอกไก” ก็ดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ …แต่ก็จะมี โต๊ะเบอร์สองนี่แหละที่เก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม



"นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ?" ลูกค้าหลายคนต่างถามด้วยความกังขา



สุดท้ายภรรยาเจ้าของร้าน ก็เลยต้องเล่าเรื่อง บะหมี่หนึ่งชามกินกันสามคน ให้แก่ลูกค้าทั้งหลายฟัง และบอกว่า “โต๊ะเก่าตัวนั้น ที่ตอนนี้ยกมาวางไว้อยู่กลางร้าน เหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจกับตัวเองอย่างหนึ่ง และก้อไม่แน่ว่า วันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามคนอาจจะกลับมาที่ร้านอีกก็ได้ โดยหวังว่าจะได้ใช้โต๊ะตัวนี้ในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามอีก”



“เดี๋ยวนี้ โต๊ะเบอร์สอง ตัวนี้ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โต๊ะแห่งความสุข’ มันเป็นความสุขจริงๆที่ได้มองเห็นมัน และได้อยู่ใกล้ชิดมัน”



ลูกค้าทั้งหลายต่างก็พูดต่อๆ กันไป …มีนักเรียนหลายคนอยากจะเห็นโต๊ะตัวนี้ ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลๆ มากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะขอนั่งโต๊ะเก่าตัวนี้



แล้วก็ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลายปี หลายปี …



ระยะหลัง พอถึงวันสิ้นปี หลังจากปิดร้านค้าแล้ว เจ้าของร้านค้าในละแวกใกล้เคียงกับร้าน “ฮอกไก” ก็มักจะมารวมตัวกันฉลอง โดยการกินบะหมี่ที่ร้าน “ฮอกไก” กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังตีบอกเวลา วันส่งท้ายปีเก่า แล้วจากนั้นทุกคนก็จะร่วมกันไปวัดเพื่อไปไหว้พระด้วยกัน …เป็นธรรมเนียมแบบนี้มารวม 5-6 ปีแล้ว




020





แล้วในวันนี้ ...วันสิ้นปีอีก เช่นเดียวกัน พอเลยเวลา 21.30น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลาก็มาถึงที่ร้าน“ฮอกไก” ก่อน มาพร้อมกับนำซาซิมิ มาด้วย ต่อจากนั้น ก็มีพ่อค้าอื่นๆเข้ามาเรื่อยๆ บ้างก็นำเหล้ามา บ้างก็นำอาหารมา ปกติแล้วทุกสิ้นปี ที่ร้าน“ฮอกไก” ก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน นับว่าคึกคักมาก



ทุกคนที่มานั้น ต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง เป็นอย่างดี ...ทุกคนพยายามจะไม่เอ่ยถึงมัน แต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้น คงไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอ มานั่งหรอก ….มันคงจะว่างเปล่า เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เช่นที่เคยเป็นมาทุกปี



พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินปลา บ้างก็กินบะหมี่ ต่างก็กินไปคุยไป คุยเรื่องการค้าบ้าง คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ น้ำทะเลขึ้นลงเป็นยังไง คุยกันได้ทุกเรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน



เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น. และแล้วประตูหน้าร้าน “ฮอกไก” ก็ถูกเปิดออกเบาๆ ทุกคนในร้านหยุดคุยชั่วครู่ หันไปมองยังทางหน้าร้าน



มีชายหนุ่มหน้าตาดีสองคน ยืนสง่าอยู่ที่หน้าร้านในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้ที่แขน พอมองเห็นว่าผู้ที่มาเป็นคนหนุ่ม ทุกคนก็เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร ต่างหันหน้าคุยกันต่อไปเสียงดังตามเดิม



ก่อนที่ภรรยาเจ้าของร้านจะพูดกับชายหนุ่มทั้งสองที่ไม่เคยรู้จัก ว่า "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"



ก็มีหญิงบุคลิกดีคนหนึ่ง สวมชุดกิโมโนเนื้อผ้าอย่างดี รูปแบบสวยงาม เดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสอง ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจ เมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดขึ้นว่า "เอ้อ รบกวน…ถ้าจะกรุณาช่วยทำบะหมี่ให้สักสามชาม จะได้ไหมคะ?"



ทันทีที่ภรรยาเจ้าของร้าน ได้ยินโทนเสียงเบาๆ สุภาพ แบบคนเกรงใจ แม้หากเธอจะตาบอด เธอก็ยังสามารถจะระลึกได้ถึงคนที่เธอเฝ้ารอมานานหลายปี ว่าขณะนี้เขาทั้งสามนั้น มาปรากฏตัวเป็นความเป็นจริงอยู่ที่หน้าร้านเธออีกครั้ง



สามี เจ้าของร้านที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ด้านใน เขาเองก็ทั้งดีใจทั้งปลื้มน้ำตาไหล เผลอชี้มือมายังลูกค้าทั้งสามที่อยู่หน้าร้านว่า "พวกคุณ . พวกคุณ" เขาพูดออกมาแบบไม่รู้สึกตัวได้แค่นั้น แล้วคำพูดอื่นๆ ก็จุกอยู่ที่ลำคอ มันพูดอะไรไม่ออก ทั้งเพราะความดีใจและความตื่นเต้น



