อังเดร อากัสซี่


อังเดร อากัสซี่




(บล๊อกเรื่องนี้ เขียนมอบให้กับ คุณ ซีPLUS)





การแข่งขันเทนนิสยูเอส โอเพ่น อันเป็น แกรนด์สแลม รายการสุดท้ายของปีนี้ ชิงเงินรางวัลรวม 18,585,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7,434 ล้านบาท) จะเริ่มต้นขึ้นในวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม - วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2549 ณ บิลลี่ จีน คิง เนชั่นแนล เทนนิส เซนเตอร์ ใน ฟลัชชิ่ง เมโดว์ส เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา







ความพิเศษสุดของ ยูเอส โอเพ่น ในปีนี้ที่แฟนเทนนิสทั่วโลกต่างจ้องมองด้วยความสนใจ ก็คือ "โรเจอร์ เฟเดอเรอร์" นักหวดหนุ่มมือ 1 ของโลกชาวสวิส แชมป์เก่าเทนนิสยูเอส โอเพ่นปีที่แล้ว อาจต้องมาพบกับ "ราฟาเอล นาดาล" มือ 2 ของโลกจากสเปน ในรอบชิงอีกครั้ง และจะเป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของ "อังเดร อากัสซี่" ยอดนักเทนนิสผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะถือเป็นการอำลาคอร์ตเทนนิสอย่างเป็นทางการ หลังจากทุ่มเทให้กับเทนนิสมานานกว่า 20 ปี จนมีปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังที่กล้ามเนื้อหลัง








อากัสซี่ เทิร์นโปรมาตั้งแต่วัยเพียง 16 ปีเมื่อปี 1986 เขาใช้เวลาเพียงปีเดียวก็หยิบแชมป์ชายเดี่ยวมาครองได้สำเร็จ และต่อมาในปี 1988 เขาก็คว้าแชมป์ได้ถึง 5 รายการ ในปลายปีนั้นเองเขาก็ทำเงินรางวัลสะสมไปแล้วกว่า 2 ล้านดอลลาร์ หลังจากลงเล่นทั้งหมด 43 รายการ ซึ่งไม่เคยมีนักเทนนิสคนใดเคยทำได้มาก่อน







ขณะนี้ด้วยวัย 36 ปี อากัสซี่ ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย ได้แชมป์แกรนด์สแลม มาแล้วถึง 8 รายการ จำแนกเป็น


ออสเตรเลียน โอเพ่น 4 สมัย ( Australian : Winner 1995, 2000, 2001, 2003. Semifinal 1996, 2004.)

เฟรนช์ โอเพ่น 1 สมัย (French : Winner 1999. Runner-up 1990, 1991. Semifinal 1988, 1992.)

วิมเบิลดัน 1 สมัย (Wimbledon : Winner 1992. Runner-up 1999. Semifinal 1995, 2000, 2001.)

ยูเอส โอเพ่น 2 สมัย (U.S : Winner 1994, 1999. Runner-up 1990, 1995, 2002, 2005. Semifinal 1988, 1989, 1996, 2003.)

กวาดเงินรางวัลไปแล้วทั้งสิ้น 31,110,975 ดอลลาร์(ประมาณ 1,151 ล้านบาท )









เมื่อปี 1992 อากัสซี่ สร้างความประหลาดใจเมื่อเขาคว้าแชมป์ วิมเบิลดัน เป็นสมัยแรกในวัย 22 ปี โดยเขาเอาชนะได้ทั้ง จอห์น แม็กเอนโร และ บอริส เบ๊กเกอร์ ในยุคนั้นเขาเป็นนักเทนนิสที่เปี่ยมไปด้วยสีสันอย่างที่สุด ด้วยวัยหนุ่มที่มีภาพพจน์ของ "ขบถ" อย่างเต็มตัว ผมยาวประบ่าเหมือนร็อกสตาร์ สวมเสื้อลงแข่งที่มีมีลวดลาย และสวมกางเกงบลูยีนส์ เขาจึงเป็นที่มาของฉายา "ไอ้หนุ่มบลูยีนส์"





เมื่อปี 1999 การคว้าแชมป์เฟรนช์ โอเพ่น ของเขาที่กรุงปารีส ส่งผลให้เขาเป็นนักเทนนิสชายคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลม ครบทั้ง 4 รายการ


และหลังจากที่เขามีครอบครัวที่งดงามกับ "สเตฟฟี่ กราฟ" และเป็น "หนุ่มใหญ่" เต็มตัว " เขาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองทั้งหมด ด้วยการโกนผม ชุดที่แข่งขันทุกครั้งจะเป็นสีเรียบๆ ไม่ฟู่ฟ่าเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีกเลย







"มีคนถามผมว่า ผมจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้ ที่ผมบอกได้ก็คือ อยากจะทำ “อย่างอื่น” ที่แตกต่างไปจากการเล่นเทนนิสดูบ้าง" อากัสซี่เผยความในใจกับผู้สื่อข่าว


"อย่างอื่น" ที่ว่า สายสืบสืบมาได้ว่า คือ การร่วมมือกับ "ไมเคิล มิน่า" เจ้าของรางวัล "เชฟ ออฟ เดอะ เยียร์ 2005" เพื่อเปิดภัตตาคารสักแห่งหรือสองแห่ง และจะผลิตเฟอร์นิเจอร์ภายใต้แบรนด์ "อากัสซี่-กราฟ" ขึ้นมา….













ผลการแข่งขันยูเอส โอเพ่น ประจำปี 2006 อากัสซี่ ผ่านรอบแรกชายเดี่ยวไปได้ หลังพลิกกลับมาเอาชนะ อังเดร พาเวล จากโรมาเนีย 3-1 โดยเซ็ตแรกเขาเป็นฝ่ายแพ้ก่อน และกลับมาเอาชนะได้ในสามเซ็ตหลัง ด้วยคะแนน 6-7 (4-7), 7-6 (10-8), 7-6 (8-6), และ 6-2

ศึกเทนนิส แกรนด์สแลม ยูเอส โอเพ่น ที่สนาม บิลลี่ จีน คิง เนชั่นแนล เทนนิส เซ็นเตอร์ นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการแข่งขันรอบแรก คู่ที่ได้รับความสนใจจากแฟนๆ ชาวอเมริกันมากที่สุด ก็คือการดวลแร็กเก็ตระหว่าง อังเดร อากัสซี่ วัย 36 ปี กับ อังเดร พาเวล นักเทนนิสหน้าหล่อฝีมือดี จากดินแดนผีดิบ โรมาเนีย

โดยเริ่มต้นด้วยการที่ อากัสซี่ พ่ายไทเบรกในเซ็ตแรกให้แก่ พาเวล 6-7 (4-7) แต่ในเซตที่สอง ก็สามารถแก้ตัวด้วยการเอาชนะไทเบรกคืนมา 7-6 (10-8) เมื่อมาถึงเซตที่สาม แฟนๆก็รู้สึกหวั่นใจเมื่อ อากัสซี่ พลาดท่าตามหลังห่างถึง 0-4 เกม แต่สุดท้าย อาศัยด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่าจึงพลิกกลับมาเล่นถึงไทเบรก และกลับมาชนะสำเร็จในเซ็ตที่สาม 7-6 (8-6) ก่อนจะปิดแมตช์ในเซตที่ 4 ลงได้ 6-2 ใช้เวลาแข่งขันไปทั้งสิ้น 3 ชั่วโมงครึ่ง


ภายหลังการแข่งขัน อากัสซี่ เผยความความรู้สึกกับสื่อว่า “ผมมาที่นี่เพื่อเล่นให้ได้ 6 แมตช์หรือมากกว่านั้น ผมต้องการมาโชว์ความสามารถให้ได้มากที่สุด แม้จะรู้สึกกดดันอยู่บ้าง แต่ผมก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน ที่สำคัญ ผมรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีที่ได้มาในวันดีๆเช่นนี้ สำหรับการแข่งขันในวันนี้ ผมผ่านสามเซตแรกมาได้ ต้องถือว่าเป็นโชคดีทีเดียว ผมรู้สึกยอดเยี่ยมจริงๆ ”


หลังชัยชนะแมตช์นี้ อากัสซี่จะไปพบกับ มาร์กอส แบ็กดาติส มือ 8 ของรายการ จากไซปรัส ในวันพฤหัสบดี 31 สิงหาคม ตามวัน-เวลาท้องถิ่น หลังจากที่ แบ็กดาติส สามารถเอาชนะ อเล็กซานเดอร์ วาสเก้ จากเยอรมนี มาได้ 3-0 เซต 7-6 (7-1), 7-6 (9-7), และ 6-3










อังเดร อากัสซี่ โปรไฟล์


Andre Kirk Agassi (USA)

Birthdate: 29-Apr-70 (36 ปีที่แล้ว)

Birthplace: Las Vegas, Nevada, USA

Residence: Las Vegas, Nevada, USA


อากัสซี่สมัยเป็นเด็ก(พ่อ, อากัสซี่, แม่, และพี่ชาย)





Height: 180 cm.

Weight: 77 kg.

Plays: Right-handed (ถนัดขวา)

Racquet: Head Flexpoint Radical

Shoes: Adidas ClimCool Feather II

Clothing: Adidas

Turned Pro: 1986 (วัยเพียง 16 ปี)

Highest Career Ranking: #1

Coach: Darren Cahill (โค๊ชคนปัจจุบัน)








อากัสซี่ เข้าสู่วงการลูกสักหลาดอาชีพครั้งแรกในปี 1986 ตอนนั้นเขามีวัยเพียงแค่ 16 ปี และด้วยความหนุ่มคะนองบวกกับความเฮี้ยวของอากัสซี่ ทำให้ตัวเขากลายเป็นขวัญใจของแฟนเทนนิสสาวๆ เกือบทั่วสหรัฐฯ ไม่เว้นแม้แต่ดาราภาพยนตร์ อย่าง บาร์บาร่า สไตรแซนด์


ความร้อนแรงของอากัสซี่ กู่ ไม่กลับเมื่อเขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลม ครั้งแรกในชีวิตมาครอง ได้สำเร็จ จากรายการ วิมเบิลดัน ในปี 1992 เป็นชัยชนะเหนือคู่แข่งอย่าง จอห์น แม็กเอนโร และ บอริส เบ๊กเกอร์


จอห์น แม็กเอนโร, อังเดร อากัสซี่, พีท แซมพราส, และ จิม คูเรียร์ ในทีมเดวิสคัพ ปี 1992




แต่แล้ว อากัสซี่ ก็ประกาศแยกทางกับโค้ชของเขาเอง นิค บอเรตเทียรี่ และเขาก็ได้โค้ชคนใหม่ คือ แบรด กิลเบิร์ท ผู้ที่มีส่วนช่วย อากัสซี่ คว้าแชมป์แกรนด์สแลม 6 รายการ และรวมไปถึงคว้าเหรียญทองโอลิมปิกที่เมืองแอตแลนตา สหรัฐอเมริกาด้วย







อากัสซี่ ได้พบรักกับ บรู๊ค ชิลด์ส ดาราภาพยนตร์สาวชื่อดังของฮอลลีวู้ด ทั้งคู่เริ่มควงกันครั้งแรกในเดือนเมษายน ปี1993 ก่อนที่จะลงเอยด้วยการเข้าสู่พิธีวิวาห์ในปี 1995 ในช่วงเวลานั้นเส้นทางรักของ อากัสซี่ ดูเหมือนจะหวานชื่น แต่ผลงานในคอร์ตเทนนิสกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เวลาผ่านไปเจ้าหนุ่มบลูยีนส์จอมเฮี้ยว อากัสซี่ เริ่มรู้ซึ้งถึงปัญหานี้





และในที่สุดในเดือนเมษายน ปี 1997 หลังใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันมาสองปี บรู๊ค ชีลด์ส และ อากัสซี่ ก็แยกทางกัน ด้วยเหตุผลที่ อากัสซี่ กล่าวปรารภว่า

"ความรักเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้ชีวิตแต่งงานไปรอดได้"



หลังจากเลิกรากับบรู๊ค ชิลด์ส เส้นทางนักเทนนิสอาชีพของ อากัสซี่ ก็กลับเรืองรองขึ้นมาใหม่


ในปี 1999 อากัสซี่ คว้าแชมป์ แกรนด์สแลม รายการเฟรนช์ โอเพ่น ทำให้เขากลายเป็นนักเทนนิส รายถัดจาก ร็อด เลเวอร์ นักเทนนิสชื่อดังในยุค 60 ที่เป็นผู้คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทั้ง 4 รายการ ซึ่งในโลกนี้มีเพียง 5 คน


Agassi is one of five men in the history of the sport to win all four Grand Slam tournaments in their careers - joining Rod Laver, Don Budge, Roy Emerson and Fred Perry.


พร้อมกันนี้ อากัสซี่ ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ใหม่นอกสนามกับนักเทนนิสสาวชาวเยอรมัน "สเตฟฟี่ กราฟ" ที่ผลพวงงอกเงยขึ้น คือ ผลงานในคอร์ตของ อากัสซี่ ดีขึ้นเป็นลำดับ







สุดท้ายสองคนก็แต่งงานกัน ตลอดระยะเวลาที่ อากัสซี่ ครองชีวิตคู่ร่วมกับ "กราฟ" อากัสซี่ ดูจะกลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ใช้อารมณ์ในการแข่งขันน้อยลง และมีความมุ่งมั่นเพื่อเอาชัยชนะเข้ามาแทนที่


ผู้คนในแวดวงลูกสักหลาดต่างพากันเม้าธ์อย่างสนุกปากว่า โฟร์แฮนด์ ของ อากัสซี่ ที่ดีวันดีคืนขึ้นนั้น เป็นเพราะได้ฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำกับ ‘กราฟ’ อดีตนักเทนนิสหญิงหมายเลขหนึ่งของโลกนั่นเอง





ทั้งนี้ไม่ว่า ‘กราฟ’ จะเป็นคู่ซ้อมให้อากัสซี่ จริงตามข่าวที่เม้าธ์หรือไม่ แต่ชีวิตครองรักใหม่ของอากัสซี่ ดูจะเป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้ นักเทนนิสวัย 36 ปี เดินหน้าเพื่อล่าตำแหน่งเป็นมืออันดับต้นๆของโลกต่อไป


‘เพอร์รี่ โรเจอร์’ ผู้จัดการส่วนตัวของอากัสซี่ กล่าวถึงความสำคัญของครอบครัวที่มีต่อผลงานในสนามของ อากัสซี่ ว่า

“ที่ผ่านมา อากัสซี่ พยายามจะหาความลงตัวระหว่างชีวิตครอบครัว กับการแข่งขันในสนาม และดูเหมือนว่ากราฟฟี่ คือผู้ที่ทำให้ทั้งสองเรื่องของ อากัสซี่ ลงตัวได้อย่างสวยงาม”








ปัจจุบันอากัสซี่ และกราฟใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันมาได้ 5 ปีแล้ว หลังจากที่เข้าพิธีวิวาห์ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2001 หลังจากนั้นสี่วัน กราฟก็ให้กำเนิดบุตรชาย ยาเดน กิล และในเดือนตุลาคมปี 2003 สองสามีภรรยา ก็ได้ลูกคนที่สองเป็นบุตรสาว มีชื่อว่า ยาซ แอล







อากัสซี่ คงจะรัก กราฟ มาก ลองฟังถ้อยคำที่เขาแอบหยอดให้ภรรยาสุดที่รักก่อนที่จะลงแข่งขันรายการ เฟรนช์ โอเพ่น


“เป็นเรื่องยากที่จะเล่นเทนนิสกับภรรยาของตัวเอง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบังคับสายตาให้จับจ้องมองอยู่ที่ลูก ใจอยากจะมองแต่หน้าเมียรักเท่านั้น"



เส้นทางชีวิตนักเทนนิสอาชีพกว่า 20 ปีของอากัสซี่ จนถึงวันนี้ เรียกได้ว่าเดินผ่านจุดอิ่มตัวมาไกล เพราะนอกจากจะคว้าถ้วยแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทั้ง 4 ใบ อากัสซี่ ยังสะสมถ้วยเอทีพีได้ครบถึง 60 รายการ


ล่าสุดเขาเพิ่งจะโชว์ฟอร์มคว้าแชมป์ รายการเมอร์เซเดส เบนซ์ คัพไปได้อีก



สถิติที่แปลกอย่างหนึ่งของเขาก็คือ เขาไม่ผิดอะไรกับ "รถไฟเหาะตีลังกา" เพราะชีวิตของเขาขึ้นลงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างที่สุด…จาก "เจ้าหนุ่มบลูยีนส์" ผมยาวสุดแซบซ่าและรักการออกงานสังคม กลายเป็น"แฟมิลี่แมน"ที่รักศรีภรรยาเป็นที่สุด...จากมือ 1 ของโลก ตกสู่ มืออันดับ 141 ของโลก แล้วกลับขึ้นสู่จุดสูงสุด มือ 1 ของโลกอีกครั้ง...จาก มือรองที่ผูกปีแพ้แซมพราส ในรอบชิงแกรนด์สแลม 4 หนแรก กลายเป็นนักเทนนิสชายคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทั้ง 4 พื้นผิว(ซึ่งแม้แต่แซมพราสก็ยังทำไม่ได้)


และเขายังเป็น มือ 1 ของโลกผู้ที่มีอายุมากที่สุด นับตั้งแต่มีการจัดอันดับเป็นต้นมาด้วย(ขณะมีอายุ 33 ปี)



ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่า ไฟในตัวของนักเทนนิสลูกครึ่งอิหร่าน จากรัฐเท็กซัสยังคงลุกโชน ดังเช่นช่วงวันแรกๆที่เขาเทิร์นโปรเมื่ออายุ16 ปี เหตุผลที่ อากัสซี่ สามารถยืนหยัดเป็นยอดในวงการโลกเทนนิสมาได้นานขนาดนี้ นอกจากจะเป็นเพราะฝีมือและการฝึกซ้อมอย่างหนักของเขาแล้ว ครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง





แม่บ้านที่ดีอย่าง ‘กราฟ’ รวมทั้งลูกๆที่แสนน่ารัก ได้ทำหน้าที่เป็นลมใต้ปีกผลักดันจน อังเดร อากัสซี่ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกเทนนิสยืนยงนานหลายปี.












