อังเดร อากัสซี่
อังเดร อากัสซี่ (บล๊อกเรื่องนี้ เขียนมอบให้กับ คุณ ซีPLUS) การแข่งขันเทนนิสยูเอส โอเพ่น อันเป็น แกรนด์สแลม รายการสุดท้าย ของปีนี้ ชิงเงินรางวัลรวม 18,585,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7,434 ล้านบาท) จะเริ่มต้นขึ้นในวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม - วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2549 ณ บิลลี่ จีน คิง เนชั่นแนล เทนนิส เซนเตอร์ ใน ฟลัชชิ่ง เมโดว์ส เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ความพิเศษสุดของ ยูเอส โอเพ่น ในปีนี้ที่แฟนเทนนิสทั่วโลกต่างจ้องมองด้วยความสนใจ ก็คือ "โรเจอร์ เฟเดอเรอร์" นักหวดหนุ่มมือ 1 ของโลกชาวสวิส แชมป์เก่าเทนนิสยูเอส โอเพ่นปีที่แล้ว อาจต้องมาพบกับ "ราฟาเอล นาดาล" มือ 2 ของโลกจากสเปน ในรอบชิงอีกครั้ง และจะเป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของ "อังเดร อากัสซี่" ยอดนักเทนนิสผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะถือเป็นการอำลาคอร์ตเทนนิสอย่างเป็นทางการ หลังจากทุ่มเทให้กับเทนนิสมานานกว่า 20 ปี จนมีปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังที่กล้ามเนื้อหลัง อากัสซี่ เทิร์นโปรมาตั้งแต่วัยเพียง 16 ปีเมื่อปี 1986 เขาใช้เวลาเพียงปีเดียวก็หยิบแชมป์ชายเดี่ยวมาครองได้สำเร็จ และต่อมาในปี 1988 เขาก็คว้าแชมป์ได้ถึง 5 รายการ ในปลายปีนั้นเองเขาก็ทำเงินรางวัลสะสมไปแล้วกว่า 2 ล้านดอลลาร์ หลังจากลงเล่นทั้งหมด 43 รายการ ซึ่งไม่เคยมีนักเทนนิสคนใดเคยทำได้มาก่อน ขณะนี้ด้วยวัย 36 ปี อากัสซี่ ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย ได้แชมป์แกรนด์สแลม มาแล้วถึง 8 รายการ จำแนกเป็นออสเตรเลียน โอเพ่น 4 สมัย ( Australian : Winner 1995, 2000, 2001, 2003. Semifinal 1996, 2004.)เฟรนช์ โอเพ่น 1 สมัย (French : Winner 1999. Runner-up 1990, 1991. Semifinal 1988, 1992.)วิมเบิลดัน 1 สมัย (Wimbledon : Winner 1992. Runner-up 1999. Semifinal 1995, 2000, 2001.)ยูเอส โอเพ่น 2 สมัย (U.S : Winner 1994, 1999. Runner-up 1990, 1995, 2002, 2005. Semifinal 1988, 1989, 1996, 2003.) กวาดเงินรางวัลไปแล้วทั้งสิ้น 31,110,975 ดอลลาร์(ประมาณ 1,151 ล้านบาท ) เมื่อปี 1992 อากัสซี่ สร้างความประหลาดใจเมื่อเขาคว้าแชมป์ วิมเบิลดัน เป็นสมัยแรกในวัย 22 ปี โดยเขาเอาชนะได้ทั้ง จอห์น แม็กเอนโร และ บอริส เบ๊กเกอร์ ในยุคนั้นเขาเป็นนักเทนนิสที่เปี่ยมไปด้วยสีสันอย่างที่สุด ด้วยวัยหนุ่มที่มีภาพพจน์ของ "ขบถ" อย่างเต็มตัว ผมยาวประบ่าเหมือนร็อกสตาร์ สวมเสื้อลงแข่งที่มีมีลวดลาย และสวมกางเกงบลูยีนส์ เขาจึงเป็นที่มาของฉายา "ไอ้หนุ่มบลูยีนส์" เมื่อปี 1999 การคว้าแชมป์เฟรนช์ โอเพ่น ของเขาที่กรุงปารีส ส่งผลให้เขาเป็นนักเทนนิสชายคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลม ครบทั้ง 4 รายการ และหลังจากที่เขามีครอบครัวที่งดงามกับ "สเตฟฟี่ กราฟ" และเป็น "หนุ่มใหญ่" เต็มตัว " เขาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองทั้งหมด ด้วยการโกนผม ชุดที่แข่งขันทุกครั้งจะเป็นสีเรียบๆ ไม่ฟู่ฟ่าเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีกเลย "มีคนถามผมว่า ผมจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้ ที่ผมบอกได้ก็คือ อยากจะทำ อย่างอื่น ที่แตกต่างไปจากการเล่นเทนนิสดูบ้าง" อากัสซี่ เผยความในใจกับผู้สื่อข่าว "อย่างอื่น" ที่ว่า สายสืบสืบมาได้ว่า คือ การร่วมมือกับ "ไมเคิล มิน่า" เจ้าของรางวัล "เชฟ ออฟ เดอะ เยียร์ 2005" เพื่อเปิดภัตตาคารสักแห่งหรือสองแห่ง และจะผลิตเฟอร์นิเจอร์ภายใต้แบรนด์ "อากัสซี่-กราฟ" ขึ้นมา