ชายหนุ่ม หนึ่งในสองคน เห็นท่าทางของภรรยาเจ้าของร้านที่นิ่งและตะลึงนัยน์ตาตื่น ทำอะไรไม่ถูก ก็เลยพูดออกมาอย่างสุภาพว่า



"พวกเราสามคนแม่ลูก ที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ทานกันสามคนไงครับ ...พวกเราได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้"



"แต่บังเอิญ พวกเราได้ย้ายครอบครัวไปอาศัยอยู่กับคุณยาย ที่อำเภอชิกะเสียก่อน ปีนี้ผมสอบได้เป็นนายแพทย์แล้ว และตอนนี้ได้เป็นหมอฝึกหัดอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายน จึงจะย้ายมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลกลางของซัปโปโรได้"



"วันนี้พวกเรา แวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ ส่วนน้องชายคนนี้ที่เขาเคยใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่ ต้องขออภัยด้วยที่ไม่สามารถทำตามที่คาดหวังได้ ขณะนี้น้องชายเขาได้ทำงานในธนาคารเกียวโต …และวันนี้ วันส่งท้ายปีเก่า เขาได้เสนอความคิดที่สุดยอดว่า .พวกเราสามคนแม่ลูก ควรจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ “ฮอกไก” และขอซื้อบะหมี่น้ำสามชามด้วย จะกรุณาสักครั้งได้ไหมครับ?"



ภรรยาเจ้าของร้าน เธอฟังไป เธอพยักหน้าไปด้วยความดีใจ เธอโค้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยน้ำตาคลอเบ้า



เจ้าของร้านขายผักที่บังเอิญนั่งอยู่ที่โต๊ะตรงประตู ฝืนกลืนบะหมี่คำใหญ่ที่คาอยู่ในปากโดยไม่ต้องเคี้ยว เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพูดกับภรรยาเจ้าของร้าน "อ้าว…คุณพี่… เป็นอะไรไปล่ะ? ...อุตส่าห์เตรียมการมาตลอดสิบปี ก็เพื่อเฝ้ารอวันนี้นะ.”



" ‘โต๊ะจอง’ ตัวนั้นไง ที่คุณพี่จองเอาไว้ให้ลูกค้า จองมาตั้งสิบปี รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า เร็วเข้า"



ในที่สุด ภรรยาเจ้าของร้านก็ได้สติ เธอพูดต้อนรับแขกที่เธอรอมานานอย่างเขินๆ .."ยินดีค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า บะหมี่น้ำสามชาม โต๊ะสอง"



สามีเจ้าของร้านที่ยืนตะลึงอยู่เช่นกัน เขาก็ได้สติ รีบปาดน้ำตาแห่งความดีใจ พร้อมกับพูดว่า "ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม."






021




022




023







หมายเหตุจาก จขบ. : เรื่องนี้ เจ้าของร้านทำดีอะไรบ้าง? ที่จริงก็ไม่ได้ทำดีอะไรมากมายนักสำหรับคนทั่วไป ...เพราะได้ให้ บะหมี่ครึ่งก้อน สองครั้ง ...กับน้ำซุปใส่มากหน่อย สองครั้ง ....กับคำพูดที่มีอัธยาศัยอันดีว่า “เชิญนั่งค่ะ ขอบคุณค่ะ(ครับ) และคำพูดตามเทศกาลว่า สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" ก็เท่านั้น



แต่สิ่งที่เจ้าของร้านทั้งสองได้ให้ เป็นอันมาก แก่สามคนแม่ลูก ก็คือ ...ท่าทางที่เต็มใจยินดี ไม่บ่น ว่าตนเองเหนื่อย เมื่อสามคนเข้ามาหาความสุขจากการซื้อบะหมี่ทานร่วมกัน... ไม่รังเกียจ ไม่ดูหมิ่นว่า ลูกค้าซื้ออาหารน้อย แค่ชามเดียวทานกันตั้งสามคน แต่ทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา เหมือนประหนึ่งว่า ลูกค้าคนอื่นๆเขาก็ทำเช่นนั้น




นี่สิ ที่ทำให้สามคนแม่ลูก ต้องการมาก ในยามที่ทั้งสามคนพบกับวิกฤติ ...การได้รับประทานบะหมี่อร่อยพร้อมกันสามคนด้วยความสุขใจนี้ ทำให้พวกเขาทั้งสามคนมีความรู้สึกว่า พวกเขายังเป็นคนปกติธรรมดา ที่มีทั้งความทุกข์และความสุขได้ เหมือนกับคนอื่นๆ ...ที่สามารถจะได้พบกับคนที่ไม่ยอมรับตนและคนที่ยอมรับตน ซึ่งเหมือนกับคนปกติธรรมดาทั่วไปที่มักจะได้รับแบบนี้เหมือนกัน ...ซึ่งทำให้พวกเขาทั้งสาม พร้อมที่จะสู้กับวิกฤติใดๆ และมีกำลังใจยืนหยัดสู้ เพื่อวันที่ดีข้างหน้า



คนพิการ และคนที่มีทุกข์ภัย(บางคน) เขาจะคิดเช่นนี้จริงๆ...