โดย yyswim




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2549    
Last Update : 1 กันยายน 2549 11:18:51 น.
Counter : 13654 Pageviews.  

ล่องแก่งลำน้ำเข็ก


ล่องแก่งลำน้ำเข็ก





ลำน้ำเข็ก เป็นลำน้ำเล็กและไหลเชี่ยว ช่วงหน้าฝนอย่างนี้ สีน้ำจะออกเป็นสีแดงน้ำตาลและขุ่นคลัก!!! ดูราวกับสีน้ำป่า ถ้าเป็นสายน้ำอื่นในช่วงหน้าฝนอย่างนี้ หากเห็นสีน้ำขุ่นแดงน้ำตาลและไหลแรงแล้วละก้อ เขาว่ากันว่า ให้โกยแน่บได้เลย เพราะมันเป็นสัญญาณของน้ำป่ากำลังจะไหลบ่าทะลักอยู่แล้ว


แต่ต้องขอยกเว้นกับลำน้ำเข็ก เพราะทุกหน้าฝนมันจะมีสีขุ่นแดงน้ำตาลและไหลเชี่ยวแบบนี้เสมอ เหมาะกับการไปล่องแก่งผจญภัยที่ทั้งสนุก ทั้งเสียวเร้าใจอันดับต้นๆ ของลำน้ำที่มีอยู่ในประเทศทีเดียว






ลำน้ำเข็ก มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ด้านอ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ไหลผ่านอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ผ่านน้ำตกศรีดิษฐ์ น้ำตกแก่งโสภา น้ำตกปอย น้ำตกแก่งซอง น้ำตกวังนกนางแอ่น แล้วผ่านอ.วังทอง

เส้นทางล่องแก่งลำน้ำเข็กนี้ เป็นที่กล่าวขานว่าน่าตื่นตาตื่นใจมาก เนื่องจากความรุนแรงของสายน้ำมีตั้งแต่ระดับ 1-5 และทิวทัศน์ของสองข้างทางก็ยังเป็นป่าบริสุทธิ์ที่สวยงาม ใช้ระยะทางล่องแก่งประมาณ 8 กิโลเมตร เป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำจะมากและไหลเชี่ยวหรือไม่


แล้วลำน้ำนี้ ก็จะไหลไปรวมกับแม่น้ำน่านที่ อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก หลายคนคงจะสังเกตว่าแม่น้ำน่านจะมีสีแดงน้ำตาลไปด้วย ก็เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากลำน้ำเข็กนี่แหละ



ลำน้ำเข็ก ในช่วงฤดูแล้งจะมีน้ำน้อย กระแสน้ำจะลดความรุนแรงลงและเปลี่ยนเป็นน้ำใส ลำน้ำจะไหลคดเคี้ยวไปตามซอกเขาใหญ่น้อยตลอดทาง ทำให้เกิดเกาะแก่งมากมายตลอดลำน้ำเข็ก ดูแล้วก็จะมีความสวยงามไปอีกแบบ


แต่พอถึงหน้าฝนทีไร เกาะแก่งเหล่านี้แหละ จะเป็นอุปสรรคขวางกลางลำน้ำเข็ก ให้เหล่านักผจญภัยผู้พิสมัยความตื่นเต้นชมชอบเป็นอย่างมาก ที่จะได้ล่องแก่งในลำน้ำไหลเชี่ยวแล้วต้องคอยหลบหลีกเกาะแก่งที่ขวางหน้า อย่างชนิด สติหลุดนิดเดียวเรือก็คว่ำ และคนก็จะตกน้ำ ทุกเรี่ยวแรงของทุกคนบนเรือจึงต้องร่วมกายร่วมใจเป็นหนึ่งเพื่อสู้กับความไหลเชี่ยวและหักเลี้ยวของสายน้ำ แถมบางแก่งหักเลี้ยวถึงขนาดโค้งเป็น ตัวเอส…ทีเดียว


Blog เรื่องนี้ เจ้าของBlog ยังไม่เคยไปล่องแก่งลำน้ำเข็ก



แต่ที่เจ้าของBlog รวบรวมข้อมูลมาให้ เพราะมีเจตนาดีอยากจะแจ้งข้อมูลให้ ผู้ที่ไม่เคยล่องแก่งเหมือนเจ้าของBlog รู้ว่ามีกิจกรรมที่คนไทยหลายคนและหลายทีม เขาจะทำกันอยู่ทุกปี เป็นกิจกรรมที่มากไปด้วยความตื่นเต้นและเสี่ยงอันตรายอย่างมาก


แต่ทุกคนก็รอคอย และจะไปทำกิจกรรมนี้ทุกปี ไม่เคยพลาด มีทั้งหญิงทั้งชายหลากหลายอาชีพ และฤดูฝนนี้ กิจกรรมที่ว่านั้น …..ก็ถึงกำหนดช่วงเวลาอีกแล้ว


ท่ามกลางสายน้ำเชี่ยวกรากสีแดงน้ำตาล และขุ่นคลัก ที่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ....ลำน้ำเข็กกำลังเรียกร้อง รอให้พวกเขาทุกคนไปเยือน ไปพิสูจน์ฝีมือกันอีกครั้งว่า ใครจะแน่กว่ากัน …คนหรือลำน้ำเข็ก!!!!









ลำน้ำเข็ก เป็นลำน้ำที่ใช้เรือยางล่องแก่ง จุดเริ่มต้นล่องแก่งสามารถเริ่มได้หลายจุด แต่หากต้องการความสะดวก สามารถเริ่มได้ตั้งแต่บ้านปากยาง ตำบลทรัพย์ไพรวัลย์ อำเภอวังทอง ล่องไปจนถึง น้ำตกแก่งซอง รวมระยะทาง 8 กิโลเมตร


ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการล่องแก่งจะอยู่ใกล้ถนน คือ ลงจากรถยนต์ก็สามารถลงเรือยางได้เลย เมื่อถึงจุดขึ้นจากเรือยางก็สามารถขึ้นรถต่อได้เช่นเดียวกัน ไม่ต้องเดินทางไกลๆเหมือนสถานที่อื่น


แก่งท่าข้าม

พอเริ่มลงเรือยาง แก่งแรกเป็นแก่งน้ำขนาดเล็ก คือ แก่งท่าข้าม สายน้ำอยู่ในระดับ 1-2 เรือยางแล่นผ่านไปได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ที่ให้นักล่องแก่งได้ฝึกหัดบังคับเรือยางหลังจากที่ร้างรามานาน สร้างความคุ้นเคยมือก่อนเจอศึกใหญ่ แก่งใหญ่กว่าที่รออยู่ข้างหน้า



แก่งไทร

จากนั้นก็เป็น แก่งไทร เป็นแก่งน้ำที่มีความยากระดับ 2 ซึ่งจะต้องใช้ทักษะในการบังคับเรือยางพอสมควร คนหัวเรือต้องดูไลน์ของน้ำให้ดีในการจะพาเรือผ่านแก่งนี้



แก่งมรดกป่า

แล้วเรือก็เข้าสู่ แก่งมรดกป่า โดยสายน้ำก็จะแยกออกเป็น 2 ไลน์ ทางซ้ายมือจะไม่สามารถนำเรือล่องผ่านไปได้เพราะจะมีโขดหินใหญ่โผล่ออกมามากมายและมีต้นไม้ริมตลิ่งขึ้นหนาแน่นมากด้วย จะต้องนำเรือผ่านทางด้านขวาของสายน้ำเท่านั้นซึ่งเป็นช่องทางที่ไม่กว้างนัก


แต่ปัญหาก็คือเมื่อเริ่มล่องแก่งไปได้ประมาณ 10 เมตรเท่านั้นสายน้ำจะหักเลี้ยวซ้ายทันที แต่เรือจะไปทางซ้ายแบบนั้นก็ไม่ได้ ทำให้ฝีพายทางด้านขวามือต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะดึงเรือให้ไปทางขวา กว่าจะผ่านแก่งมรดกป่านี้ไปได้ ความยากระดับ 2-3



แก่งปากยาง

เมื่อล่องผ่านแก่งมรดกป่ามาได้ไม่ไกล จะได้ยินเสียงน้ำดังสนั่นอยู่ด้านหน้า ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ แก่งปากยาง ที่แก่งปากยางนี้จะมีความยาวต่อเนื่องกันประมาณ 100 เมตร ซึ่งที่แก่งนี้ฝีพายจะต้องยึดสายน้ำทางด้านซ้ายมือเอาไว้ ความยากของแก่งปากยางจะอยู่ที่ระดับ 2–3 แล้วแต่ปริมาณน้ำและความเชี่ยวของกระแสน้ำ



แก่งหินลาด

ก่อนจะหมดแก่งปากยาง จะมีน้ำตกเล็กๆที่ลดระดับลงตามชั้นหินซึ่งขวางอยู่ทั้งลำน้ำ ความสูงที่ลดระดับลงจะต่างระดับกันประมาณ 1 เมตรเศษ เรียกแก่งนี้ว่า แก่งหินลาด เมื่อล่องเรือยางมาถึงแก่งนี้ เทคนิคอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเอนหลังให้น้ำหนักของคนมาอยู่ทางด้านท้ายเรือ และทุกคนจะต้องยึดเชือกไว้ให้แน่น เท้าก็จะต้องขัดกับสิ่งที่มั่นคงภายในเรือ มิฉะนั้นอาจจะถูกกระแสน้ำซัดกระเด็นออกนอกเรือได้ เมื่อผ่านแก่งนี้ไปได้แล้วสายน้ำจะลดความรุนแรงลง กลายเป็นสายน้ำไหลเอื่อยอีกครั้ง



แก่งสวนรัชมังคลา1,2

แต่ห่างจากแก่งน้ำตกเมื่อครู่มาไม่นาน เรือจะพบกับทางแยกของสายน้ำอีกครั้ง ช่วงนี้จะเรียกว่า แก่งสวนรัชมังคลา1,2 ที่จริงเรือสามารถจะไปได้ทั้งซ้ายและขวา แต่ขอแนะนำให้ล่องเรือไปทางด้านขวาของสายน้ำ เพราะจะสนุกตื่นเต้นกว่าทางด้านซ้าย


ทางด้านขวาของสายน้ำ จะมีหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำ ทำให้ทุกคนได้โหมแรงบังคับเรือยางกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้หลบหินใหญ่ก้อนนั้นให้ได้ ที่แก่งนี้ถ้าเป็นช่วงที่น้ำมีปริมาณมาก จะพบว่ามียอดคลื่นสูงเกิน 1 เมตรด้วย จึงเป็นที่ยอมรับให้แก่งนี้ มีระดับความรุนแรง 3-4 ทีเดียว



แก่งซาง

ก่อนที่เรือจะเคลื่อนเข้าสู่แก่งซาง สายน้ำจะค่อนข้างราบเรียบเสียก่อน คล้ายๆธรรมชาติจะทำให้มนุษย์ตายใจ แต่เมื่อเรือผ่านน้ำนิ่งไปแล้ว สายน้ำจะหักเลี้ยวซ้ายทันที และทันทีที่เรือเลี้ยวซ้ายมาตามสายน้ำ ทุกคนก็จะได้พบกับความยิ่งใหญ่ของแก่งซาง


ลักษณะของแก่งซางจะเป็นลานหินกว้างมาก และลดระดับลงไปทีละช่วง กว่าจะสิ้นสุดทุกช่วงของแก่งซางนั้น สายน้ำก็ลดระดับลงไปไม่ต่ำกว่า 10 เมตร ความรุนแรงของสายน้ำที่ไหลผ่านชั้นของแผ่นหิน มีลักษณะคล้ายฟองคลื่นสีขาวกระจายไปทั่วลำน้ำ น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวกรากจึงแตกกระเซ็นเป็นฟองกระจาย เรือทุกลำกว่าที่จะผ่านแก่งซางไปได้ น้ำจะเข้ามาเต็มลำเรือทุกลำอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้




ยิ่งกว่านั้นขณะที่เรือตกกระแทกลงมา และน้ำเต็มลำเรืออยู่นั้น ยังจะต้องบังคับเรือให้ชิดทางด้านฝั่งซ้ายของลำน้ำเข็กเอาไว้ด้วย ถ้าบังเอิญบังคับเรือไปกลางลำน้ำ หรือไปทางด้านขวาของลำน้ำ ความเชี่ยวรุนแรงของสายน้ำจะพัดพาเรือไปกระแทกหินที่อยู่ด้านฝั่งขวาทันที


ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเรือทุกลำจะพลิกคว่ำและทุกคนจะต้องตกลงไปจากเรือ ไปจมอยู่ท่ามกลางฟองคลื่นราวกับน้ำเดือด ไม่ใครก็ใครอาจจะถูกน้ำพัดพาไปกระแทกหินใหญ่หรือสำลักอยู่ใต้น้ำ อันนับเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งที่พึงต้องหลีกเลี่ยง


ที่แก่งซางนี้ จึงถูกยกระดับให้มีความยากระดับ 4-5 เป็นแก่งที่ทุกคนจะถูกบอกเล่าให้ระวังตัวกันมาตั้งแต่ต้น คนที่เคยมีประสบการณ์ผ่านไปแล้ว ก็ยังต้องนั่งตัวเกร็งและรอคอยด้วยใจระทึกกันทุกคน ทุกคนจะนั่งจับเชือกยึดตัวเองให้แน่นอยู่กับเรือ จะพยายามไม่ให้ตกออกไปนอกเรือ ยกเว้นแต่กรณีเรือจะคว่ำเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือ ความพ่ายแพ้ที่มนุษย์จะมีต่อลำน้ำเข็ก



แก่งโสภาราม

จากแก่งซาง ก็เข้าสู่แก่งหักศอกตัว เอส ความรุนแรงนั้นน้อยกว่าแก่งซาง ปัญหาอยู่ที่แป็นแก่งที่โค้งมากๆแล้วก็โค้งกลับอีกที ของแก่งโสภาราม ทุกฝีพายจึงทำงานกันอย่างสุดกำลังเท่าที่มี ยิ่งหากน้ำไหลเชี่ยวด้วยแล้ว …เฮอะเฮอะ ลองคิดดู



แก่งดงสัก

เป็นแก่งไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่ง่าย มีความยากในระดับ 3 พอๆกับแก่งโสภาราม



แก่งนางคอย

หลังจากเหนื่อยมากๆจากการผ่านแก่งซองมาแล้ว นี่ก็กำลังจะเข้าสู่แก่งที่จะต้องเหนื่อยมากๆอีกรอบแล้ว บางคนถึงกับบอกว่า แก่งนี้แหละ แก่งในฝันที่ซาดิสต์สุดๆ
...แก่งนางคอย


ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ที่แก่งนี้เคยมีผู้หญิงท้องมานั่งรอสามีอยู่ แต่บังเอิญเธอโชคร้ายถูกน้ำป่าพัดพาไปจนเสียชีวิต โดยที่เธอยังไม่ได้พบสามี ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อแก่งนี้ว่า แก่งนางคอย


แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ยุคปัจจุบันนี้ จะชอบเรียกแก่งนี้ว่า แก่งนางกรี๊ด มากกว่า เพราะทั้งสาวจริงและสาวไม่จริง พอผ่านแก่งนี้ทีไร จะร้องกรี๊ดกันเสียงลั่นสุดๆ ด้วยความตกใจกลัว






ลักษณะของแก่งนางคอย จะเป็นการลดระดับของชั้นหินและของกระแสน้ำที่มีความสูงเกือบๆ 2 เมตร แถมการลดระดับนี้จะเอียงจากทางด้านขวาของสายน้ำไปทางด้านซ้ายในแนวเฉียงอีกด้วย


ฉะนั้นการตกลงไปของลำเรือ หากไม่ระมัดระวังให้ดี จึงไม่ใช่ตกลงแบบใช้หัวเรือลง แต่อาจจะตกลงไปแบบเอาข้างของลำเรือลง ซึ่งเรือจะยิ่งพลิกคว่ำง่าย ยิ่งกว่านั้นยังมีโขดหินและเกาะแก่งต่างๆที่จมอยู่ใต้น้ำข้างล่างแก่งนางคอยอีกด้วย นักล่องแก่งจึงต้องใช้ทักษะในการพายเรือร่วมกันสูงจึงจะผ่านแก่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ระดับความยากอยู่ที่ 4-5


หนทางที่ดี ควรที่จะจอดเรือตรงลานหินเหนือแก่งนางคอยเสียก่อน แล้วเดินไปตรวจดูสภาพของสายน้ำที่ไหลผ่านแก่งนี้จากข้างบน เพื่อจะได้มองเห็นร่องน้ำนี้ได้ชัดเจนพร้อมๆกันทุกคน ว่าควรจะนำเรือไปตามร่องน้ำด้านไหน


แต่โดยปกติเรือทุกลำมักจะผ่านลงไปทางด้านซ้าย แต่ไม่ใช่ชิดซ้ายสุด เพราะทางด้านซ้ายสุด ด้านล่างของแก่งนี้จะมีก้อนหินใหญ่อยู่ 2 ก้อน ที่อาจจะกระแทกกับลำเรืออย่างแรงจนสามารถทำให้เรือพลิกคว่ำได้เช่นกัน


สรุปว่า ทุกลำที่จะผ่านแก่งนี้ไปได้ จะต้องบรรทุกน้ำหรือฟองน้ำที่แตกกระจายเต็มลำเรือ ใช้แรงกายของทุกคนอย่างชนิดที่เรียกว่า เหนื่อย โหดสุดๆ