หันกลับมาโฟกัสในโลกปัจจุบันของตัวเรา ...อย่ามองข้ามความสำคัญของตนเอง คนเราทุกคนสามารถจะมีอิทธิพลต่อคนอื่นได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ...การกระทำ และคำพูดของเรา เป็นได้ทั้งแรงหนุน และแรงหน่วง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ต่อผู้อื่นที่อยู่ใกล้ชิดเรา




ควรที่จะคิดก่อนพูด ควรที่จะคิดก่อนทำ... พยายามให้ผลกระทบจากตัวเราเป็นเรื่องที่ดี ต่อคนใกล้เคียง บ่อยๆ




แม้วันนี้เราจะไม่มีเงินทำบุญ หรือไม่ว่างจะไปทำบุญ



ก็ให้การพูดและการกระทำของตัวเรา เป็นการสร้างบุญโดยไม่ต้องทำบุญกับพระ ..ก็ได้






ส่งท้ายวันนี้ด้วยภาพพ่อค้าขายอาหาร ริมถนนที่ญี่ปุ่น



024




025











โดย yyswim



Create Date : 27 สิงหาคม 2550
Last Update : 27 สิงหาคม 2550 22:34:54 น. 28 comments
Counter : 4489 Pageviews.

 
มาดูรูปและเรื่องเล่า เกี่ยวกับญี่ปุ่น

วันสิ้นปีกินบะหมี่ คิดแล้วคิดถึง อยากกินไวไว ทันที


ชอบรูปสวยมากๆ

ของกินก็เล่นเอาท้องร้องเลยค่ะ

ปล เฮียสบายดีนะคะ เราไม่ค่อยได้เข้าบล้อก และขอบคุณสำหรับจดหมายค่ะ


โดย: law of nature วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:3:36:19 น.  

 
อิ่มตา อิ่มใจ กับเนื้อหาและเรื่องเล่า
แต่ว่าเดือดร้อน เพราะมันยังไม่อิ่มท้องนี่สิครับ
สงสัยมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นนี้ จะไม่แคล้วต้องหาร้านบะหมี่ญี่ปุ่นกินให้หายอยากซะแล้ว
คุณสินดันเอามายั่วซะหลายตำรับเชียว

พูดถึงซับโปโร แล้ว
ตอนนี้ผมก็มีโครงการวิจัยร่วมกับทางคณะแพทย์ที่มหา'ลัย ซับโปโร อยู่
คงได้ไปเยือนแดนเหนือสุด หนาวสุดของหมู่เกาะญี่ปุ่น
และชิมบะหมี่ซับโปโร ในไม่ช้าก็เร็ว แล้วเดี๋ยวจะเอาเรื่องเอารูปมาฝากนะครับ

ป.ล.
เกือบลืม สะกิด (ยิกๆ) ตามที่บอก


โดย: กุมภีน วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:10:27:23 น.  

 
เป็นเรื่องที่ประทับใจมากๆ อ่านไปน้ำตาคลอ
ขอบคุณพี่สินที่เอาเรื่องดีๆมาให้พวกเราอ่านกัน


โดย: coming soon (The Yearling ) วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:11:31:51 น.  

 

ขอบคุณนะครับพี่ชายที่นำเรื่องเล่าดีๆ ที่กินใจเหลือเกินครับ...แม้ต้นตอของเรื่องจะมาจากแดนไกลโพ้นและผ่านเวลามาหลายสิบปีแล้วก็ตาม...

ตำนานบะหมี่น้ำหนึ่งชามกับสามคนที่ผมเพิ่งจะได้อ่านครั้งแรกจากบล็อกของพี่ชายวันนี้เล่นเอาผมคงจัดอยู่ในคนหมู่ใหญ่ที่ย่อมไม่อาจฝืนความรู้สึกของจิตใจภายในได้...ผมเชื่อว่าใครได้อ่านย่อมซาบซึ่งและอิ่มเอมใจได้เสมอ...

ผมว่าเรื่องเล่าที่มีชีวิตผ่านตัวละคร ๒ กลุ่มในต่างบทบาทคงเป็นที่ประจักษ์ให้เห็นถึงความรักที่บริสุทธิ์ระหว่างแม่กับลูกทั้งสองคน และความรักที่ห่วงใยระหว่างเจ้าของร้านกับแขกผู้มาเยือน...คงไม่เกินไปที่จะกล่าวว่าเรื่องเล่านี้หากใครได้อ่านแม้จะผ่านตาแต่คงตั้งใจอ่านจนจบ...ผมเองตอนแรกก็เพลินไปกับภาพประกอบแต่สุดท้ายก็หันเหจนอ่านได้จบและลุ้นไปกับตอนจบ...

ต่างบทบาทที่ไม่ต่างความรู้สึกและบทสรุปของความรักที่ยิ่งใหญ่ที่เราทุกคนสามารถช่วยกันและกันได้เสมอ...ผมจะจดจำในหมายเหตุท้ายเรื่องที่พี่ชายฝากไว้ครับจะพยายามทำตัวเป็นเหมือนลำธารน้ำที่ยามที่มีสิ่งดีๆ ตกกระทบผ่านผิวน้ำ...รัศมีของความดีจะขยายวงล้อมออกไป...ผมสัญญาว่าจะเป็นหนึ่งในสายธารน้ำที่ทำหน้าที่ดีๆ เช่นนี้และหวังเสมอว่ายามที่ได้รวมกับสายธารอื่นๆ เป็นห้วงนที...คงจะได้เป็นที่ประกาศให้รู้ว่าความดีที่เราทุกคนต่างทำจะมีผลให้สังคมนี้น่าอยู่เสมอ...

ผมขอคัดลอกถ้อยคำที่ได้อ่านพบและเชื่อในความจริงข้อนี้

"Wherever there is a human being, there is an opportunity for kindness.”

หมายเหตุ: เพิ่งสังเกตว่าเวลาที่อัพบล็อกของพี่ชายเป็นเวลาเดียวกับเวลาในเรื่องนี้ด้วยนะครับ...


โดย: J.C. IP: 203.146.196.18 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:13:49:49 น.  

 
เป็นเรื่องดีที่เคยอ่านมาแล้ว
แต่เมื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง
ความรู้สึกซึ้งต้องอ่านอย่างพินิจทุกถ้อยคำก็ยังมีอยู่

ขอบคุณเจ้าของบ้านที่นำเรื่องดี ภาพสวยมาแชร์กัน


โดย: JD. IP: 124.121.57.17 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:15:28:18 น.  

 
วันนี้ ไม่ได้ดูรูปเลย
เพราะว่าเนื้อหาใน blog มันดึงดูความสนใจกว่ารูปมาก

งานขายบะหมี่ก็เป็นงานบริการอย่างหนึ่ง
ผมอยากให้ พนง.ขาย ที่ผมทำงานอยู่ มาอ่านเรื่องแบบนี้บ้างจังแฮ่ะ

อ่อ! อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงร้านอาหารที่ผมไปอุดหนุนอยู่ประจำ
ร้านที่ว่าชื่อร้าน "ถูกและดี" ของฟู้ดแลนด์ครับ
ผมเฝ้าดูตลอด พนง.เค้าดูแล้วเค้าทำงานมีความสุขกันทุกคนเลย
ตั้งแต่เด็กเสริฟ ยันแม่ครัวพ่อครัว ทำงานกันโดยรู้หน้าที่จริงๆ ยิ้มแย้มทักทายลูกค้าตลอด ไม่ว่าจะสาขาพัทยาหรือลาดพร้าว
ผมอุดหนุนมาก็นานหลายปีแล้ว ทุกวันนนี้็้ก็ยังเห็น พนง. หน้าเดิมๆอยู่
ตรงนี้ซิครับที่ผมสนใจ ไม่รู้ว่าค่าจ้างดี หรือว่าทำงานแล้วสนุก?
แล้วไม่รู้ว่าเค้าอบรมพนง.กันยังไง ถึงได้คะแนนเต็มร้อยทุกคนทุกสาขา...



โดย: merf1970 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:15:51:33 น.  

 
เล่นเอาน้ำตารื้นเลยทีเดียว

อ่านเสร็จแล้วก็ขออนุญาตเซฟเก็บไว้ด้วยอีกต่างหาก


เพราะบริการธรรมดาๆ นี่แหละครับ ที่ทำให้ผมเป็นลูกค้าประจำที่ร้านซีเอ็ดฯ สาขาโลตัส รังสิต เขาไม่เคยบ่น ไม่เคยหงุดหงิด เวลาผมถามโน่นถามนี่ หรือสั่งจองหนังสือที่หายากๆ แค่เขาทำหน้าที่บริการของเขาตามปกติก็ทำให้ผมอยากจะไปซื้อหนังสือที่ร้านเขาเป็นประจำแล้วล่ะครับ


เรื่องนี้กินใจดีจริงๆ ครับ พี่สิน


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:17:49:13 น.  

 


คุณเน.....มีบะหมี่ไวไวอยู่ในครัวเหรอครับ ดีครับคลายหิว อยู่กรุงเทพ ผมไม่รู้คุณค่าของบะหมี่ซองเล๊ยย กินแต่ “เล็กต้มยำรสแซบ ชาม ..แม่ค้า”

รับอีเมล์แล้วเหรอคร้าบ..