แก่งดูด

เป็นแก่งเล็กๆที่มีความยากในระดับ1-3



แก่งยาว

แก่งยาวจะมีความยาวกว่า 100 เมตร สมกับชื่อของแก่ง ลักษณะของแก่งยาว จะเป็นแก่งที่สายน้ำไหลเชี่ยวผ่านโขดหินมากมายหลายโขดหิน จะค่อยๆ ลดระดับลาดเอียงลงสู่ด้านหน้าของแก่ง มีเสียงแว่วมาว่า น้ำบริเวณด้านหน้าของแก่งนี้มีลักษณะเป็นน้ำวนด้วย


เทคนิค ควรจะบังคับเรือยางให้เข้าร่องน้ำทางซ้ายก่อนที่จะสิ้นสุดปลายแก่ง เพราะกลางลำน้ำจะมีก้อนหินใหญ่ขวางอยู่ จะต้องบังคับเรือให้หลบหลีกได้ทัน ไม่เช่นนั้นเรืออาจจะกระแทกกับก้อนหินใหญ่ก่อให้เกิดอันตรายและตกลงในน้ำวนได้




กว่าจะล่องผ่านแก่งยาว 100 เมตรนี้ไปได้ ทุกคนก็เหนื่อยสะบักสะบอม จนแทบจะหมดสภาพกันทุกคน ความเหนื่อยล้าเข้ามาเรียกหา จนแทบจะปล่อยวางไม้พายกันแล้ว ความยากอยู่ในระดับ 3-5 ขึ้นกับระดับความเชี่ยวของน้ำและปริมาณน้ำ



แก่งวังน้ำเย็น และแก่งทับขุน

เมื่อได้ล่องเรือผ่านแก่งซาง แก่งนางคอย และแก่งยาว ที่สุดโหดจนจำได้ติดตามาได้แล้ว แก่งอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ ก็ไม่ใช่เป็นแก่งที่น่ากลัวหรือยากอะไรอีกแล้ว จะขาดก็เพียงแรงแขนที่จะจ้วงฝีพายเท่านั้น


แต่โชคดีที่แก่งวังน้ำเย็น และแก่งทับขุน ต่างมีความยากระดับ 1-2 เท่านั้น น้ำไหลเอื่อยๆและไม่เป็นอันตราย ผู้นำทีมจึงบอกว่า หากใครต้องการจะลงไปลอยคอแช่น้ำเย็นๆตอนนี้ก็เชิญได้ เพราะใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของการล่องแก่งแล้ว


เมื่อได้ยินเสียงบอกเช่นนี้ เกือบทุกคนในลำเรือก็จะกระโจนลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เพื่อชดเชยความเหนื่อยล้าและความเครียดที่มีอยู่เมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้


บางคนถึงกับถอดเสื้อชูชีพ หมวกกันน็อก และรองเท้ายางฝากไว้ไปกับเรือ แล้วลอยคอผ่อนคลายกล้ามเนื้อหรือว่ายน้ำอย่างเย็นสบาย จนถึงจุดขึ้นฝั่งที่ท่าวังน้ำเย็น

รวมแล้วทุกคนก็ผ่านแก่งในลำน้ำเข็กมาได้ถึง 18 แก่ง




ลำน้ำเข็ก ลำน้ำเล็กๆที่มีน้ำเชี่ยวกรากและมีสีแดงน้ำตาลขุ่นคลักนั้น แค่มองเห็นลำน้ำก็สร้างความเข็ดขยาดไม่กล้าลงไปสู้แล้ว


สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ต่างเกิดอาการ เสียวเว้ย!!!! กันทุกคน


แต่หลังจากมีประสบการณ์ที่สนุกสนานเร้าใจตื่นเต้นแบบสุดๆมาแล้ว ร้อยทั้งร้อยจะรอวันเวลาของฤดูฝนรอบใหม่ รอคอยวันเวลาที่จะไปพบเพื่อนๆ เพื่อล่องแก่งระดับ 5 ดาวของไทยเรานี้ด้วยกันอีกครั้ง

เพราะว่าทุกคนเกิดอาการ …มันเว้ย!!!!!! ไปแล้ว...




สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมของการล่องแก่งลำน้ำเข็ก จะอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม และสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก ททท.ภาคเหนือ เขต 3 โทร. 0-5525-2742-3





ติดต่อธุรกิจให้บริการ ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ได้ที่

1. ทรัพย์ไพรวัลย์ แกรนด์โฮเต็ล แอนด์รีสอร์ท โทร. 0-5529-3339-40, 0-2236-2711, 0-2236-2715

2. POP TOUR โทร. 0-5524-2060, 0-1680-3939, 0-1475-5080

3. NATURE CAMP โทร 0-5521-3541, 0-1475-6867

4. RAIN FOREST RESORT โทร 0-5529-3085-6

5. CAMPING SIDE CENTER โทร 0-2433-2760

6. ภูแก้ว แอดเวนเจอร์ ปาร์ค โทร. 0-2381-0691-4 , 0-2381-0198



หมายเหตุ : ท่านใดที่เคยไป เคยเจอประสบการณ์อย่างไร ตรงหรือไม่ตรงประการใด ช่วยคอมเมนต์บอกกันบ้าง? บริษัทนำเที่ยวที่นำท่านไป ให้บริการดูแลเป็นอย่างไร คิดราคาอย่างไร ช่วยบอกกันบ้าง?







อ่านคอมเมนต์จากคนในเว๊ปสนุกดอทคอมเชิญคลิกอ่านที่นี่





ประสบการณ์ล่องแก่งลำน้ำเข็ก



เจ้าของ Blog ขอนำประสบการณ์ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ที่เขียนขึ้นโดย ผู้ล่องแก่งลำน้ำเข็กตัวจริง เสียงจริง คุณ Joyful พร้อมรูปประกอบโดย คุณ Lighthouse

นำมาจาก เว๊ป tripandtrek

คุณ Joyful เขียนเล่าประสบการณ์ครั้งนี้ได้อย่างสนุกมาก อ่านมันส์และเพลิน เขียนเล่าไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2545 แต่เขียนเล่าแบบผู้อ่านมองเห็นภาพเหตุการณ์การล่องแก่ง

ราวกับได้ไปล่องแก่งลำน้ำเข็ก…ซ้าเอง



เรื่องเล่าจากสายน้ำเดือด

เสาร์ 20 กรกฎาคม 2545


และแล้ว...วันที่รอคอยก็มาถึง เราไปถึงที่นัดหมายที่ปั๊มปตท. สนามเป้า ด้วยหัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ก็บ่ายวันนี้แล้ว ที่เราจะได้ไปล่องแก่งเป็นครั้งแรกในชีวิต.. จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ...


เจ็ดโมงเช้าเศษ ๆ สมาชิกทุกคนมากันพร้อม ทั้งๆที่เวลานัดเป็นเจ็ดโมง งานนี้อย่าให้เผาว่าใครมาสาย.. อิ ๆ ทุกคนขึ้นนั่งประจำที่ แล้วออกเดินทางไปยัง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก เพื่อผจญสายน้ำโจนกันเป็นแห่งแรก ต่างคนก็งัดเอาอุปกรณ์ ฆ่าเวลา ไม่ว่าจะเป็น VCD , CD หนังสือ ข้าวหนมนมเนย แล้วแต่จะเตรียมกันมา


บ่ายโมง..หลังจากนั่งหลับสัปหงกกันจนคอเคล็ด เราก็แวะกินข้าวกันที่ร้านหม้อแกง (มีหม้อข้าวด้วย) ข้าวปลาอร่อยใช้ได้ จากนี้ไม่กี่กิโลก็ถึง อ.วัดโบสถ์ แต่ยังต้องเดินทางกันต่อ เพื่อไปยังไร่ชลคุปต์ ที่อยู่ห่างไปอีกราว 60 กิโลเมตร เกือบๆจะถึงที่หมาย รถตู้หนึ่งในสามคัน ลูกปืนล้อแตก อาจจะด้วยบรรทุกเกินอัตรา ดูรูปร่างของสมาชิกแต่ละคนแล้วคงเข้าใจ...


กระจายคนไปนั่งรถคันอื่น ๆ แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ กว่าจะถึงไร่ชลคุปต์ ก็บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปกางเต็นท์ เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับผจญสายน้ำกันอย่างรวดเร็ว สามโมง ทุกคนก็กลับมารวมกันในชุดเต็มยศ เสื้อชูชีพสีสด กะหมวกกันน๊อคสีแปร๊น...ได้เวลาลุยแย้ววววว


สิบนาทีเศษ เรานั่งรถมาจากไร่ชลคุปต์ มาที่หน่วยพิทักษ์ริมลำน้ำโจน คุณกนกผู้ดูแลการล่องแก่งสำหรับวันนี้ พาเราไปยังจุดชมวิวน้ำโจน ที่จะมองเห็นแก่งน้ำโจน ที่เป็นชั้นน้ำตกสูงเมตรเศษ ๆ ขวางลำน้ำทั้งสาย


"อ่ะ.. มาดูกันทุกคนเลยครับ จะได้ทำใจไว้ก่อน เนี่ย แก่งแรกที่เราจะต้องลงกัน"

ฮือ ๆ ๆ ๆ ทำไมมันสูงขนาดน้านนนนนนนนนนน


หลังจากที่ดูแก่งน้ำโจนกันแล้ว จากใจกล้า ๆ กลัว ๆ เหลือเพียงแต่ความกลัวล้วน ๆ ก็ไอ้กล้า ๆ น่ะ มันหายไปตั้งกะไปถึงจุดชมวิวแล้ว เจ้าหน้าที่อีกคนก็มาซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์การล่องแก่งและวิธีการปฎิบัติตัว


ว่ากันไปตั้งแต่การปรับหมวกให้กระชับ เสื้อชูชีพต้องใส่ให้แน่น ไม่งั้นเวลาที่เราตกน้ำ เสื้อชูชีพมันจะลอยขึ้นโดยที่ตัวเรายังห้อยอยู่ข้างล่าง วิธีการนั่งบนเรือยาง วิธีการจับพาย วีธีการพาย การเก็บพายเวลาเข้าปะทะแก่ง การปฏิบัติตัวเวลาตกน้ำ ฯลฯ


เจ้าหน้าทีกำลังสอนวิธีการถือพาย




วิธีการเก็บพายแล้วจับเชือกให้แน่น เอนตัวไปข้างหลังเมื่อเข้าปะทะแก่ง ที่สำคัญต้องเอาขาเกี่ยวกับลูกบวบเรือเอาไว้ รับรองไม่ตกน้ำ เว้นแต่เรือยางจะคว่ำ





เมื่อจบหลักสูตรล่องแก่งภาคทฤษฎีกันแล้ว คราวนี้ก็มาถึงภาคปฏิบัติกันแล้วล่ะ


พวกเราก็เดินเท้าไปยังจุดขึ้นเรือริมน้ำโจน กระจายกันนั่งเรือยางห้าลำ ลำละหกคน รวมคนคัดหัวเรือกะท้ายเรืออีกสองคน ทั้งหมดแปดชีวิตก็พาเรือยางทะยานสู่สายน้ำ ที่อยู่เหนือแก่งโจนขึ้นมาราวสองร้อยเมตร กว่าจะผ่านสายน้ำนิ่งมาจนถึงแก่งโจน ทุกคนก็เริ่มหอบแล้ว...


"โต้ง ๆ ๆ คัดเข้าไลน์ซ้ายไว้.." เสียงนายท้ายตะโกนสั่ง นายหัวเรือมือใหม่เอี่ยมอ่องเสียงดัง...


"เอ้าทุกคนเก็บพาย...." นายท้ายตะโกนต่อ พวกเราเก็บพายแนบข้างเรือพร้อมกับจับเชือกและเอนตัวมาข้างหลัง เรือยางพาเรากระโจนจากน้ำตกสูงเกือบ ๆ สองเมตร


"กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" ทุกคนส่งเสียงกรี๊ดกันอย่างพร้อมเพรียง ทันทีที่ท้องเรือกระทบผิวน้ำ น้ำในแก่งที่เดือดพล่านก็ปะทะกับหน้าพวกเราโครมใหญ่


"เอ้า.. ซ้ายพาย ขวาพาย.."


พวกเราทั้งสองกราบเรือก็ตั้งหน้าตั้งตาจ้วงจนหลุดออกมาจากแก่งได้ พร้อมกับเสียงเฮที่เอาชนะแก่งแรกมาได้อย่างปลอดภัย แต่สายน้ำยังไหลเชี่ยวกราก พาเรือยางของเราแล่นฉิวไปชนเอาก้อนหินโครมเบ้อเร่อ ตามด้วยกอไคร้กอใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า


...เงียบกริบ... ไม่ยักกะมีใครกรี๊ดแฮะคราวนี้ อิ ๆ


เรือยางสี่ลำผ่านแก่งโจนที่มีความยากระดับ 3-4 มาตั้งลำรอ ก่อนที่จะผจญแก่งต่อไป


สีหน้าสมาชิกที่ผ่านแก่งโจนมาได้



นี่ก็ผ่านมาได้แบบไม่ตกน้ำซะคน ฮ่า ๆ





แต่ เอ... ลำที่ห้ามันหายไปไหนวะ... วิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อยๆ

สามชาติกว่าผ่านไป... เรือลำที่ห้าก็พายพ้นคุ้งน้ำเข้ามา พร้อมกับโชว์ลีลาแหวกกอไคร้กอใหญ่กลางลำน้ำ


เห็นลิบ ๆ โน่นเรือบรรทุกน้ำของ เจ๊ส้มจีน





"เย้ ๆ ๆ ๆ เจ๊ สู้ ๆ "

พวกเราส่งเสียงเชียร์ ยังไม่พอ เจ๊ส้มจีน โต้โผใหญ่ยังทำท่าจะตกเรือโชว์ให้พวกเราดูอีกตะหาก

"ทำไมหายไปนานนักเจ๊" ใครคนหนึ่งถามขึ้น


"ลงไปเล่นน้ำตั้งกะแก่งแรกแล้ว พายก็หายเหลือแค่สามเนี่ย จะให้มาเร็ว ๆ ได้ยังไงยะ"

เจ๊แกว่า พร้อมค้อนอีกสองขวับ เรือเราก็เลยบริจาคไม้พายให้ไปอีกหนึ่งเป็นการทำทาน แต่ว่าเรือของเจ๊ แกบรรทุกน้ำได้เยอะจริง ๆ ซัก 300 ลิตรเห็นจะได้...


เราผ่านแก่งขามแก่งระดับ 3 มาได้แบบไม่ยากเย็นนัก ช่วยกันพายเรือแบบสบาย ๆ ไม่นานนักเราเจอแก่งใหญ่ขวางอยู่ข้างหน้า สายน้ำเชี่ยวกรากกระแทกแก่งหิน ทำให้เกิดคลื่นระลอกใหญ่สูงเมตรเศษ ด้านล่างของแก่งระลอกคลื่นแตกกระจาย ราวกับว่าถูกต้มจนเดือดพล่านตลอดเวลา


เวลาที่เรือยางพุ่งเข้าปะทะยอดคลื่นทีนึง พวกเราก็ประสานเสียงกรี๊ดกันทีนึง กว่าจะผ่านแก่งนี้ไปได้เล่นเอาเปียกปอนกันถ้วนหน้า เรียกเสียงกรี๊ดกันได้ลั่นคุ้งน้ำทีเดียว สายน้ำยังพาเรือแล่นฉิวต่อไป


"โต้ง ๆ เข้าไลน์ซ้ายเอาไว้" นายท้ายตะโกน

"เอ้า.. ซ้าย พายหนัก ๆ" พวกเราที่อยู่กราบซ้ายก็ก้มหน้าก้มตาจ้วง มุ่งตรงไปยังร่องน้ำแคบ ๆ แล้วก็ผ่านไปได้โดยสวัสดิภาพ มีเพื่อน ๆ บางลำที่เข้าร่องน้ำไม่ทัน ตะลุยฝ่าดงกอไคร้ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นไปหลายสิบเมตร พวกเราที่เหลือส่งเสียงโห่แซวกันเป็นที่สนุกสนาน


"แก่งอะไรคะที่ผ่านมาตะกี้" เราตะโกนถามนายท้าย

"แก่งบ้าครับ" นายท้ายตอบ มิน่า ๆ ก็แก่งบ้า เป็นแก่งที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก มีคลื่นถาโถมเข้าหาเรือตลอดเวลา ไหนจะสายน้ำเดือดพล่านด้านท้ายแก่ง สมชื่อแก่งจริง ๆ


เราผจญแก่งเล็กๆกันอีกหลายแก่ง พอเรียกเสียงกรี๊ดได้ แล้วก็พายและควบคุมเรือได้คล่องขึ้น เวลาที่เรือสองลำเข้ามาใกล้กัน ก็จะมีสงครามสาดน้ำกันเสมอๆ สนุกสนานกันเกือบๆสิบนาทีก็มีเสียงเตือนจากนายท้าย


"เตรียมตัวนะครับ เดี่ยวเราจะไปลุยแก่งม้ากันแล้ว" สิ้นเสียงทุกคนก็อยู่ท่าพร้อม

"เอ้า.. ซ้ายพาย ขวาพาย"


พวกเราจ้วงน้ำหนักๆ เพื่อเข้าสู่แก่งที่ลดระดับลง ทำให้เกิดคลื่นสูง

"เก็บพาย.."