กุมภีณ.....ตะกี้ ไปโผล่ที่ DC บล๊อกของนายแล้ว เขียนดีครับ ชอบอ่าน

เมืองซัปโปโร ผมเองยังไม่เคยไปเหมือนกัน ไม่รู้ชาตินี้จะมีหวังไหม? ทางชิโกกุ น่ะ ผมเคยอยู่ ขอให้แผนของการทำงานที่ซัปโปโร เป็นความจริงเร็ววันนะ ยิ่งหากได้ไปในช่วงเทศกาลหิมะด้วย โห นับเป็นวาสนา


สุ่น.....ผมส่งอีเมล์ไปหาสุ่นราวๆ 10 โมงเช้าของวันนี้ ผมบอกว่าอัพบล๊อกใหม่แล้ว สุ่นเข้ามาแบบรู้ข่าวจากอีเมล์รึปล่าว เร็วดีจัง?

บล๊อกวันนี้ เรื่องแนวซึ้งๆ เหรอครับ?


เจษ.....ดูเวลาที่เจษเข้ามา อ๊ะตอนกลางวัน งานหนักมั๊ย เข้ามาอ่านเรื่องที่เครียดเกินไป อ๊ะ ปล่าว? เมื่อไหร่จะย้ายจากspace มาที่บล๊อกแก๊งค์เต็มตัวล่ะ รออ่านอยู่



เจ๊.....แนวเรื่องนี้ อาจจะมีคนเคยอ่านมาแล้ว เรื่องนี้ดีครับ ผมก็เลยอยากจะให้มีคนอ่านเยอะๆ ก็เลยนำมา rewrite ขึ้นมาใหม่ และสรุปโดยความคิดของตัวเอง



นิ๊ง.....ร้าน“ถูกและดี” น่าจะไปลองแล ซักที ... มีอะไรอร่อยบ้าง? อยากจะไปเห็นการบริการของเขาด้วย



คนทับแก้ว.....ผมว่าเรื่องเล็กๆของคนทับแก้ว น่าสนใจนิ อยากให้มีคนเข้าไปอ่านบล๊อกของคุณเยอะๆ

ที่ร้านซีเอ็ด บริการดีครับ บริการดีกับทุกคนเลย





โดย: yyswim วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:22:34:29 น.  

 



ดี.มาส่งความสุขยามเช้าน๊า
ดี.มา comment ไว้แล้วนี่นา










โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 29 สิงหาคม 2550 เวลา:8:19:28 น.  

 
ร้านถูกและดี เท่าที่รู้นะ มันเป็นร้านอาหารของ ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาเก็ต ร้านนั้นเป็นแบบนั่งกินตามหน้าเคาน์เตอร์ แบบว่านั่งไปมองหน้ากุ๊กไปกินไป
(บางที่ก็อาจจะมีโต๊ะนั่งนิดหน่อย อย่างเช่นสาขาลาดพร้าว)
เท่าที่ดูในกระดาษรองจาน ร้านอาหารนี้น่าจะมี 6 สาขา แต่ผมจำได้แค่ 2 สาขา ก็คือสาขาที่ผมกิน 555

อาหารอยากจะบอกว่าอร่อยทุกอย่าง
ที่ผมกินประจำก็คือ กระเพราราดข้าว , ราดหน้าปลาเต้าซี่ , แกงกระหรี่เนื้อตุ๋น , แล้วก็อาหารเช้าแบบอเมริกัน (ไข่คน+เบคอน) ถ้าของหวานก็ ไอติมมาคู่กับ แอ๊ปเปิลทอด

ปล. ถ้าท่านไปฝากท่านหาข้อมูลด้วยนะ อยากรู้จริงๆ ว่าแต่ละคนอายุงานนั้นคนละกี่ปี เพราะกินมาก็นานแสนนาน กํยังเจอคนหน้าเดิมๆ


โดย: merf1970 (merf1970 ) วันที่: 29 สิงหาคม 2550 เวลา:11:09:27 น.  

 

ผมคงชินกับงานที่หนักแล้วครับพี่ชาย...สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือสวิทช์สมองหนีจากสิ่งที่ทำให้เกิดอาการตีบตัน ไปหาสิ่งที่ทำให้สมองได้ผ่อนคลายและอาจพบแสงรำไรๆ ที่ช่วยให้ผมสามารถจัดการภาระงานของผมได้...ผมอาจเป็นพวกกระโดดไปกระโดดมาครับอาจจะเหมือนคนไม่ปล้ำสู้แต่รู้ว่าสมองคนเราต้องการวัตถุดิบในการเติมเพื่อให้สามารถโลดแล่นในการคิดงานพอๆ กับการเสาะหาอาหารการกินที่ผมก็เลือกมากแต่ไม่เท่าไร

...ผมอาจโชคดีที่ในยามที่สมองต้องทำงานหนักและตกอยู๋ในวงล้อมที่ผมพยายามฝ่าออกมานั้น...การที่ผมได้ลองสลับจากสิ่งที่กำลังมุและโหมนั้นการออกมาหาวัตถุดิบให้สมองนั้นเป็นสิ่งที่ผมทำเสมอๆๆ ...และทางออกของผมการได้รับทราบ ได้อ่านเรื่องราวดีผ่านที่ต่างๆ รวมถึงบล็อกก็เป็นทางออกให้กับผมได้เป็นอย่างดี...และบล็อกพี่ชายก็เป็นที่ที่ให้ทางออกได้กับผมเสมอๆๆ

ผมเห็นว่าผู้ที่ทำบล็อกอาจต่างความถนัดแต่สิ่งที่เห็นภายในคือการบรรจุสาระที่ผ่านการร้อยเรียงสิ่งดีๆ แสดงถึงความตั้งใจที่อยากจะนำเสนอออกสู่สาธารณะที่ผมสัมผัสได้ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังนี้...และพี่ชายก็เป็นตัวอย่างดีๆ ให้กับผมซึ่งเมื่อผมหลุดจากสเปซผมต้องทำให้ได้ดีเช่นพี่ชายของผม...คงขอเวลาให้ผมหน่อยนะครับ...แต่เมื่อผมก้าวออกมาแล้วฝากพี่ชายช่วยประคบประหงมไอ้น้องชายหน่อยนะครับ...ผมหวังจะได้บินสูงเสียดฟ้าเช่นพี่ชายแม้ตอนนี้เพดานบินของผมมันยังไม่สูงแบบพี่ชายเลยก็ตาม

ช่วงนี้ฝนตกแบบไม่เว้นวรรคแล้วพี่ชายรักษาสุขภาพด้วยนะครับ...


โดย: J.C. IP: 203.146.196.18 วันที่: 29 สิงหาคม 2550 เวลา:13:33:08 น.  

 
ขอลอกเอาไปให้น้องโรสอ่านนะครับ คุณ yyswim gเราเพิ่งกลับดันมาจากโรงเรียน
ผมอ่านคร่าวๆ ยังนำ้ตาซึมเลยครับ

ขอบคุณจริงๆครับ


โดย: ทวีศักดิ์ ถาวรรัตน์ IP: 203.113.76.73 วันที่: 29 สิงหาคม 2550 เวลา:19:23:55 น.  

 


คุณดี....คงมีคนส่งความสุขมาให้แล้วมั๊ง อิอิ ไม่ส่งให้ล่ะ ดึกแล้ว จะได้นอน


นิ๊ง....หากผมมีโอกาสผ่านไป ผมจะแวะทานอาหารร้านที่ว่า ดูเป็นอาหารธรรมดาของลิ้นคนไทย


เจษ...พี่อ่านเมนต์ของเจษแล้ว


คุณทวีศักดิ์......ขอบคุณครับที่จะอ่านให้ลูกสาวฟัง





โดย: yyswim วันที่: 29 สิงหาคม 2550 เวลา:21:56:15 น.  

 



ใจร้าย





โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 29 สิงหาคม 2550 เวลา:22:13:56 น.  

 
จำได้ว่าเคยชอบเรื่องนี้
แต่พอมาอ่านอีกครั้ง เหมือนคุณเรียบเรียงมันใหม่
แล้วอ่านได้ลึกซึ้งขึ้น

ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีดีครับ
ได้อ่านเรื่องแต่เช้า --- รู้สึกมีความสุขมากครับ

..............

ปล.

ผมอาจจะสร้างภาพเก่งก็ได้นะครับ
ตอนนี้บ้านเรามีคนดีมากเกินไป
ผมขอเป็นคนที่มีความสุขก็แล้วกันครับ อิอิอิ


โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:7:28:48 น.  

 

ขอบคุณครับพี่ชายที่พี่ชายได้อ่านข้อความที่ผมตอบกลับแล้ว...ผมอาจจะทำอะไรที่แตกต่างที่อาจมีสาเหตุมาจากการต้องรีบและแข่งกับเวลาที่มีให้ผมไม่มากเท่า...และงานที่ทำก็รีดกลูโคสในสมองผมเหลือเกินจนเดี๋ยวนี้ต้องกินวิตามินปนข้าวแล้วที่ก็ช่วยปกป้องให้ผมจากอาการป่วยกระเสาะกระแสะได้...ผมคงต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตผมบ้างแล้วเพราะเห็นพี่ชายไปออกกำลังกายแล้วเริ่มรู้สึกสำนึกผิดที่ตัวเองเหยาะๆ แหยะๆ กับการเล่นที่ทำแบบขอไปที...จะได้มีสุขภาพแข็งแรงแบบพี่ชาย...

ขอบคุณอีกครั้งนะครับพี่ชายสำหรับการปรุงรสที่ทำให้บะหมี่น้ำชามเดียวกินใจผู้ที่ได้เข้ามาอ่านแบบพินิจบรรจงได้เห็นถึงสิ่งดีที่ซุกซ่อนอยู่ในบะหมี่น้ำชามนี้...ผมเชื่อว่าบะหมี่จะกลายเป็นอาหารจานโปรดในใจไปตลอดกาล...

อาทิตย์สุดท้ายของเดือนและว้นรองสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์พี่ชายแพลนไปไหนหรือเปล่าครับ...ส่วนผมอาทิตย์นี้ไปไหนไม่ได้เลยต้องมาที่มหาวิทยาลัยทั้ง ๓ วันเลยครับ...รักษาสุขภาพนะครับพี่ชาย


โดย: J.C. IP: 203.146.196.18 วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:9:00:01 น.  