เราเก็บพายแนบลำเรือ เกาะเชือกกันแน่น เพราะคลื่นน้ำกระแทกลำเรือแรง ๆ ถ้าไม่เกาะไว้แน่น อาจจะตกจากเรือได้ มีเพื่อนบางลำตกเรือกันที่แก่งนี้


"กรี๊ด ๆๆ ๆ "

ลำของเราส่งเสียงกรี๊ดดังไม่แพ้ใคร จนเรียกให้เรือลำที่ผ่านไปแล้วหันกลับมามอง


จากจุดนี้ไปจนถึงจุดขึ้นฝั่ง จะเป็นสายน้ำเรียบที่ไม่มีแก่ง เป็นระยะทางหลายร้อยเมตร นายท้ายเรือบอกพวกเราว่า ถ้าใครอยากจะเล่นน้ำก็ได้เลย เราไม่รอช้าลงไปลอยคอ เพื่อนๆบางคนโชว์ลีลากระโดดจากเรืออย่างสวยงาม แล้วสายน้ำเชี่ยวก็พาพวกเราลอยละลิ่วแซงหน้าเรือไปซะอีก บางก็เกาะกันไปเป็นแพ เป็นขบวนรถไฟ มีเสียงตะโกนบอกจากเรือให้เข้าร่องน้ำขวาบ้าง ซ้ายบ้าง เพื่อไม่ให้โดนน้ำซัดไป


เราว่าการได้ลงไปแช่น้ำนี่ ถือเป็นไฮไลท์อีกอย่างของการล่องแก่งเหมือนกัน


ลงไปลอยคอในน้ำหลังจากผจญแก่งกันมาแล้ว





"อีกร้อยเมตรขึ้นฝั่งนะครับ ตรงกอไผ่นั่นนะครับ"

นายท้ายตะโกนบอกพวกเรา สิ้นเสียงพวกเราก็เริ่มว่ายเข้าหาฝั่ง มีเพื่อนบางคนว่ายไม่ทัน คนเรือก็ว่ายน้ำไปเก็บกลับมาอย่างปลอดภัย และแล้วเรือของ เจ๊ส้มจีน โต้โผใหญ่ของพวกเรา ก็เข้าฝั่งไม่ทัน ต้องตั้งหน้าตั้งตาจ้ำทวนน้ำขึ้นมาอีก ไม่ต้องสงสัยว่าจะโดนพวกเราที่เหลือแซวไปอีกนานแค่ไหน ฮ่า ๆ


เราขึ้นรถเพื่อกลับไปยังที่พัก ตลอดทางมีเสียงพูดคุยกันถึงความตื่นเต้นและความสนุกสนานที่พวกเราเพิ่งได้รับมา ไม่เว้นเสียงเยาะเย้ยถากถางเพื่อนๆที่โชว์ลีลาตกน้ำ และลีลาแหวกดงไคร้ที่แสนจะประทับใจ คงเป็นเรื่องเล่าประจำกลุ่มไปอีกนาน ...



อาทิตย์ 21 กรกฎาคม 2545

พวกเราตื่นกันตั้งแต่ไก่โห่ ก็จะให้นอนกันต่อยังไงไหว เจ๊ส้มจีน แกเล่นเดินปลุกกันเป็นรายเต็นท์


พวกเรารีบเก็บเต็นท์และสัมภาระ แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว ก่อนจะมากินข้าวต้มมื้อเช้า เพื่อเตรียมตัวตะลุยลำน้ำเข็ก สายน้ำที่ได้ชื่อว่ามีระดับความยากเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย


เจ็ดโมงครึ่งได้ฤกษ์ล้อหมุน พวกเราย้อนออกมาทางเดิมอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังลำน้ำเข็ก ที่มีต้นน้ำมาจากเขาค้อ ตอนนี้เราไม่เหลือความกลัวแล้ว อยากให้ถึงไวๆ อยากจะลงไปแช่น้ำเหมือนเมื่อวาน


เก้าโมงพวกเราก็มาถึงจุดเริ่มต้นล่องแก่งที่ปากยาง ทุกคนจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างรวดเร็ว วันนี้คนเรือมากำชับพวกเราอีกครั้งว่า อย่าประมาทกับสายน้ำนี้เด็ดขาด เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นสายน้ำดุอันดับหนึ่ง ถ้าหากตกลงไปในแก่งแล้ว คงต้องมีเจ็บตัวกันแน่ ...


พวกเรากระจายกำลังกันลงเรืออย่างรวดเร็ว เรานั่งเรือยางลำเล็กลำเดิม นายท้ายบอกว่าเรือเล็กนี่แล่นเร็ว ต้องมีทักษะในการบังคับมากกว่าเรือที่มีขนาดใหญ่ ..


หันไปมองหน้าเพื่อนร่วมชะตากรรมแต่ละคน อืมมมม... มือโปรกันท้างงงงน้านนนนนนนนนน เพราะ 4 ใน 6 เป็นมือใหม่ทั้งสิ้น ยังไม่พอ คนคัดหัวเรือ ยังเป็นพี่โต้งมือใหม่คนเดิมอีกเช่นกัน เอาน่า...


แก่งปากยางเป็นแก่งแรกที่พวกเราจะลงในวันนี้ ลักษณะเป็นแผ่นหินลาดตัว เลยไม่ค่อยจะตื่นเต้นกันซักเท่าไหร่


แก่งต่อมา คือ แก่งรัชมังคลา ที่เรียกเสียงกรี๊ดพวกเราได้มากพอควร ต่อด้วยแก่งโสภาที่พี่แดงนายท้ายเรือเตือนว่าจะประมาทไม่ได้


"โต้ง ๆ เข้าร่องน้ำขวา" พี่แดงนายท้ายตะโกนบอกหัวเรือมือใหม่ของพวกเรา

"เอ้า.. ขวาพาย พายหนัก ๆ " เราที่นั่งกราบขวาจ้วงน้ำเต็มที่

"แก่งนี้ น้ำไม่แรงมาก แต่เป็นแก่งหักศอก เข้าขวาแล้วเตรียมคัดเข้าซ้ายเลยนะโต้ง.."


นายท้ายสั่งการก่อนที่เราจะเข้าไปปะทะแก่งเพียงเสี้ยวนาที ตู้มมมมมมมมมม น้ำซัดเต็มหัวเรือ ตามด้วยเสียงกรี๊ดลั่นคุ้งน้ำของพวกเรา


"ซ้ายพาย ซ้ายพาย " นายท้ายปลุกพวกเราจากภวังค์ พรรคพวกกราบซ้ายพายกันเต็มกำลัง พาพวกเราเข้าร่องน้ำซ้าย และหลุดออกมาจากแก่งนางคอยอย่างปลอดภัย


ตอนนี้ในใจทุกคนเริ่มกระหยิ่มแล้ว หยุดรอเรือทุกลำจนมากันครบดี แล้วต่อไปเราจะเจอกับแก่งซาง ที่มีระดับความยาก 4-5 ช่วงแรกจะเป็นแผ่นหินลาดตัว ก่อนจะไปหักศอกหนึ่งครั้ง แล้วก็ลาดลงไป ปิดท้ายด้วยชั้นน้ำตกสูงเกือบๆ เมตร


แก่งซาง





ดูภาพแล้วไม่น่าที่ใครจะล่องลงไปได้





"เข้าขวาโต้ง โต้งเข้าขวา ดูไลน์น้ำจากลำหน้าไว้"

พี่แดงนายท้ายตะโกนสั่งพี่โต้ง แกก็ชะเง้อดูแล้วสั่งพวกเราพายเข้าด้านขวา


"เก็บพาย ๆ ๆ"

พวกเราเก็บพาย ปล่อยให้แรงน้ำส่งเรือเข้าปะทะยอดคลื่นลูกแล้วลูกเล่า


"กรี๊ด ๆ ๆ ๆ " พวกเราประสานเสียง

"คัดเข้าซ้ายโต้ง เร็ว ๆ ๆ "


พี่โต้งแกก็พยายามคัดหัวเรือเข้าด้านซ้าย พวกเราช่วยพายส่ง เรือปะทะสายน้ำเดือดพล่านข้างหน้า แต่เพราะยังแล่นด้วยความเร็วสายน้ำจึงพัดเอาเรือของเราหมุนคว้าง แล้วเอาด้านข้างเรือพาเรากระโจนลงจากชั้นน้ำตกสูงเกือบเมตรที่มีไฮโดร รออยู่เบื้องล่าง


ทันที่ที่ท้องเรือแตะผิวน้ำ "กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พวกเรากรี๊ดกันสุดเสียง

"ซ้ายพาย ขวาพาย.. พายหนัก ๆ เข้าฝั่งไปก่อน"


พี่แดงสั่งก่อนที่เรือจะโดนดูดให้คว่ำลงไป พวกเรารีบจ้วงสู้กับสายน้ำเชี่ยว เกือบๆถึงฝั่งพี่โต้งคว้ากิ่งไม้เพื่อยึดเรือไว้ แต่กระแสน้ำพัดรุนแรงทำเอาพี่โต้งแกตกน้ำ แต่แกก็ตะกายขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย เล่นเอาใจหายใจคว่ำไปตาม ๆ กัน ... ...


เงียบกริบ... ไม่ยักกะมีใครกรี๊ดแฮะคราวนี้ อิ ๆ


พวกเราหยุดรอเรือลำอื่นๆ จนครบ แล้วตั้งลำพายตัดลำน้ำเดือดพล่านด้านหน้าแก่งซางไปอีกฝั่ง


"เอ้า.. พายหนักๆ เข้า พาย ๆ ๆ "

พี่แดงส่งเสียงกระตุ้น พวกเราตั้งหน้าตั้งตาพายมาอีกฝั่งจนได้ แต่สายน้ำเชี่ยวซัดเอาเรือเข้าไปที่ซุ้มไม้ริมน้ำ เล่นเอาต้องหลบกันพัลวัน ได้รอยข่วนกันมาคนละนิดละหน่อย แล้วพวกเราก็ส่งเสียงแจ้ว ๆ ๆ หลังจากหลุดออกมาได้


"อ่ะ.. ตะกี้ไม่เห็นมีใครกรี๊ดเลย เงียบกริบเลย" มีเสียงพี่อีกคนแซวมา


"จะกรี๊ดตอนไหนพี่ ลำพังหลบกิ่งไม้เนี่ย ก็แทบไม่พ้นอยู่แล้ว" เพื่อนอีกคนว่า


"เอ้า.. เตรียมตัวได้แล้วครับ เดี๋ยวเราจะไปกันต่อแล้ว" พี่แดงเรียกสติพวกเรากลับ ทุกคนก็ช่วยกันพายต่อไป



สายน้ำกลับมานิ่งสนิทอีกครั้ง พวกเราพายไปเรื่อยๆจนมาถึงลานหินข้างหน้า พี่โต้งคัดหัวเรือเข้าไปจอด เรือลำอื่นๆ ก็เข้าไปจอดตรงนี้ด้วย แล้วคนเรือก็พาพวกเราเดินไปดู แก่งนางคอยที่พวกเราจะต้องล่องต่อไป


บรรยากาศก่อนลงแก่งนางคอย ทุกคนพร้อมที่จะกรี๊ดแล้ววว




เรือแวะให้ลูกเรือได้ทำใจก่อนลงแก่งนางคอย





พอเดินไปถึงเท่านั้นแหละ

อะโห... ไม่ยากจะเชื่อ ... แก่งเบื้องหน้าเรา เป็นชั้นน้ำตกสูงสองเมตรเศษ ที่มีน้ำพุ่งลงไปกระแทกด้านล่าง ก็จะเดือดพล่านขึ้นมาเหมือนหม้อน้ำเดือดใหญ่ๆ นี่ถ้าไม่รู้จักการล่องแก่งมาก่อน เราจะคิดมั๊ยว่า จะมีใครบ้าพอที่จะพายเรือลงจากน้ำตกสูงขนาดนี้


"เดี๋ยวเราจะลงไลน์น้ำซ้ายมือ ถ้าลงด้านขวาเราจะพุ่งจากข้างบนลงไปชนก้อนหินที่อยู่ใต้น้ำด้านล่าง" พี่แดงว่า

พวกเรายังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด


"พอถึงแก่งแล้วทุกคนรีบเก็บพาย แล้วเกาะเชือกเอนตัวมาข้างหลังนะครับ" พี่แดงชี้แจง


"ขึ้นเรือครับ" สิ้นเสียงพี่แดง พวกเรากลับไปนั่งประจำที่ รอจนเรือสามลำกระโจนลงแก่งนางคอยอย่างปลอดภัยตามด้วยเรือของพวกเราที่กระโจนตามไปติด ๆ พร้อมกับเสียงกรี๊ดที่น่าจะมีการแจกรางวัล และทันที่ที่ลงสู่ผิวน้ำด้านล่าง เรือด้านขวาที่เรานั่งก็โดนดูดจนเอียงวูบ ทำเอาแต่ละคนรีบจ้วงน้ำกันอย่างไม่คิดชีวิต







ในที่สุดเราก็ผ่านแก่งนางคอยที่มีระดับความยาก 4-5 มาได้อย่างปลอดภัย เย้ๆๆๆ


แต่อีกสักพัก แก่งยาว ข้างหน้าที่ท่าทางจะไม่หมู ก็ปรากฏตัวให้พร้อมเผชิญเข้าอีกแล้ว

"พวกเราเก็บพายครับ"


พี่แดงตะโกนบอก ก่อนสายน้ำจะพาเรือเราเข้าปะทะแก่งยาวด้านหน้า เป็นแก่งหินลาดตัวลงทำให้มีคลื่นน้ำสูงเกือบเมตร ตลอดระยะทางร้อยกว่าเมตร ช่างเป็นการกรี๊ดที่แสนยาวนานจริงๆ พอแก่งลดระดับลงมาก่อนจะถึงน้ำนิ่งข้างหน้า คลื่นน้ำสูงทำเอาเรือยางเราหมุนคว้างอีกรอบ ก่อนที่จะพัดเอาด้านท้ายเรือลงปะทะสายน้ำเดือนพล่านด้านล่าง


"เฮ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" พวกเราส่งเสียงดีใจ ที่เอาด้านหลังลงแต่เรือไม่คว่ำ


"เป็นไงล่ะ ๆ เจ๋งแค่ไหน พวกเราหันหลังลงก็ได้" พวกเราว่าอย่างไม่สำนึก


ในใจพี่แดงคงนึกๆว่า พวกเอ็งไม่คว่ำนี่ บุญเท่าไหร่แล้ว


ถัดจากตรงนี้ไป ก็เป็นเพียงแต่สายน้ำไหลเอื่อยๆ มีแก่งขนาดเบาๆ พวกเราจึงได้ลงไปลอยคออีกเช่นเคย เที่ยงเศษๆ ก็ขึ้นฝั่งที่ร้านนิตยา ใช้เวลาล่องแก่งกันราวสองชั่วโมงเศษๆ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้วก็มากินมื้อเที่ยงร่วมกัน ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพ ฯ อาหารอร่อย โดยเฉพาะไก่ทอดสูตรของที่นี่ แล้วก็ปลากดทอด ที่ไม่ค่อยจะได้กินบ่อยนัก.










โดย yyswim




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2549    
Last Update : 2 สิงหาคม 2549 1:40:54 น.
Counter : 2839 Pageviews.  

กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล



กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล





เรื่องของสุขภาพและอาหารการกิน เดี๋ยวนี้ใครๆก็ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ใช้การนึ่งหรือต้มแทนการใช้วิธีทอด ทานผักครึ่งหนึ่งทานอย่างอื่นครึ่งหนึ่ง ทานเนื้อปลาแทนเนื้อไก่หรือเนื้อหมู ไม่ทานอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างเดียวซ้ำซากจำเจ ใช้น้ำมันข้าวโพดหรือน้ำมันจากเมล็ดดอกทานตะวันแทนการใช้น้ำมันหมู รวมไปถึงการลดการกินกะทิจากธรรมชาติ เพราะมีโคเลสเตอรอล(Cholesterol)สูง


ภิรมณ ชูประภาวรรณ



นางสาวภิรมณ ชูประภาวรรณ นักวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้านอาหาร ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทั่วไปบริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของไอเดีย กะทิไม่มีโคเลสเตอรอล หรือ กะทิธัญพืช เล่าถึงแนวความคิดดังกล่าวว่า เกิดขึ้นจากการสังเกตบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีโคเลสเตอรอลสูง และทุกคนที่รู้จักจะถูกคุณหมอสั่งห้ามรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ ซึ่งตรงจุดนี้เองทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า


“ทำอย่างไรที่จะสามารถกินกะทิได้ตามที่เคยกิน แต่ไม่มีโคเลสเตอรอล”


จากนั้นจึงได้ไปปรึกษากับนักโภชนาการ เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ที่ถูกคุณหมอห้ามทานกะทิว่า จะต้องทานอะไรทดแทน และจะต้องทำตัวอย่างไร แล้วจากข้อมูลที่ได้ จึงนำมาพัฒนาเป็นสูตรของ กะทิที่ไม่มีโคเลสเตอรอล หรือกะทิธัญพืช ขึ้น เมื่อได้มาแล้วก็รีบขอจดอนุสิทธิบัตร กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเลย



“กะทิธัญพืช” หรือ กะทิไม่มีโคเลสเตอรอล มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว และโปรตีนจากถั่วเหลือง โดยไม่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย ไม่มีการเติมสีและแป้ง และที่สำคัญไม่มีส่วนผสมของกะทิจากมะพร้าว


กะทิธัญพืช มีลักษณะสีขาว มีกลิ่นหอมเหมือนกับกะทิจากมะพร้าว แต่มีความเข้มข้นมากกว่า จนสามารถใช้แทนหัวกะทิได้ แต่ถ้าต้องการให้กะทิธัญพืช มีความเข้มข้นน้อยลงเพื่อใช้ปรุงอาหารเหมือนกับกะทิทั่วไป ก็สามารถจะเติมน้ำเปล่าลงไปได้ ยิ่งเติมน้ำมากเท่าใด ก็จะเป็นหางกะทิเจือจางเท่านั้น


ข้อสำคัญ ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลเรื่องของโคเลสเตอรอลที่เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจอีกต่อไป เพราะกะทิธัญพืชนี้ จะมีไขมันไม่อิ่มตัว (ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย) อยู่มาก อีกทั้งยังมีวิตามินอี (สารต้านอนุมูลอิสระ) จากธรรมชาติสูงด้วย


อย่างไรก็ตาม กะทิธัญพืชไม่ควรจะตั้งไฟนาน(เคี่ยวไฟ) เพราะมิฉะนั้นวิตามินอีจากธรรมชาติจะถูกทำลายไปได้ง่ายเมื่อโดนความร้อน ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงโดยให้โดนความร้อนน้อยที่สุด


เคยมีคำถามถามว่า ถ้าจะต้องหลีกเลี่ยงความร้อน แล้วจะใช้กะทิธัญพืชปรุงอาหารอย่างไร?