 
อ่านแล้วซึ้ง และประทับใจมากมากเลยคะ...ได้ข้อคิดมากมาย.. (น้ำตาคลอเลยคะ)

ภาพสวยทุกรูปเลย รูปแรก ๆ ที่เห็นทำให้นึกอยากทานอาหารญี่ปุ่น ขึ้นมาเลย

เมื่อบวกกับเรื่องเล่าที่ไม่คิดว่าจะน่าประทับใจขนาดนี้ ทำให้อิน มากมากคะ...

ภาพวิว ทิวทัศน์ ของประเทศ ญี่ปุ่น สวยมาก ยังไม่เคยไป แต่ดูสะอาด และสวยงามมากคะ..

ดีใจที่ได้อ่านเรื่องดี ดี วันนี้นะคะ

วันนี้ที่บ้าน Kookkom มีพรวิเศษ รีบไปรับนะคะ


โดย: the kookkom วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:9:00:21 น.  

 
อ่านเรื่องนี้อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง อ่านกี่ครั้งก็ชอบ
อบอุ่นหัวใจดีเหลือเกินครับ


โดย: Mint@da{-"-} วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:10:30:14 น.  

 
ขอบคุณนะคะที่เข้าโหวต และเข้าไปเยี่ยมค่ะ


โดย: lamduanjazz วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:20:29:34 น.  

 
คุณสิน

เรื่องน่าประทับใจมากค่ะ แล้วคุณสินก็สรุป มี take home message ดีๆ ด้วยค่ะ


แต่ก็นั่นสินะคะ คำพูด หรือการกระทำของเราอาจส่งผลในทางดี หรือ ร้ายต่อคนอื่นได้โดยที่เราไม่รู้ตัว อ๊าย..... เป็นคนปากเสียซะขนาดนี้ มีหวัง ทำร้ายจิตใจคนทั่วราชอาณาจักรแน่ๆ เลย

ส่วนเรื่อง การบริการของคนในเยอรมันน่ะเหรอคะ 5555 อย่าให้พูดเลยค่ะ ดูสิร่ำๆ จะก่อกรรมอีกแล้ว จริงๆ ที่เยนา มีร้านหนึ่งปอชอบไปกอนมาก เป็นร้านเวียดนาม แกจะรู้ตลอดว่าปอจะต้อง ใช่ช้อนกินข้าว กับข้าวต้องราดซอสพริกศรีราชา แล้วก็ดื่ม coca cola light ทำตัวสนิทสนม ด้วย ยังกะเป็นญาติ เลยเรียกว่าร้านญาติ ซะเลย อิอิ


ปล. เห็นรูปแล้วน้ำลายไหล อยากกินราเมง มากค่ะ


โดย: ปอ (O_Sole_mio ) วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:21:42:37 น.  

 



คุณดี.....ขอบคุณครับคุณดี ที่มาเยี่ยมตอนดึก นึกว่าง่วงแล้ว


คุณกะว่าก่า.....เรื่องนี้ เอาสาระของเรื่องเล่า มาเขียนในสำนวนของตัวเอง ยังเขียนไม่เก่งครับ เขียนได้แค่นี้เอง ดีกว่านี้ยังทำไม่ได้ครับ เรื่องใหม่ผมเพิ่งอัพบล๊อกไปเมื่อครู่ แต่ไปมีใครบอกให้ไปตาม ก็เลยไม่ได้ไปสะกิดใคร

กระบี่ คงจะเจอฝนม้าง? กรุงเทพตอนหัวค่ำเจอเอาเต็มเปา ฝนตกหนักน้ำท่วมถนนเลย ดีที่ว่าผมออกกำลังกายเสร็จพอดี


เจษ....คงจะเตรียมตัวซ้อมรับปริญญาอยู่เนาะ เห็นพูดถึงไปมหาลัย 3 วัน


น้องกุ๊กก๋อม.....ชอบเรื่องนี้เหรอ? เรื่องหน้า น้าอัพไปเมื่อครู่พอดี แนวเอาขำๆ ..ไม่ซีเรียส


มิ๊น....น้องเคยอ่านเรื่องนี้มาหลายรอบแล้ว ขอโทษด้วยครับ ...พอดี ผมเห็นว่ายังไม่มีลงในบล๊อกแก๊งค์ของใคร ก็เลยนำมาเขียนลงอีกรอบ เพราะมีคติสอนใจดี


คุณlamduanjazz......คนเก่งเพลงแจ๊สเข้ามา หวัดดีครับ เชิญนั่งครับ ขอบคุณนะที่แวะเข้ามาบ้านเล็กๆ


คุณปอ......หวัดดีครับ อัพบล๊อกใหม่แล้วยังครับ ผมเพิ่งทำไปเมื่อครู่นี้ครับ วันนี้ฝนตกใหญ่เลยในกรุงเทพ แถวบ้านผม น้ำท่วมพอควร แต่ดึกๆก้อคงจะลงท่อได้หมด พอดีผมกลับจากสระพอดีตอนฝนลง

ร้านญวนในกรุงเทพ ผมเคยได้ไปที่ร้าน “ญีญวน” บริการดีครับ อาหารอร่อย สะอาด จอดรถก็สะดวก ไปทีไรนั่งเพลินเลย คุณแม่และเจ๊ของผมก็ชอบ แบบนี้ก็เลยได้ไปบ่อยๆ





โดย: yyswim วันที่: 30 สิงหาคม 2550 เวลา:22:33:43 น.  