คำตอบก็คือ ในการทำแกง ให้ใช้เครื่องแกงผัดกับน้ำมันพืชก่อน จากนั้นจึงเติมน้ำและเครื่อง (เช่น เนื้อไก่ หรือ โปรตีนเกษตร) ผัดให้สุก แล้วจึงค่อยเติมกะทิธัญพืช ใส่ผัก แล้วยกลงจากเตา ทั้งนี้แกงที่ทำจากกะทิธัญพืชจะไม่แตกมันนัก แต่ดีต่อสุขภาพ


สำหรับขนมหวาน ให้ต้มน้ำกับน้ำตาลก่อน โดยต้มให้เดือด แล้วจึงค่อยใส่กล้วย หรือ ฟักทอง (กรณีที่จะทำกล้วยบวดชี หรือ ฟักทองแกงบวด) แล้วจึงค่อยเติม กะทิธัญพืช ลงไปในหม้อ คนสักพัก เมื่อยกลงมา ก็รับประทานได้เลย ทั้งสะดวกและสะอาดเพราะกะทิธัญพืช บรรจุอยู่ภายในกล่องที่ปิดมิดชิด ดีกว่าไปซื้อกะทิธรรมชาติมาคั้นเองซึ่งจะไม่สะดวกและไม่สะอาด


ยังมีคำถามถามอีกว่า ทำไมกะทิธัญพืชมีสีขาวมากนัก ใส่สีหรือเปล่า?


กะทิธัญพืชไม่มีส่วนผสมของสี แป้ง หรือวัตถุกันเสีย แต่ที่มีสีขาวเพราะส่วนหนึ่งในกะทิธัญพืช มีส่วนผสมของโปรตีนจากถั่วเหลืองและผ่านกระบวนการที่เรียกว่า โฮโมจิไนเซชั่น (Homogenization) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตนมสด ทำให้ไขมันมีขนาดที่เล็กลง และสามารถรวมตัวอยู่กับน้ำได้ จึงไม่แยกชั้นเป็นน้ำมันออกมาให้เห็น ทั้งนี้ด้วยขนาดของไขมันที่เล็กลงนี้ จึงสะท้อนแสงและทำให้ตาของเรามองเห็นเป็นสีขาว

(เช่นเดียวกับการที่เราตีน้ำที่มีผงซักฟอกให้เป็นฟอง ฟองนั้นคืออากาศขนาดเล็กๆ เมื่อสะท้อนแสง ทำให้ตาเราเห็นเป็นสีขาว)


แล้วการใช้กะทิธัญพืช มาปรุงอาหารจะดีกว่าการใช้น้ำนมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนยได้อย่างไร?


สาเหตุก็เพราะกะทิธัญพืช มีความหอมเหมือนกะทิธรรมชาติ และให้ความข้นมันมากกว่ากะทิธรรมชาติ 3 เท่า จึงทำให้อาหารและขนมที่ใช้กะทิธัญพืชปรุง จะมีความหอมและความมันเหมือนกับการใช้กะทิจากมะพร้าว มากกว่าที่จะใช้น้ำนมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนย

(ทั้งนี้อาหารและขนมที่ใช้นมถั่วเหลือง หรือนมพร่องมันเนยปรุง จะมีลักษณะใสๆ เหลวๆ ไม่อร่อย และยังต้องใช้ในปริมาณที่มากอีกด้วย)



หลังจากที่เราได้สูตรกะทิธัญพืช อย่างลงตัวแล้ว ก็เริ่มใช้กันเองภายในบ้านก่อน และก็เริ่มคิดผลิตออกจำหน่ายเป็นถุงขนาดใหญ่ โดยเน้นขายตามโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่โดดเด่นทางด้านการรักษาโรคหัวใจ


ทางเราได้นำไปเสนอให้กับทางโรงพยาบาล เพื่อให้นำไปปรุงอาหารให้กับคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ ปรากฏว่า กะทิของเราซึ่งไม่มีโคเลสเตอรอล ผ่านเกณฑ์ของนักโภชนาการของโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญโรคหัวใจ แถมยังเป็นที่ถูกปากถูกใจของคนไข้ที่เข้ามาทำการรักษา สุดท้ายก็มีการขอแบ่งซื้อเพื่อนำไปรับประทานที่บ้าน แบ่งซื้อจากทางโรงพยาบาลเป็นจำนวนมากนั่นแหละ


นักโภชนากรจึงแนะนำเราว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะผลิตออกวางจำหน่ายแบบบรรจุลงในขวด เพื่อสะดวกกับลูกค้าในการพกพาและในการใช้งาน จากตรงจุดนี้เองที่ทำให้เราทำเป็นธุรกิจออกจำหน่ายอย่างจริงจัง โดยจดทะเบียนเป็นบริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด เมื่อปีพ.ศ. 2545 วางขายกะทิธัญพืชตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป


มีทั้งแบบพาสเจอร์ไรท์และยูเอชที ในรูปแบบบรรจุขวดและแบบบรรจุกล่อง



ในระยะแรกที่ผลิตเพื่อวางจำหน่าย ทางเราได้ผลิตแบบพาสเจอร์ไรท์บรรจุขวด ราคาขวดละ 34 บาท ซึ่งจะแนะนำให้ลูกค้าเก็บไว้ในที่เย็น และมีอายุในการใช้งานไม่นานนัก ลูกค้าก็เรียกร้องให้ผลิตออกมาในแบบ ยูเอสที บ้าง เพื่อจะได้เก็บไว้นานๆ


ดังนั้นจึงเกิดกะทิธัญพืช ในรูปแบบของกล่อง ราคากล่องละ 19 - 20 บาท ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น เก็บไว้ได้นานหลายเดือน


มีคำถามถามอีกว่า กะทิธัญพืชแบบพาสเจอร์ไรท์บรรจุขวด ถ้าใช้ไม่หมดจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้ในตู้เย็นหรือไม่? แล้วจะเก็บไว้ได้นานแค่ไหน?


คำตอบคือ เมื่อเปิดใช้กะทิธัญพืชแล้ว แต่ยังใช้ไม่หมดขวด ควรเก็บเข้าตู้เย็นทันที เพื่อให้สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก ซึ่งโดยทั่วไปกะทิธัญพืชเมื่อเปิดใช้แล้วและเก็บเข้าตู้เย็นทันทีก็สามารถจะเก็บไว้ใช้ได้อีกเป็นเดือน ทั้งนี้เพราะกะทิธัญพืช มีปริมาณของไขมันอิ่มตัวต่ำ จึงสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้โดยไม่จับตัวเป็นก้อนหรือเป็นไข




สำหรับขั้นตอนของการผลิตกะทิธัญพืช ทุกวันนี้ทางเรายังเป็นบริษัทเล็ก ยังไม่สามารถมีโรงงานผลิตเองได้ จึงได้มีการจ้างให้โรงงานที่ทันสมัยมีความเชี่ยวชาญสูงช่วยผลิตให้ โดยทางฟอร์แคร์ จะเป็นผู้ที่เข้าไปควบคุมคุณภาพ และดูแลส่วนผสม เพื่อให้ตรงกับมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามกำลังการผลิตไม่ใช่เป็นปัญหาหลักของเรา เพราะฟอร์แคร์สามารถจะเพิ่มกำลังการผลิตให้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา หากสินค้ามีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้น


เรื่องความคิดที่จะตั้งโรงงานเพื่อผลิตเองนั้น ขณะนี้ทางเรายังไม่มีความคิดในเรื่องนี้ เพราะเรายังไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารโรงงานพอ จึงคิดจะให้ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการผลิตช่วยผลิตให้จะดีกว่า


และอีกอย่างหากเรามีโรงงานผลิตเอง เราจะต้องแบ่งเวลาเพื่อเข้าไปดูแลในส่วนของขั้นตอนการผลิตเป็นเวลาจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เราไม่มีเวลาไปดูเน้นเฉพาะตรงคุณภาพของสินค้าได้เต็มที่ และไม่มีเวลาเพื่อการบุกเบิกตลาดได้อย่างเต็มที่ด้วย จึงคิดว่าเราชำนาญเรื่องไหน ควรจะทำตรงจุดนั้นอย่างเต็มที่จะเหมาะกว่า


ที่ผ่านมาทางเรา ได้วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กะทิธัญพืชทั้งในรูปของพาสเจอร์ไรท์ และยูเอชที ตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของไทย เช่น ท็อปส์, เทสโก โลตัส, ห้างตั้งฮั่วเส็ง, ร้านเลมอนฟาร์ม, และที่ร้านโกลเด้นเพลส เป็นต้น พร้อมทั้งบุกตลาดในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ อินเดีย และประเทศในแถบตะวันออกกลาง โดยจะส่งออกในรูปแบบของยูเอชที เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง


แผนการตลาด ขณะนี้ทางเรากำลังพัฒนาตลาดเพิ่มเติมไปสู่กลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องการรักษาสุขภาพ คือกลุ่มคนที่มีอายุน้อยประมาณอายุ 35 ปี นอกเหนือไปจากกลุ่มคนอายุวัยทองขึ้นไป ซึ่งสนใจผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประจำอยู่แล้ว


ขณะเดียวกันก็เตรียมวางตลาดกะทิธัญพืช ในขนาดกล่องยูเอชที 2 พันมิลลิลิตร เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังร้านอาหาร ภัตตาคาร และโรงแรม ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณมากๆ โดยจะขยายช่องทางจำหน่ายไปยังห้างค้าส่งต่างๆ เช่น แม็คโคร โลทัส นอกเหนือจากการนำส่งตรงถึงกันและกันกับลูกค้าบางรายที่ใช้อยู่เป็นประจำ


และล่าสุดทางเรามีโครงการร่วมมือกับ ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ของเดอะมอลล์ ในการนำกะทิธัญพืช และครีมทดแทนนม สินค้าตัวใหม่อีกตัวของเรา มาทำเป็นอาหารและขนมพร้อมรับประทาน วางขายภายในห้าง เพียงสังเกตหาป้าย(ตามรูปข้างล่าง) และสติ๊กเกอร์ที่ติดที่ภาชนะอาหาร









แผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เราเน้นที่การสนับสนุนรายการโทรทัศน์ เช่น รายการเงาะถอดรูป รายการขบวนการแสนสุข และสื่อนิตยสารต่างๆ รวมทั้งมีกิจกรรมอีกหลายกิจกรรมเพื่อกระตุ้นตลาด


สภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวในปัจจุบัน แต่เราโชคดีที่ไม่มีผลกระทบกับยอดขายของเราเลย อาจจะเพราะเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม และมีลูกค้าประจำอยู่ก็ได้ ปัจจุบันมีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศประมาณ 10 - 15% ของกำลังการผลิต และในปีนี้คาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 100 - 150% เนื่องจากตลาดโดยรวมยังมีขนาดเล็ก และยังไม่มีคู่แข่งขัน



รสชาติใกล้เคียงกะทิ และง่ายต่อการปรุงอาหารและของหวาน




โดยขั้นตอนของการนำไปปรุงอาหารและขนม จะต่างกับการใช้กะทิจากธรรมชาติเล็กน้อย คือใส่กะทิธัญพืช ในขั้นตอนสุดท้ายของการปรุงอาหาร หรือหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อน เพื่อที่จะช่วยรักษาคุณค่าของวิตามินอีและกรดไขมันที่ดีต่อร่างกายที่มีอยู่ในกะทิธัญพืช


ถือได้ว่า “กะทิธัญพืช” มีความเข้มข้นที่ผู้บริโภคสามารถนำไปใช้แทนหัวกะทิได้ ซึ่งเมื่อนำไปประกอบเป็นอาหารหรือขนม จะให้รสชาติที่ใกล้เคียงกับกะทิจากมะพร้าวมาก จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย แต่ต้องการจะกินแกงกะทิ ต้มกะทิ หรือของคาวของหวานที่เข้ากะทิ


เมนูอาหารและขนมอร่อยที่ผลิตด้วยกะทิธัญพืชเชิญคลิกที่นี่มีรูปประกอบให้ดูด้วย


ผลิตภัณฑ์ “ฟอร์แคร์ กะทิธัญพืช” ได้รับการรับรองภายใต้โครงการ “อาหารไทยหัวใจดี” จากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อหัวใจ ซึ่งจะสังเกตตราสัญลักษณ์ได้ จากข้างฉลากผลิตภัณฑ์








บริษัท ฟอร์แคร์ จำกัด 57-57/1 หมู่ 5 ถนนร่มเกล้า แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. 0-2919-4460-2 โทรสาร 0-2919-4463
เว็บไซด์www.4Care.co.th











มูลนิธิหัวใจ



มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า
มีปัจจัย 10 ประการ ที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดมีปัญหา
สิ่งเหล่านั้นได้แก่


1. บุหรี่

2. ความดันโลหิตสูง

3. ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

4. โรคเบาหวาน

5. ความเครียดเรื้อรัง

6. ความอ้วน

7. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง

8. เกลือ

9. น้ำตาล

10. ผลจากการไม่ออกกำลังกาย



ปัจจุบันผู้คนเริ่มเห็นคุณค่าของผักผลไม้มากขึ้น เทรนด์ของการบริโภคอาหารของชาวโลกในปัจจุบัน จึงเปลี่ยนมากินผักหลายหลากสี ชนิดแบบสีรุ้ง มีผักสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ซึ่งสีในผักส่วนใหญ่ก็เป็นตัวยับยั้งการเกิดโรคจากอนุมูลอิสระ


อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารที่ชาญฉลาดจะต้องรู้ถึงข้อมูลทางวิชาการด้วย ไม่หลงเชื่อแต่คำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะตัวต้านอนุมูลอิสระ เดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์ผักบรรจุแคปซูลออกมาวางขาย ซึ่งแทนที่จะได้ผลดี แต่หากบริโภคมากเกินไปอาจจะเป็นพิษต่อตับได้


หรือการมุ่งมั่นหันมาบริโภคแต่น้ำผักผลไม้ตามแฟชั่น ที่นิยมปั่นแยกกาก กินแบบนี้จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณสูง เพราะดูดซึมได้เร็ว ที่จริงการบริโภคให้สมดุลสำหรับสุขภาพที่แข็งแรงจะต้องกินกากตามไปด้วย เพื่อให้กากไปช่วยดูดซึมน้ำตาล น้ำตาลจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ



ในกรณีมีน้ำตาลในเลือดสูง ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อจัดการเก็บกวาดน้ำตาล แจกจ่ายไปยังเซลล์ที่ต้องการใช้ จากนั้นส่วนที่เหลือก็จะถูกส่งไปยังตับเพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นไขมัน ไขมันที่เกินความต้องการจะมีส่วนร่วมให้เกิดตะกรันไขมันในหลอดเลือด เกิดเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้


ผลร้ายของการรับประทานอาหารหวานมาก ส่งผลให้ตับอ่อนทำงานหนัก และยิ่งไม่ออกกำลังกาย ตับก็จะสร้างไขมัน เก็บไว้เป็นถุงผูกไว้ที่พุง คนที่กินมากกว่าใช้ จึงมักจะอ้วนลงพุง


หลักที่สำคัญอีกด้าน ที่ทางมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้คำแนะนำไว้ คือการกินให้พอเหมาะ และออกกำลังกายให้พอดีในทุกรูปแบบตามถนัด ไม่ว่าจะวิ่ง เดิน เล่นกีฬา


ถ้าต้องการให้ถึงหัวใจ ต้องใช้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือมีการใช้ออกซิเจนจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ออกแรงเป็นจังหวะ จะมีผลทำให้มีการหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น กำหนดให้มีความเหนื่อยประมาณร้อยละ 60 - 80 ของความสามารถ สังเกตได้โดยหายใจเร็วขึ้น ในระดับที่จะคุยสบายต่อเนื่องไม่สะดวก แต่ไม่มากจนกระทั่งหอบตัวโยน



การเลือกกินอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวได้ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงร่วมกับภาคโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงให้บริการใช้ตราสัญลักษณ์ อาหารไทยหัวใจดีขึ้น ภายใต้ชื่อ “อาหารรักษ์หัวใจ”

ในปี พ.ศ. 2549 มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยเชิญชวนผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์อาหาร ช่วยกันผลิตอาหารที่ไม่เสี่ยงต่อโรคหัวใจ โดยให้นำอาหารมาตรวจสอบ แล้วขอรับตราอาหาร สัญลักษณ์ “อาหารรักษ์หัวใจ” เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองโดย มูลนิธิโรคหัวใจฯ และภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


ล่าสุด มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ด้วยกัน 11 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่



1. น้ำมันรำข้าวตราคิง

2. น้ำมันรำข้าวตราชิม

3. ข้าวโอ๊ค Quaker ชนิดสุกเร็ว

4. ข้าวโอ๊ค Quaker ปรุงสำเร็จ

5. ทูน่าเนื้อขาวชนิดก้อน ในน้ำแร่ตรา TCB

6. ทูน่าสเต็กในน้ำแร่ ตราซีเล็ค

7. นมพร่องไขมัน UHT ตราไฮ หนองโพ

8. น้ำนมถั่วเหลือง วี- ซอย สูตรน้ำตาลต่ำ

9. น้ำนมถั่วเหลือง วี-ซอย สูตรไม่มีน้ำตาล

10. กะทิธัญพืช ฟอร์แคร์

11. เครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป กลิ่นวานิลลา ตรา Good Time




ทั้งนี้ การได้รับตราสัญลักษณ์ “อาหารรักษ์หัวใจ” แสดงว่าอาหารนี้มี ชนิดของกรดไขมันใน สัดส่วนที่เหมาะสม มีเกลือและน้ำตาลไม่มาก มีใยอาหารสูง เมื่อบริโภคในปริมาณที่ให้พลังงานเหมาะสม จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือด

โดยตราสัญลักษณ์ มีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ อนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ได้ในระยะเวลา 2 ปี






ประโยชน์ของพืชผัก



รับประทานผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง



1. ข้าวโอ๊ตและอาหารที่ทำจากข้าวโอ๊ต มีใยอาหารและมี Beta-glucan ช่วยลดโคเลสเตอรอล

2. ถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง มีโปรตีนถั่ว ช่วยลดโคเลสเตอรอล

3. งา มีแคลเซียม และมีวิตามินเอ ช่วยเสริมสร้างกระดูก ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

4. มังคุด มีสาร Xanthone ช่วย
- ลดอาการบวมน้ำ และความเจ็บปวดจากการบวม
- ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ
- ลดโคเลสเตอรอล
- ป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งในตับและตับอ่อน
- ป้องกันอาการท้องร่วง
- ป้องกันการแพ้
- ป้องกันการสั่นที่ปลายประสาทจากโรคพาร์กินสัน
- ลดอาการผิวหนังอักเสบและอาการแพ้ที่ผิวหนัง


5. ส้ม ช่วยบรรเทาอาการหวัด ช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการรวมตัวของแคลเซียมที่ทำให้เกิดนิ่ว และช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

6. กระเจี๊ยบแดง ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ช่วยลดโคเลสเตอรอล

7. ดอกคำฝอย บำรุงเลือด ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดความดันโลหิต

8. ใบหม่อน ช่วยลดโคเลสเตอรอล ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันมะเร็ง บำรุงร่างกาย

9. พริกไทย แก้ท้องอืดเฟ้อ เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย ช่วยลดโคเลสเตอรอล

10. ชาดำและชาเขียว มี Catechins ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

11. บร๊อกโคลี่ มี ซัลโฟราเฟน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

12. มะเขือเทศ มี ไลโคพีน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

13. สตรอเบอรี่ มีสารป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง และป้องกันการจับตัวกันของไขมันในเส้นเลือดแดง

14. กะหล่ำปลี คะน้า มีสารประกอบไนโตรเจนสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

15. มันเทศ มีเบตาแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

16. กระเทียม มีสารประกอบกำมะถัน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจ

17. แอปเปิล มีวิตามินซีน้อย แต่มีสารที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และ ฟลาโวนอย ที่ช่วยเร่งปฏิกิริยาของวิตามินซี ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจ

18. น้ำองุ่นม่วง มีสารประกอบโพลีฟีโนลิค ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย

19. แตงโม มีน้ำ 92% มีสารกลูตาไทโอนสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย มีไลโคพีน ที่ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระ มีวิตามินซี และโปแตสเซียม

20. ฝรั่งและมะละกอ มีวิตามินซีสูง ฝรั่งมีใยอาหารสูง มะละกอ มีสารเบตาแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา

21. โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักนม มีโพรไบโอติก ช่วยปรับระบบการย่อยอาหาร

22. กีวี มีโปแตสเซียม แมกนีเซียม วิตามินอี ใยอาหาร และมีวิตามินซีปริมาณมากกว่าส้ม

23. สาหร่ายทะเล มีเบตาแคโรทีน โปรตีน มีวิตามินบี 12 มีคลอโรฟิลล์ มีเกลือแร่ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดมะเร็ง

24. เกสรผึ้ง มีกรดอะมิโน และแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้นอนหลับสบาย ป้องกันโรคโลหิตจาง สร้างภูมิคุ้มกัน


25. เก๊กฮวย ให้ความสดชื่น บำรุงสายตา แก้ร้อนใน ป้องกันนิ่ว เจริญอาหาร

26. กระชาย แก้ปวดมวนในท้อง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง

27. ขมิ้นชัน ช่วยบำรุงผิวให้อ่อนนุ่ม บรรเทาอาการแพ้ สมานแผลทั้งภายในและภายนอก แก้โรคกระเพาะอาหาร และช่วยต้านอนุมูลอิสระ

28. แครอท ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด และมลภาวะ ช่วยบำรุงผิว ช่วยให้สดชื่น มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา

29. เตย บำรุงหัวใจ ดับพิษไข้

30. ตะไคร้ แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต

31. แตงกวา ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนนุ่ม

32. บัวบก บำรุงสมอง ลดความดันโลหิต บำรุงผิวพรรณ แก้ช้ำใน ลบรอยแผลเป็น

33. บอระเพ็ด แก้ไข้ แก้ร้อนใน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงตับ

34. แปะก๊วย เสริมสร้างสมรรถภาพทางสมอง ป้องกันความจำเสื่อม ป้องกันอาการมือสั่น

35. ฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ แก้เจ็บคอ แก้ร้อนใน ท้องเสีย

36. มะขาม มีวิตามินซี มีกรด AHA ช่วยให้ระบายท้อง

37. มะตูม ช่วยย่อยอาหาร แก้ร้อนใน กระหายน้ำ

38. มะระขี้นก แก้ไข้ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด.





โดย yyswim




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2549 13:13:49 น.
Counter : 10742 Pageviews.  

เรื่องคุก


เรื่องคุก






เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไป ณ เรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อทรงเปิด "ห้องสมุดพร้อมปัญญา" ณ เรือนจำกลางคลองเปรม และ "ห้องสมุดพร้อมปัญญา" ณ ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยมี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตลอดจนคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และข้าราชการกรมราชทัณฑ์ เฝ้าฯรอรับเสด็จ






จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงาน กิจกรรมศูนย์ซ่อมบริการเฉพาะกิจ กิจกรรมมุม มสธ. การแสดงผลงานภาพวาด โดยฝีมือผู้ต้องขังที่ผ่านโครงการ Art For All ตามพระราชดำริ

เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจกรรมค่ายศิลปะ และห้องเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ


เรือนจำกลางคลองเปรม




ทัณฑสถานหญิงกลาง




ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ซึ่งเป็นมงคลสมัยที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 48 พรรษา กรมราชทัณฑ์ได้ถือเป็นปีเริ่มต้น ของการพัฒนาห้องสมุดในเรือนจำต่างๆ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ที่เพียบพร้อม มีประสิทธิภาพ สามารถให้บริการกับกลุ่มเป้าหมายได้ตามบทบาท




สำหรับ "ห้องสุมดพร้อมปัญญา" นี้ ทางกรมราชทัณฑ์ ได้ประสานความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน และสำนักพิมพ์ "มติชน" ร่วมกันจัดทำโครงการปรับปรุง ห้องสมุดเรือนจำ ในทัณฑสถาน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ


ซึ่งได้ตั้งเป้าหมาย จัดทำโครงการปรับปรุง ห้องสมุดเรือนจำ ในทัณฑสถานให้ครอบคลุมจำนวน 136 แห่ง


(หมายเหตุเจ้าของบล๊อก : พระเทพฯ ทรง “ดี” กับคนไทยทั่วหล้า แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนคุก …ขอพระองค์ ทรงพระเจริญพระเจ้าข้า)






ยอดบริจาคหนังสือ โครงการห้องสมุดพร้อมปัญญา ณ กรมราชทัณฑ์

ประเภทหนังสือ จำนวน(เล่ม) มูลค่า(จากราคาปก)

ไม่ระบุ 914 215,589

พระราชนิพนธ์ / พระนิพนธ์ 1,155 37,218

วิชาชีพ 778 4,295

ศาสนา / ศีลธรรม / จรรยา 21,295 732,781

บันเทิงคดี 15,592 1,638,530

วิชาการทั่วไป 11,138 1,025,971

กฎหมาย / กระบวนการยุติธรรม 4,126 5,470

นิตยสาร 2,558 9,135

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 390 8,708

ยอดรวมหนังสือบริจาค 57,946 3,677,697









โครงการ Art For All


โครงการ Art For All เกิดขึ้นโดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริรับสั่ง ตั้งแต่เมื่อคราวเสด็จทรงเปิดห้องสมุดพร้อมปัญญา เรือนจำจังหวัดน่าน วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เกี่ยวกับควรนำศิลปะมาช่วยขัดเกลาจิตใจให้มีความอ่อนโยน ตลอดจนช่วยสร้างสมาธิ และมีความสงบในการใช้ชีวิต


กรมราชทัณฑ์ได้สนองแนวพระราชดำริ โดยร่วมกับมูลนิธิ Art For All และบริษัทโตชิบาไทยแลนด์ จำกัด ดำเนินการโครงการ Art For All : ประตูสู่จิตนาการ กิจกรรมห้องเรียนศิลปะ รุ่นที่ 1


โดยได้คัดเลือกผู้ต้องขังกำหนดโทษตลอดชีวิตและประหารชีวิต ประเภทคดีความผิดต่อชีวิตจำนวน 10 คน และประเภทคดีความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติด จำนวน 10 คน ของเรือนจำกลางบางขวาง รวมจำนวน 20 คน


ซึ่งผ่านการคัดเลือกตามขั้นตอน ได้แก่ การคัดเลือกจากผลงานภาพวาด การสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล การทดสอบสภาวะทางจิตด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาคลินิก โดยนักจิตวิทยาของกรมราชทัณฑ์


เข้าศึกษาศิลปะโดยจัดการเรียนการสอนในลักษณะห้องเรียนศิลปะ ประเภทการเขียนสีน้ำ สีน้ำมัน สีอะคริลิก จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ศิลปินอิสระ และคณาจารย์ จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีกำหนดระยะการอบรม ขั้นต้นนำร่อง 3 เดือน


ซึ่งมีพิธีเปิดและเริ่มต้นการอบรมเมื่อวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2549 เวลา 09.30 นาฬิกา ณ เรือนจำกลางบางขวาง แดน 8





(หมายเหตุของเจ้าของบล๊อก : โอ๊ะ โอ๋ นี่เหรอ หน้าตาผู้กระทำผิดถูกลงโทษตลอดชีวิตและประหารชีวิต)




"คุกเอกชน"


“คุก” สถานที่กักกันเสรีภาพของผู้กระทำผิดที่ได้รับการพิพากษาจนถึงที่สุดแล้ว ใครได้เข้าไปอยู่ คงจะไม่มีใครกระโดดโลดเต้นดีใจเป็นแน่ เพราะภายใน ผู้ที่เข้าไปอยู่ จะขาดทั้งอิสรภาพในการอยู่ การกิน การเที่ยว การเสพย์สิ่งบันเทิง และแม้กระทั่งการแต่งกาย


ยิ่งในปัจจุบัน ที่มีข่าวปัญหาคนล้นคุกด้วยแล้ว ประเภทที่แออัดกันนอน หากใครลุกออกไปห้องน้ำกลางดึก กลับมาอีกทีแทบจะนั่งร้องไห้ ยังกะมีคนแกล้ง เพราะไม่มีที่จะให้เบียดนอนอีกสักคนได้


เพราะมีนักโทษมากมาย ประมาณ 161,844 คน
จากจำนวนคุกที่มีอยู่ทั้งหมดเพียง 152 แห่ง




แต่ข่าวดีครับ "คุกกำลังจะเปลี่ยนไป" เมื่อกรมราชทัณฑ์มีแนวความคิดที่จะจัดสร้าง "คุกเอกชน" ขึ้น เพื่อถ่ายโอนภารกิจและภาระหน้าที่ในการดูแลนักโทษจากภาครัฐ ไปสู่ภาคเอกชนดูแล พูดง่ายๆก็คือจะจ้างบริษัทเอกชนทำงานคุก ในบางอย่าง แทนภาครัฐ เหมือนดังเช่นงานอื่นที่ภาครัฐได้จ้างเอกชนไปทำ




ทันทีที่ข่าวปรากฏออกมาตามสื่อต่างๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังอึงมี่ขึ้นมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยลงความเห็นในทันทีว่า คุกเอกชนจะเป็นที่คุมขังคนรวย จะมีการให้อภิสิทธิ์กับคนมีเงิน จะเป็นที่หลบพักภัยร้ายของคนบางคนซึ่งจะได้พักอย่างโรงแรม 5 ดาวมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม เมื่อฟอกตัวระยะหนึ่งแล้ว ก็จะออกมาทำความชั่วใหม่ได้อีก



แท้จริงแล้ว "คุกเอกชน" จะมีความผิดเพี้ยนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ


นัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์




คุณนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกเล่าแนวความคิดเรื่องเรือนจำเอกชนว่า เรือนจำเอกชนไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะความจริงพูดกันมานาน 10 กว่าปีแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม


กรมราชทัณฑ์ ได้มีการว่าจ้างทำ โครงการศึกษาวิจัย (ที่ไม่ยอมทำการศึกษาวิจัยเอง เพราะต้องการจะได้ผลงานศึกษาวิจัยที่ครอบคลุมข้อมูล และไม่เกิดความลำเอียง)โดยว่าจ้างสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ศึกษาวิจัย


การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ สถาปนิก นักอาชญวิทยา นักบริหารรัฐกิจ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้อย่างเปิดกว้างว่า ควรจะมีเรือนจำเอกชนได้หรือไม่ ถ้ามีได้ ควรจะเป็นในรูปแบบใด


ซึ่งขณะนี้ก็ยังมิได้มีการตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะให้มีหรือดำเนินการสร้างแต่ประการใด ดังนั้นใน ปีพ.ศ. 2551 กรมราชทัณฑ์อาจจะยังไม่มีเรือนจำเอกชนเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้



คุกในอเมริกา





ทั้งนี้ จุดหนึ่งของแนวความคิดของการสร้างเรือนจำเอกชน ก็มาจากการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งจำเป็นจะต้องแปรรูปงานของรัฐ หรือถ่ายโอนงานบางส่วนของรัฐให้กับเอกชนเป็นผู้ดำเนินการแทน


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถ่ายโอนในลักษณะที่รัฐสามารถจะทำหน้าที่ในงานหลัก หรือการที่รัฐมีทรัพยากรอันจำกัด หากถ่ายโอนไปได้ ก็จะช่วยลดภาระบางส่วนลง ไม่เช่นนั้นคุกของรัฐก็จะต้องขยายเพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจจะต้องสร้างคุกเพิ่มขึ้นๆเรื่อยๆ แล้วต้องขอทั้งคนขอทั้งงบประมาณเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด


ประกอบกับเรื่องนี้ ถูกบรรจุเป็นแผนยุทธศาสตร์ของกรมราชทัณฑ์อยู่แล้ว ที่จะต้องค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ เป็นแนวทางปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง เพื่อปรับปรุงอาชีพ เพิ่มจริยธรรมต่อผู้ต้องขัง



คุณนัทธี บอกเพิ่มเติมว่า เรือนจำเอกชน ที่จริงก็ยังเป็นเป็นเรือนจำของรัฐที่ให้เอกชนเข้ามาบริหารแทนนั่นเอง ซึ่งมีลักษณะรูปแบบการบริหารที่แตกต่างกัน เช่น ผู้บัญชาการเรือนจำ อาจจะมีตำแหน่งเป็น ผู้จัดการเรือนจำ ผู้คุม อาจจะเป็น พนักงาน โดยอาศัยเจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์ไปร่วมทำงานด้วย


หน่วยรักษาความปลอดภัย การฝึกวิชาชีพ การศึกษาภายในเรือนจำ ความสะอาดภายในเรือนจำ อาหารที่จะจัดให้ผู้ต้องขัง ก็จะแบ่งให้เอกชนเป็นผู้บริหารหรือจัดหา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของการบริหารจัดการเสียมากกว่า โดยรัฐจะเป็นผู้ให้ค่าตอบแทนค่าบริหาร เช่น รัฐเคยจ่ายให้เรือนจำของรัฐ 50 ล้านบาทต่อปี ก็จะจ่ายให้เอกชน 50 ล้านบาทต่อปีเท่ากัน แต่บริษัทเอกชนจะบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเองมากกว่า



“ขอตอบตอนนี้ว่า คุกเอกชนไม่ใช่เรือนจำไฮโซ หรือเรือนจำหรูอย่างที่เข้าใจกัน เพราะเอกชนจะไม่สามารถ สร้างและดูแลให้ต่ำกว่าหรือสูงกว่ามาตรฐานที่กรมราชทัณฑ์กำหนดไว้ตอนทำสัญญาได้ ขณะเดียวกันความเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง การปฏิบัติงานของเรือนจำก็ยังจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่รัฐกำหนดไว้ และยังจะมีการตรวจติดตามประเมินผลการทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่งั้นจะผิดสัญญา"


การเกิดขึ้นของคุกเอกชน แต่ละที่แต่ละจังหวัด น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันกันปรับปรุงประสิทธิภาพ จะทำให้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามแบบข้าราชการของกรมราชทัณฑ์ต่อไปอีกไม่ได้ ทั้งนี้ ในการประเมินผลเชิงแข่งขันของเรือนจำเอกชน จะประเมินผลในแง่ประสิทธิภาพ ทั้งมิติด้านการควบคุมเช่นการไม่หลบหนี และมิติด้านการอบรมพฤติกรรมนิสัยของผู้ต้องขังเพื่อคืนสู่สังคม แล้วยังจะดูในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อหน่วย การไม่กระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขัง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ความโปร่งใสในการบริหารและการควบคุม เป็นต้น