 

พี่ชายทายถูกครับ...นัดแต่ละวันเช้ามากจนผมต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ เลยต้องยัดหนังสือทุกอย่างแล้วจัดการให้สมองดีแฟรก...เหตุเพราะต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่...อาทิตย์นี้คงสะบักสะบอมหน่อยก่อนวันจริงวันพฤหัสครับ...พี่ชายให้กำลังใจไอ้น้องชายหน่อยนะครับ...

เมื่อวันก่อนผมได้อ่านบล็อกของพี่ชายศิษย์พี่สถาบันที่ผมกำลังจะได้รับในไม่ช้านี้ที่เป็นปฐมบทให้ผมได้รับความรู้มากมายและรู้จักกับคำว่าบล็อก...บล็อกอันใหม่ล่าสุดเป็นเรื่องที่ไม่หนีจากบล็อกของพี่ชายเท่าไร...ยิ่งเป็นการตอกย้ำเตือนใจผมว่าผมคงต้องทำอะไรดีๆ บ้างเฉกเช่นเมื่อครั้งหนึ่งผมได้เก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ผ่านบล็อกของพี่ชายทุกท่านที่ทำให้ผมสาระดีและได้เอาไปใช้ได้เสมอ...

น้องชายจะได้ดำเนินรอยตามพี่ชายบ้างและคงได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์...สมดังที่พี่ชายมองเห็นว่าไอ้น้องชายคนนี้ยังมีศักยภาพอยู่บ้างและผมตั้งใจว่าจะทำมันให้จงได้...

ผมขอตอบเรสปอนส์พี่ชายไว้ตรงนี้อีกครั้งเพื่อรีมาร์คสิ่งดีๆ ที่พี่ชายสอนและเตือนไอ้น้องชายคนนี้...ผมจะเก็บไว้ในใจของผมเสมอๆๆ

ป.ล.บล็อกของศิษย์พี่สถาบันที่ผมได้อ่านอยู่ในเฟรนด์บล็อกของพี่ชายด้วยใกล้เคียงกับรหัสภาพข้างต้น ซีโร่ ซีโร่ ซิกส์ ครับ...ผมขอบคุณในศิษย์พี่คนเก่งท่านนี้ที่ผมได้รับสิ่งดีๆ มากมายเหลือเกินและทำให้รู้ว่าคุณค่าของการทำบล็อกที่เกิดจากการทุ่มเทเสียสละ ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ที่อยากนำสิ่งดีมาถ่ายทอดมันมีค่ามากเป็นที่ยิ่ง...


โดย: J.C. IP: 203.146.196.18 วันที่: 31 สิงหาคม 2550 เวลา:15:44:29 น.  

 
ผมนั่งอยู่หน้าโต๊ะคอม พยายามปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแบบไม่ยอมหยุด


โดย: พลทหารไรอัน วันที่: 13 กันยายน 2550 เวลา:1:52:27 น.  

 
ดีจังเลยครับ...เคยอ่านแล้ว แต่พออ่านอีกมีภาพประกอบด้วย ก็ยังน้ำตาคลอเช่นเคย..ผมมีโปรแกรมไปเที่ยว Sapporo สัปดาห์หน้านี้ จะลองไปหาร้านบะหมี่ "ฮอกไก" แล้วจะมาเล่าให้ฟังครับ.


โดย: sam..ปะการังน้อย IP: 202.44.7.67 วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:8:16:54 น.  

 
ขอบคุณเรื่องดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิต ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่สู้ชีวิต โปรดนึกเสมอว่า เกิดมาสร้างบุญ มิใช่เกิดมาใช้กรรม


โดย: payap IP: 117.47.148.40 วันที่: 26 ธันวาคม 2550 เวลา:14:11:30 น.  

 
น่าอาย่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


โดย: บีม IP: 117.47.124.165 วันที่: 18 มีนาคม 2551 เวลา:12:11:45 น.  

 
อ่านแล้วสร้างความรู้สึกดีๆจัง
คนทำดีมีประโยชน์จริงๆ แม้จะเป็นการทำดีแค่นิดเดียว
แต่ก็สามารถสร้างสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นต่อๆไปได้


โดย: ลูกแพร์ IP: 222.123.155.200 วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:24:19 น.  

 
อ่านแล้วอบอุ่นในหัวใจจังค่ะ
ภาพก็สวย

ว่าแต่
พ่อค้าขายอาหาร
หล่อมากอ่ะค่ะ!!!!


โดย: พลอย IP: 222.123.5.211 วันที่: 22 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:31:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.