สำหรับในต่างประเทศนั้น ได้มีการศึกษาวิจัยแล้วพบว่า รูปแบบของการบริหารเรือนจำเอกชนจะดีกว่า จะประหยัดกว่าการที่ให้รัฐบาลดำเนินการเอง


เนื่องจากเอกชนสามารถจะตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้ เช่น เขาจะเลือกลงทุนด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ด้านสถานที่ที่มั่นคงกว่า แต่สามารถใช้กำลังคนน้อยลง และมีการทำงานที่คล่องตัวรอบคอบกว่า


ต่างกับเรือนจำของรัฐที่จะเป็นไปตามระบบราชการ การทำงานในระบบเอกชนจะทำให้ค่าตอบแทน สวัสดิการ และวัฒนธรรมการทำงานจะปรับเปลี่ยนไปมาก มีการดึงคนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาทำงานอย่างเต็มที่






อย่างไรก็ตาม จะต้องรอผลการศึกษาวิจัยที่ละเอียดซึ่งยังจะต้องทำต่อไปอีกหลายด้าน เช่น ด้านการทำประชาพิจารณ์ เป็นต้น แล้วยังจะต้องมีการออกกฎหมายเพื่อรองรับ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดของสภาผู้แทนและของวุฒิสภาด้วย



ทีนี้ ก็มาถึงคำถามสำคัญว่า แล้วไอ้หน้าตาของคุกเอกชนนั้นจะออกมาในรูปแบบอย่างไร เพราะหลายๆ คนอาจจะยังนึกภาพไม่ออก


เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณนัทธี อธิบายรูปแบบของเรือนจำที่อาจจะเป็นไปได้ว่า เรือนจำเอกชนมีหลายรูปแบบ อาทิเช่น

1.รัฐสร้าง แล้วให้เอกชนเข้ามาบริหาร

2.เอกชนสร้าง และเอกชนบริหาร เนื่องจากรัฐไม่มีเงินสร้าง รัฐจึงใช้วิธีการจ่ายเงินชดเชย ผ่อนส่ง หรือที่เรียกว่า เทิร์นคีย์

3.เอกชนเป็นผู้ลงทุน โดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง

แต่ในเมืองไทยแบบที่ 3 น่าจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก ส่วนใหญ่อาจจะเป็นแบบที่ 1 และ 2


อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญคือ เรือนจำเอกชนกับเรือนจำของรัฐ จะต้องไม่แตกต่างกันมาก มีมาตรฐานเดียวกัน จะดีกว่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับการที่รัฐเป็นผู้กำหนด




คุกในอเมริกา





เรือนจำในต่างประเทศ หรู เพราะคนในรัฐของเขา หรู

ดังนั้น คุกของไทยก็ต้องอิงความเป็นอยู่ของมาตรฐานการดำเนินชีวิตของคนไทยด้วย หากคุณภาพชีวิตของคนไทยในสังคมยังแย่ ยังมีคนจน มีสลัม มีขอทาน สังคมในคุกก็จะต้องไม่สูงกว่ามาตรฐานสังคมภายนอก


จุดที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ จะต้องกำหนดว่า จะขังผู้ต้องขังประเภทไหน จะให้ผู้ต้องขังคดีอะไรอยู่ในเรือนจำเอกชน


เช่น ในประเทศอิรัก สหรัฐอเมริกาได้จ้างบริษัทเอกชนเข้ามาบริหารเรือนจำ สำหรับกักขังผู้ต้องโทษด้านความมั่นคง ใช้ขังบุคคลเฉพาะที่สำคัญๆ มีความเข้มงวดในการคุมขังอย่างสูง


หรือ อาจจะกำหนดว่า จะใช้กักขังเฉพาะผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษเท่านั้น เพื่อให้อยู่ในช่วงการปรับตัวก่อนเข้าสู่สังคม เพราะเรือนจำที่มีอยู่ในปัจจุบันแออัดอย่างมากๆ ก็สร้างเรือนจำให้ดี ให้โอกาสเขา ฝึกอาชีพเขา เพื่อพร้อมจะกลับตัวได้


ดังนั้น เรือนจำเอกชนสามารถจะเป็นเรือนจำที่โหดเข้มงวดก็ได้ เรือนจำที่ดีก็ได้ เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง โดยให้ญาติเขาส่งเข้ามาให้


ความแตกต่างระหว่างเรือนจำของรัฐและเอกชน อาจจะมีเพียงแค่การลดความแออัดเท่านั้นก็ได้ เช่น เรือนจำของรัฐอาศัยห้องละ 50 คน เรือนจำเอกชนอาจจะอยู่แค่ 10 - 20 คน เท่านั้น


คุณนัทธี อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สังคมไทยยังมองว่า ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษสาสม ยึดติดกับการแก้แค้นอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้ดีก็ได้ เมื่อเข้ามาอยู่ในคุกแล้วจะต้องถูกทรมานเท่านั้น


แต่ในความเป็นจริง เราต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะให้เขามีความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่าคนข้างนอก.










ทีมศึกษาวิจัย "คุกเอกชน"


ทีมศึกษาวิจัย มาจากสถาบันวิจัยสังคม ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งหมด 12 คน เป็นนักวิชาการจากสาขาต่างๆ โดยตั้งโจทย์ไว้ว่า "ควรมีการจัดตั้งเรือนจำเอกชนหรือไม่ ถ้ามีควรมีรูปแบบอย่างไร"


ซึ่งการทำศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้เวลา 7 เดือนนับตั้งแต่ มกราคม– สิงหาคม 2548 ด้วยงบประมาณ 4.5 ล้านบาท


ผศ.สุวัฒนา ธาดานิติ(คนซ้าย) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




ผศ.สุวัฒนา ธาดานิติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ ยืนยันว่า การศึกษาครั้งนี้จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมในสังคม สิทธิมนุษยชน เสรีภาพทางวิชาการ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอน


ซึ่งทีมงานที่ศึกษาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ทัณฑวิทยา สถาปัตยกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสังคมวิทยา โดยการศึกษาแบบบูรณาการควบคู่กัน เมื่อสามารถสรุปผลการวิจัยออกมาเป็นรูปแบบที่แน่ชัดแล้ว จึงจัดทำประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความเห็นประชาชน


โดยในช่วงปีงบประมาณ 2549 - 2550 คณะทำงานจะจัดทำข้อเสนอรูปแบบเรือนจำเอกชนที่เหมาะสมกับไทย และข้อเสนอในการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการจัดตั้งเรือนจำเอกชน


ทั้งนี้คาดว่า หน่วยงานภาคเอกชนที่สนใจจะเข้ามาลงทุนดำเนินการ อาจเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว หรือเอกชนในประเทศเอง โดยกรมราชทัณฑ์เป็นผู้คัดเลือกและติดตามประเมินผลการบริหาร พร้อมรายงานผลความคุ้มค่าและความสำเร็จของโครงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี


การศึกษาวิจัยครั้งนี้ คงจะต้องเน้นมิติทางสังคมมากเป็นพิเศษ ดังที่ได้ตั้งโจทย์ไว้ คือ "ควรมีหรือไม่" ที่สำคัญคือ ต้องตอบข้อสงสัยของสังคมได้





ดร.จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญวิทยา หนึ่งในผู้วิจัย กล่าวว่า

“เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก จึงต้องเลือกวิธีที่มีผลกระทบต่อสังคมน้อยที่สุด และหากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ อย่างสหรัฐฯ ค่าหัวนักโทษต่อปี 50,000 - 70,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,900,000 – 2,660,000 บาท) ขณะที่ประเทศไทยค่าหัวนักโทษแค่ 30,000 บาทต่อปี แค่นี้ก็คงเห็นความแตกต่างบ้างแล้ว”

“หากเอกชนได้ดูแลจัดการคุก ค่าหัวต่อปีของนักโทษในไทยอาจจะสูงขึ้นก็ได้ สังเกตจากกิจการในไทยที่ดำเนินการด้วยเอกชน มีกิจการใดบ้างที่ทำแล้วถูกกว่ารัฐบาล คงไม่มี เช่นโรงพยาบาล เป็นต้น ดังนั้นหากไทยเรามีโอกาสได้มีคุกเอกชนขึ้น คงจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในคุกให้ดีขึ้น”

"สำหรับคุกในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน ในแต่ละรัฐของประเทศเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน บางประเทศทำแล้วล้มเหลวก็มี ส่วนใหญ่ประเทศต่างๆมักจะเลือกประเทศออสเตรเลียเป็นต้นแบบเพราะบริหารคุกได้ดี แต่สังคมและวัฒนธรรมของเราก็ยังต่างจากต่างประเทศอยู่มาก เราคงจะไม่สามารถลอกแบบของต่างประเทศได้มาก”

ดร.จุฑารัตน์ ชี้ว่า กลุ่มผู้ต้องขังที่ควรจะได้อยู่ในคุกเอกชน ควรจะเป็นกลุ่มผู้ต้องขังที่สังคมยอมรับได้ เช่น ผู้หญิงซึ่งมีลูกอ่อน ผู้ต้องขังที่มีความผิดคดีเช็คเด้ง หรือเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด เป็นต้น ส่วนกลุ่มผู้ต้องขังที่ไม่ควรให้สิทธิ์อยู่ในคุกเอกชน เช่น นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ผู้มีโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต เป็นต้น






ขณะที่ รศ.วันชัย มีชาติ อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ หนึ่งในทีมวิจัย อธิบายถึงรูปแบบที่เป็นไปได้เพิ่มเติมว่า


“รูปแบบของการแปรรูปกิจการของรัฐ ที่น่าจะเป็นไปได้ เช่น

1.รัฐทำเต็มรูป แต่มีกิจการหลายอย่างในเรือนจำ มอบให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ เช่น ทำความสะอาด ระบบคอมพิวเตอร์ การรักษาความปลอดภัย รวมทั้งงานเฉพาะหน่วยงานที่เชี่ยวชาญ

2.ให้สัมปทานแก่เอกชนทำ โดยรัฐควบคุม จดทะเบียนอนุญาต กำหนดมาตรฐานสิ่งชี้วัด ตรวจสอบ โดยรัฐเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเสนอกับเอกชน”


"ที่สำคัญของเรือนจำเอกชน ผู้ต้องขังไม่มีสิทธิ์จะขออย่างนั้น ขออย่างนี้ได้ คือ ยื่นความจำนงไม่ได้ จะอยากอยู่เรือนจำเอกชน ไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว ความเป็นธรรม สิทธิ การถูกกระทำจะเหมือนกัน คือ ไม่มีอิสรภาพ ไม่เกี่ยวกับการมีเงินหรือไม่มีเงิน ความเป็นธรรม สิทธิ หน้าที่ จะต้องไม่แตกต่างกัน คนทั่วๆไปคงจะไม่มีใครอยากจะเข้าคุก ถึงแม้ว่ามันจะสบาย เพราะเรือนจำไม่ใช่โรงแรม 5 ดาว ไม่มีทาง ยังไงก็ไม่ใช่ ถ้ามีใครคิดว่าสบาย ก็คงแปลกอยู่ ท้ายที่สุดเมื่อเทียบมาตรฐานก็ไม่น่าจะต่างจากเรือนจำรัฐ"


"มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะเรื่องกฎหมายเจ้าพนักงาน ไหนจะกำแพงสูงกี่เมตร เหล็กประตูหนากี่ชั้น การดูแลนักโทษ 24 ชม. สิทธินักโทษเป็นอย่างไร กฎระเบียบหยุมหยิมไปหมด ดังนั้นการจะหาคำตอบรูปแบบที่เหมาะสมกับสังคมไทย อาจจะไม่มีคุกเอกชนเกิดขึ้นก็ได้" รศ.วันชัย ขยายความทิ้งท้าย.









ความคิดเห็นจากคนไทยเรื่อง“คุกเอกชน”


1. คุกหรือโรงแรม วะเนี้ย
No.1


2. เห็นควรด้วยว่าให้มีคุกเอกชน โดยกฎกติกาก็ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ บนพื้นฐานมนุษยธรรม ไม่ต้องสบาย ต้องมีความลำบาก แต่ต้องมีความปลอดภัย และต้องมีการทำงานเพื่อสร้างรายได้หรือประโยชน์เข้าประเทศชาติ.
กวง ซ่งตีง


3. ทำผิด ติดคุกแล้วสะดวกสบาย แล้วมันจะสำนึกที่มันทำผิดหรือ แล้วส่วนของเงินภาษีที่รีดไปจากผม จะต้องไปบำรุงปรนเปรอพวกมัน ผมว่าส่วนนี้เอาไปดูแลสวัสดิการคนชรา เด็กพิการ และเด็กด้อยโอกาส ในเรื่องการศึกษา น่าจะมีความจำเป็นเร่งด่วนกว่านะ

ถ้ามันล้นคุกหลวงนัก ประหารชีวิตมันไปบ้างก็ได้ เพราะไอ้พวกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นพวกทำความผิดซ้ำซาก
ไม่เห็นด้วย


4. ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการทำผิดกฎหมายมากขึ้น เนื่องจากว่าหากต้องเข้าคุกจริงๆ ก้อสามารถอยู่ได้อย่างสุขสบาย ขนาดคุกที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ไม่สุขสบายเท่าคุกเอกชน ยังมีนักโทษมากมาย และยังมีคนทำผิดกฎหมายอยู่มาก ผมว่าคนที่คิดอย่างนี้ได้ ใช้ปัญญาส่วนไหนคิดครับ อย่าคิดแต่ข้อดี ข้อเสียจะมีตามมาอีกเยอะนะครับ ได้โปรด
charnbkk@hotmail.com


5. ตอนนี้ใครทำผิดคิดว่าต้องติดคุกไทยน่ะ สยองโว้ย ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน แต่อนาคตแค่ดัดสันดาน ไม่ต้องสยองเท่าไรแล้ว คนรวยมีสิทธินะครับ คนจนมีสิทธิไหมครับ จะทำก็ทำให้เหมือนกันซิ

แหม double standard แม้กระทั่งในคุก วางแผนสำหรับตัวเองในอนาคตหรือไงจ๊ะ
ลุง


6. ฝากถึงคณะผู้ทำการศึกษาวิจัย….ถ้ามีคุกเอกชนจริง ขอให้ตัดประเด็นการว่าจ้างบริษัทรักษาความสะอาดออกไปได้เลย เพราะผู้ต้องขังต้องทำเป็นกิจวัตรประจำทุกวันอยู่แล้ว ค่าจ้าง = 0 บาท คงมีแค่ค่าอุปกรณ์ น้ำยาทำความสะอาด และค่าบริหารจัดการ

อีกเรื่องที่ควรเน้นเป็นพิเศษ คือเรื่องสุขภาพอนามัยของผู้ต้องขัง ควรจัดให้มีแพทย์พยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ ยาสามัญ อย่างเพียงพอและเหมาะสม
ฝากไว้พิจารณาด้วยครับ


7. ดีเวลาตุ๋ยกัน ทางคุกจะมีถุงยางแจก
ฟา


8. ยังงี้คนมันจะกลัวคุกมั้ยเนี่ย อยู่ในคุกควรจะให้มันลำบาก จะได้เข็ดหลาบ
Neo


9. ก้อทำไมไม่ประหารนักโทษที่ทำผิดร้ายแรงบ้างล่ะ จำนวนปริมาณจะได้ลดลงบ้าง กฎหมายจะได้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง แล้วไอ้นักโทษที่เข้าๆ ออกๆเนี้ย เอาไว้ทำไม ประหารเลย คนที่ติดคุกรอบสอง เนี้ ยแบบคดีเดิมๆ หรือว่าเงินมันมากมันถึงรอดตายได้ งั้นขอสาปแช่งให้พวกนี้มันตายวันตายพรุ่งเลย
ผู้น้อย


10. สโลแกนกรมราชทัณฑ์ ยุค นัทธี จิตสว่าง (สว่างจิต)
"คุกไม่ใช่สถานที่ที่น่ากลัวอีกต่อไป"
ไชโย


11. คิดได้ไงนะเนี๊ยะ อย่างงี้คนมีตังค์ก็ไม่ต้องกลัวที่จะติดคุกแล้วซิ เพราะว่ามันเสวยสุขในคุกหรู จริงๆแล้ว คำว่าคุกมันต้องน่ากลัว สกปรก ทรมานความรู้สึก มันจะได้เข็ดหลาบ ทุกคนก็จะกลัวที่จะทำผิด แม้ว่ามันผู้นั้นจะยากจนหรือร่ำรวย แล้วยังงี้จะมีกฎหมายเอาไว้ทำไม

จริงๆแล้วสังคมไทยมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักหรอก เทียบกับเมื่อก่อน เพราะการแบ่งชนชั้นน่ะมันยังมีอยู่น่ะ จะแนะให้นะ ไอ้พวกกลุ่มนักวิจัยน่ะ ทำไมไม่ไปลองเดินดูตามโรงพยาบาลของรัฐบ้าง ห๋า ว่ามันมีสภาพเป็นยังไง ไปดูซิ เอาสมองที่วิจัยเรื่องคุกนี้ไปแก้ไขปรับปรุงเรื่องโรงพยาบาลดีกว่า ฉลาดกว่ากันเยอะเลย
สมองสัปดน


12. ไม่ตลกไปหน่อยหรือคะ ที่จะมีคุกเอกชนเกิดขึ้นในไทย แล้วจะมีคุกไว้ทำไมละเนี่ย... สุดท้ายก็จบที่เงิน เงินซื้อทุกอย่างได้อยู่ดีแหละค่ะ ช่วยพิจารณาด้วยนะคะว่า เหมาะสมที่จะมีคุกประเภทนี้จริงๆหรือคะ .. ตกใจมากที่ผู้ใหญ่ผู้มีส่วนบริหารประเทศมีความคิดแบบนี้ค่ะ
คนเดินดิน


13. รูปที่เห็นมันเป็นคุกของอเมริกา ส่วนใหญ่ภายในมันก็อย่างนั้นทั้งนั้นที่โน่น เพราะแม้แต่คนคุก เขาก็ยังมองเห็นถึงคุณค่าของความเป็นคน ที่ต่างจากเดรัจฉาน และคุกมีไว้เพื่อสั่งสอนปรับนิสัยผู้ต้องขัง เพื่อให้ออกมาอยู่ร่วมกับสังคมได้ โดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน

ต่างจากการมองของไทย ที่ถ้ามันเลวต้องเอาให้มันได้รับโทษให้ถึงขีดสุด ไม่ต้องให้โอกาสพวกมันอีกแล้ว มันต้องทนทุกข์ทรมาน หรือตายตกไปตามกัน จากกรรมที่มันทำถึงจะสาสม ไม่บอกไม่รู้เลยนะว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ และมากกว่า 90% ของคนไทยนับถือศาสนาพุทธ แม้แต่ Feasibility study เขาก็เพิ่งจะขยับบั้นท้ายทำ แค่ออกข่าวมาว่า "จะ" เท่านั้น ก็โวยวายกันได้เสียแล้ว
Kera


14. ปัจจุบันราชการบริหารคุกแล้วมีปัญหา ทำวิจัยว่าปัญหามันอยู่ที่ไหนแล้ว ทำการแก้ไขไม่ดีกว่าหรือ ทำไมเมื่อระบบราชการมีปัญหาทีไร ต้องคิดให้เอกชนทำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีย์ ...และต่อไปก็เป็นไฟฟ้า ทำไมล่ะเอกชนเป็นผู้วิเศษอะไร ถึงทำแล้วดีกว่าราชการ ในเมื่อคนเหมือนกัน แต่มันสะท้อนว่าผู้บริหารประเทศต่างหากที่ไม่สามารถบริหารราชการให้ดีได้ ราชการ


15. เรือนจำเอกชนจะเป็นเรือนจำที่โหดเข้มงวดก็ได้ เรือนจำที่ดีก็ได้ เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง
คงได้เห็นกัน


16. อ่านข่าวแล้วรู้สึกดีจริงๆที่มีโครงการที่ดูจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมขึ้นมา ถึงจะอยู่ในขั้นทดลอง ก็ยังถือเป็นข่าวดี เพราะสภาพในปัจจุบัน คุกไทยแย่มากๆ จำนวนนักโทษแทบจะนอนก่ายกัน คดีเล็กคดีใหญ่อยู่ปนกันไปหมด อาจารย์เคยพาไปดูงานในคุกหญิง สภาพสุดๆ เวลานอนไม่มีที่ให้พลิกตัวเลย แถมยังต้องนอนชันเข่าอีก น่าสงสารมาก หากมีคุกเอกชนขึ้นมาจริงๆก็ดี เป็นการบรรเทาภาระของเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานโคตรหนัก แล้วได้ค่าแรงนิดเดียว

ความเห็นอื่นๆที่ด่าเข้ามา อ่านแล้วก็น่าสมเพช เหมือนคนอ่านหนังสือไม่แตก โพสต์เหมือนคนดูแต่รูปอย่างงั้นแหละ อ่านรึเปล่าที่ว่า งบประมาณที่รัฐจะให้เอกชนนั้น จะต้องใกล้เคียงกับที่ให้กับเรือนจำของรัฐ แปลว่ายังไง ก็คือสร้างเรือนจำติดแอร์ไม่ได้หรอก จากภาพน่ะมันเป็นคุกต่างประเทศ ที่มีค่าดูแลนักโทษต่อหัวมากกว่าประเทศไทยมากๆน่ะ

คุกไม่ใช่แค่ที่ดัดสันดาน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแค่การลงโทษ คุกยังเป็นที่อบรมคนที่หลงผิดชั่วครู่ให้ได้มีโอกาสกลับตัว คนที่เคยพลาดไป เมื่อเข้าเรือนจำก็ถือว่าชดใช้ความผิดไปแล้ว คนไทยนี่ล่ะชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บกันจริงๆ กดดันจนนักโทษที่พ้นผิดออกมาไม่มีทางออก จนต้องกลับไปทำผิดซ้ำซากอีก

มองอะไรให้ไกลหน่อย อย่าเอาอารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน มองว่าโครงการนี้จะมีประโยชน์ยังไงกับสังคมดีกว่า ถ้าไม่ดีจริงแล้วค่อยค้าน ยังจะดูเหมาะสมกว่านา
SpJp


17. ผมคิดว่าการพัฒนาคุก ควรมีการพัฒนาควบคู่ไปกับบทลงโทษทางกฎหมายของไทยไปด้วย ผมคิดว่ากฎหมายของไทยมีบทลงโทษน้อยไป

ส่วนการทำคุกเอกชนนั้น ดูยังมีช่องว่างอีกมากมาย เช่น ให้เอกชนบริหาร เกิดลูกของเจ้าของบริษัทติดคุกขึ้นมา--เขาคงได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นกระมังครับ ขนาดคุกของรัฐทำเอง ยังเน่าเฟะเลย ข้อดีและข้อเสียเมื่อมันเปรียบกัน มันคุ้มกันหรือเปล่า

แต่ผมดูคุกแบบในหนังของอเมริกัน ที่เขาแบ่งกันอยู่คนละห้อง ไม่นอนรวมกันแบบนั้น ก็ถือว่าให้เสรีภาพพอสมควรแก่คนติดคุก แบบนี้มันก็น่าจะโอแล้วนะ
กนก


18. ไม่เคยติดคุกหรอก และผมก็รู้ว่าพวกที่โพสต์มาก็ไม่เคยเหมือนกัน...ฉะนั้น หัดมองโลกในมุมที่กว้างแบบนี้หน่อย ไม่มีใครเขาอยากติดคุกหรอก
สินัท


19. การลงโทษ ต้องมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการแก้ไข ให้เค้าติดคุกที่เค้าจ่ายเงินมันจะแก้ไขตรงไหน อีกอย่าง คุกเอกชนหมายความว่า ระบบราชการแต่ให้เอกชนประมูลไปบริหารแบบลดต้นทุนต่างหาก ไม่ใช่ให้เอกชนทำโรงแรม
ความมุ่งหมายการลงโทษ









20. ขอชื่นชมในความคิดริเริ่มครับ การให้โอกาสคนกลับตัว ไม่มีความคับแค้นใจ สังคมจะได้คนดีที่พร้อมจะกลับตัวมาอยู่ร่วมกัน ไม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกใหม่นานนัก สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การลดรายจ่ายที่รัฐต้องอุดหนุนในปัจจุบันที่พอบ้างไม่พอบ้าง ให้กับผู้ต้องขัง สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ในการดูแลเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกตามหลักสากล ถ้าไม่มีการพัฒนา ประเทศไทยอาจได้รับการดูถูกจากสังคมประเทศที่เจริญแล้ว
ให้กำลังใจในการทำงานครับ


21. ในความคิดของฉันนะ การลงโทษประชาชนเป็นอำนาจเฉพาะของรัฐเท่านั้น การที่ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว กรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจึงต้องมีหน้าที่นำประชาชนมาลงโทษ ตามคำพิพากษาของศาล หากมีคุกเอกชนขึ้นมา จะไม่เป็นการยอมให้เอกชนมีอำนาจลงโทษประชาชนของรัฐหรือ รวมทั้งบริษัทเอกชนก็ยังไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ อำนาจการควบคุมดูแล การบังคับบัญชา การสั่งการที่หน่วยราชการจะต้องควบคุมผู้ที่เข้ามาบริหารงานคุก ก็จะมีปัญหา ในการตรวจสอบบุคคลากรที่เข้ามาปฏิบัติงานในคุก และยังมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆตามมาอีกมากมาย ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับความคิดในเรื่องคุกเอกชน
ps


22. ถ้าให้ได้เห็นของจริง รายที่โพสต์ค้านความคิด หากมีรายการนำชมสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดในคุกปัจจุบัน ขอเรียนเชิญให้ไปเข้าร่วมชมด้วยนะครับ จะดียิ่งขึ้น ถ้าให้โอกาสพักค้างคืนสักคืนในที่คุมขัง จะได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากของผู้ต้องขังมากขึ้นครับ
เรียนเชิญนักค้าน ด้วยความยินดีครับ


23. คืองี้ครับ เค้าเอาไว้ขังประเภทพวกผู้หญิงตั้งท้อง ความผิดที่ไม่เข้าข่ายอุกฉกรรจ์
-*-


24. การนำหลักคุกเอกชนมาใช้เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี ว่าใครจะลงทุน เพราะ

1. ถ้าให้เอกชนมาลงทุนทำเองทั้งหมด เอกชนจะต้องบริหารโดยคิดถึงกำไร ย่อมต้องมีการแข่งขัน และนำมาซึ่งการให้บริการลูกค้า ซึ่งในที่สุดจะผิดเจตนารมณ์ของการลงโทษ

2. ถ้ารัฐลงทุนเอง จะผิดกับวัตถุประสงค์เดิมที่ต้องการ ลดกำลังคน และภาระของภาครัฐ

3. ควรใช้กับนักโทษประเภทไหน ต้องมีเกณฑ์มาตรฐาน เช่น โทษสถานเบา นักโทษชั้นดี

ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าจะมีความสะดวกมากขึ้น จะต้องไม่หรูหรา ไปกว่ามาตรฐานของสังคมภายนอกเด็ดขาด เพราะจะผิดเป้าประสงค์ของการลงโทษ และจะเหลื่อมล้ำกับสังคมชนชั้นล่าง เช่น คนใต้สะพาน คนไร้บ้าน คนจรจัด
-*-


25. เมืองไทย ยังงั๊ย ก็ไม่พร้อมกับคุกเอกชน จริยธรรมและจรรยาชีพของคน ยังต่ำเกินไป
ไม่บอก


26. สมควรกลับไปคิดว่า ทำอย่างไรให้อาชญากรรม ยาเสพติดลดลงดีกว่า นักโทษจะได้ลดลง ถ้าคนดีสังคมดี ไม่ต้องมีนักโทษ ไม่ต้องมีคุก
KIKI


27. พวกที่ไม่เคยติดคุกแล้วชอบโวยวาย ลองถามผู้คุมเขาดูซิ อย่างน้อยพวกนี้เขาอยู่คุกมาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้วทั้งนั้น อยากเข้าไปดูความเป็นอยู่ในคุก ก็ทำเรื่องขออนุญาตซี๊ เถียงกันอยู่ได้ ออกมาแล้วค่อยมาโพสต์ว่ามันเป็นอย่างไร นี่ตาบอดคลำช้างกันแท้ๆ
ผู้คุมคุกตัวจริง










โดย yyswim




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2549 12:27:17 น.
Counter : 3230 Pageviews.  

กิจกรรมหลังความตาย



กิจกรรมหลังความตาย






กรณีที่มีผู้เสียชีวิตในบ้าน : หากเสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน อาทิ โรคลม โรคชรา เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง


สำหรับในกรณีเสียชีวิตด้วยสาเหตุ 5 ประการ ได้แก่ การฆ่าตัวตาย, การถูกคนทำให้ตาย, อุบัติเหตุ, สัตว์ทำให้ตาย, และ การตายโดยไม่ทราบสาเหตุ


การเสียชีวิตในลักษณะดังกล่าว จะต้องแจ้งตำรวจท้องที่ให้รับทราบ เพื่อส่งศพไปผ่าพิสูจน์ ณ สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ หรือโรงพยาบาลของรัฐ


เมื่อสถาบันนิติเวชออกหนังสือรับรองสาเหตุของการตายแล้ว เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง


กรณีที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาล : เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหรือญาติผู้ตาย จะแจ้งต่อนายทะเบียนเทศบาลหากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในเขตเทศบาล สำหรับกรณีอยู่นอกเขตเทศบาลให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอ ภายใน 24 ชั่วโมง


สวดศพวัดไหน?

การตัดสินใจเคลื่อนย้ายศพไปตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดใด จึงจะเหมาะสม ประเด็นหลักสำคัญ ที่ญาติผู้เสียชีวิตมักพิจารณา ได้แก่


1. วัดหลวง สำหรับผู้ที่ประกอบคุณงามความดี เมื่อสิ้นชีวิตลงและหากได้รับ "พระราชทานเพลิงศพ" ญาติมิตรของผู้เสียชีวิตมักจะเคลื่อนย้ายศพผู้ตายไปประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดหลวงเป็นส่วนใหญ่


2. วัดใกล้บ้าน เป็นวัดทั่วๆ ไป การเลือกวัดที่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย จะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางของเจ้าภาพได้ ทำให้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก


3. วัดในสังกัด ผู้เสียชีวิตบางราย รับราชการเป็นตำรวจหรือทหาร เมื่อสิ้นชีวิตลง ญาติๆก็จะนำศพไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดในสังกัด เช่น ฌาปนกิจสถานของตำรวจอยู่ที่วัดตรีทศเทพฯ ย่านวิสุทธิกษัตริย์


ค่าใช้จ่ายเท่าไร ?

จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ประจำวัดขนาดใหญ่และขนาดกลางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สรุปค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีศพในวัด ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม และค่าบำรุงในการเผาศพ มีรายละเอียดดังนี้ ...

1. ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม : วัดขนาดเล็กทั่วไปมักจะกำหนด อัตราค่าศาลา 500 บาท/คืน ส่วนวัดขนาดใหญ่มักจะเรียกเก็บค่าบำรุงเพิ่มขึ้นเท่าตัวคือ 1,000 บาท/คืน และค่าบำรุงจะสูงถึง 2,500 บาท/คืน สำหรับศาลาที่ติดเครื่องปรับอากาศ


2. ค่าบำรุงในการเผาศพ ในขั้นตอนการเผาศพ มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนี้

• ค่าเมรุ : ส่วนใหญ่จะเก็บค่าบำรุงประมาณ 500 - 1,000 บาท

• ค่าเผาศพ : การเผาแบบเตาถ่านทางวัดจะเรียกค่าบำรุงจากเจ้าภาพประมาณ 250 - 300 บาท ส่วนการเผาด้วยน้ำมันจะมีราคาแพงกว่า คือ 500 - 1,000 บาท

• ค่าบริการ : สัปเหร่อวัดมักจะได้รับจากเจ้าภาพ คิดเฉลี่ยวันละ 50 บาท ส่วนในวันเผา ผู้ที่ทำหน้าที่ในการเผาศพ จะมีรายได้ประมาณ 300 บาท

• ค่าธรณีสงฆ์ : วัดส่วนใหญ่จะมีบริการ "โกดังเก็บศพ" ภายในบริเวณวัด โดยเสียค่าบำรุงวัด 500 - 1,000 บาท




นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับวัดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ แยกพิจารณาออกเป็น 4 รายการ หลัก ๆ คือ

1. ค่าโลงศพ : ราคาค่าโลงศพจะแตกต่างกันออกไป โดยมีราคาต่ำสุดประมาณ 3,000 บาท และสูงสุดถึง 200,000 บาท

2. ค่าดอกไม้ประดับหีบศพและเมรุ : ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันตามประเภทของดอกไม้ ซึ่งมีราคาประมาณ 1,500 - 5,000 บาท

3. ค่าอาหาร : ค่าใช้จ่ายมักจะตกอยู่ในวงเงินประมาณ 1,000 - 3,000บาทต่อคืน

4. ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด : ได้แก่ ค่าสายสิญจน์ ผ้าขาว ค่าปัจจัยถวายพระในแต่ละคืนที่สวดอภิธรรม ค่าดอกไม้จันทน์ รวมทั้งค่าของระลึกในงานเผาศพ รวมเบ็ดเสร็จเฉลี่ยประมาณ 1,000 - 5,000 บาท


โดยสรุป ค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพ 1 ราย ในวัดไทย (สวดพระอภิธรรมและเผาศพ) มีประมาณค่าใช้จ่ายในอัตรา ดังนี้

* การตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 12,000 - 15,000 บาท


* การตั้งสวดพระอภิธรรม 5 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 16,000 - 20,000 บาท


* การตั้งสวดพระอภิธรรม 7 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป




สัปเหร่อ

สัปเหร่อในอดีต มักจะตั้งมั่นอยู่ในศีล ยึดถือธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต โดยเชื่อกันว่าสัปเหร่อมักมี "คาถา" พิเศษสำหรับป้องกันตัว หรือสยบวิญญาณร้าย


สำหรับด้านรายได้ของสัปเหร่อนั้น สัปเหร่อวัดเล็กๆ จะมีรายได้ประมาณ 1,500 -3,000 บาทต่อเดือน แตกต่างจากสัปเหร่อวัดกลางกรุงที่มีรายได้ค่อนข้างดี เช่น วัดขนาดใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ ย่านหัวลำโพง หากมีญาติผู้ตายตั้งสวดพระอภิธรรมเป็นระยะเวลา 2 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ถึง 1,200 บาท/งาน และถ้าตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ 1,500 บาท/งาน ถ้าเดือนไหนงานชุก สัปเหร่อตามวัดขนาดใหญ่ในกรุง อาจมีรายได้ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน


หน้าที่ของสัปเหร่อนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเคลื่อนย้ายศพเข้าไปในบริเวณวัด จนกระทั่งส่งศพขึ้นบนเตาเผา เผา และเก็บกระดูกและเถ้า ซึ่งเป็นงานบริการที่ค่อนข้างหนักและเหนื่อย.





โดย yyswim




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 22:33:21 น.
Counter : 4865 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.