. ผลการแข่งขันยูเอส โอเพ่น ประจำปี 2006 อากัสซี่ ผ่านรอบแรกชายเดี่ยวไปได้ หลังพลิกกลับมาเอาชนะ อังเดร พาเวล จากโรมาเนีย 3-1 โดยเซ็ตแรกเขาเป็นฝ่ายแพ้ก่อน และกลับมาเอาชนะได้ในสามเซ็ตหลัง ด้วยคะแนน 6-7 (4-7), 7-6 (10-8), 7-6 (8-6), และ 6-2 ศึกเทนนิส แกรนด์สแลม ยูเอส โอเพ่น ที่สนาม บิลลี่ จีน คิง เนชั่นแนล เทนนิส เซ็นเตอร์ นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการแข่งขันรอบแรก คู่ที่ได้รับความสนใจจากแฟนๆ ชาวอเมริกันมากที่สุด ก็คือการดวลแร็กเก็ตระหว่าง อังเดร อากัสซี่ วัย 36 ปี กับ อังเดร พาเวล นักเทนนิสหน้าหล่อฝีมือดี จากดินแดนผีดิบ โรมาเนีย โดยเริ่มต้นด้วยการที่ อากัสซี่ พ่ายไทเบรกในเซ็ตแรกให้แก่ พาเวล 6-7 (4-7) แต่ในเซตที่สอง ก็สามารถแก้ตัวด้วยการเอาชนะไทเบรกคืนมา 7-6 (10-8) เมื่อมาถึงเซตที่สาม แฟนๆก็รู้สึกหวั่นใจเมื่อ อากัสซี่ พลาดท่าตามหลังห่างถึง 0-4 เกม แต่สุดท้าย อาศัยด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่าจึงพลิกกลับมาเล่นถึงไทเบรก และกลับมาชนะสำเร็จในเซ็ตที่สาม 7-6 (8-6) ก่อนจะปิดแมตช์ในเซตที่ 4 ลงได้ 6-2 ใช้เวลาแข่งขันไปทั้งสิ้น 3 ชั่วโมงครึ่ง ภายหลังการแข่งขัน อากัสซี่ เผยความความรู้สึกกับสื่อว่า ผมมาที่นี่เพื่อเล่นให้ได้ 6 แมตช์หรือมากกว่านั้น ผมต้องการมาโชว์ความสามารถให้ได้มากที่สุด แม้จะรู้สึกกดดันอยู่บ้าง แต่ผมก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน ที่สำคัญ ผมรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีที่ได้มาในวันดีๆเช่นนี้ สำหรับการแข่งขันในวันนี้ ผมผ่านสามเซตแรกมาได้ ต้องถือว่าเป็นโชคดีทีเดียว ผมรู้สึกยอดเยี่ยมจริงๆ หลังชัยชนะแมตช์นี้ อากัสซี่ จะไปพบกับ มาร์กอส แบ็กดาติส มือ 8 ของรายการ จากไซปรัส ในวันพฤหัสบดี 31 สิงหาคม ตามวัน-เวลาท้องถิ่น หลังจากที่ แบ็กดาติส สามารถเอาชนะ อเล็กซานเดอร์ วาสเก้ จากเยอรมนี มาได้ 3-0 เซต 7-6 (7-1), 7-6 (9-7), และ 6-3อังเดร อากัสซี่ โปรไฟล์ Andre Kirk Agassi (USA) Birthdate: 29-Apr-70 (36 ปีที่แล้ว) Birthplace: Las Vegas, Nevada, USA Residence: Las Vegas, Nevada, USA อากัสซี่สมัยเป็นเด็ก(พ่อ, อากัสซี่, แม่, และพี่ชาย) Height: 180 cm. Weight: 77 kg. Plays: Right-handed (ถนัดขวา)Racquet: Head Flexpoint Radical Shoes: Adidas ClimCool Feather II Clothing: Adidas Turned Pro: 1986 (วัยเพียง 16 ปี)Highest Career Ranking: #1 Coach: Darren Cahill (โค๊ชคนปัจจุบัน) อากัสซี่ เข้าสู่วงการลูกสักหลาดอาชีพครั้งแรกในปี 1986 ตอนนั้นเขามีวัยเพียงแค่ 16 ปี และด้วยความหนุ่มคะนองบวกกับความเฮี้ยวของอากัสซี่ ทำให้ตัวเขากลายเป็นขวัญใจของแฟนเทนนิสสาวๆ เกือบทั่วสหรัฐฯ ไม่เว้นแม้แต่ดาราภาพยนตร์ อย่าง บาร์บาร่า สไตรแซนด์ ความร้อนแรงของอากัสซี่ กู่ ไม่กลับเมื่อเขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลม ครั้งแรกในชีวิตมาครอง ได้สำเร็จ จากรายการ วิมเบิลดัน ในปี 1992 เป็นชัยชนะเหนือคู่แข่งอย่าง จอห์น แม็กเอนโร และ บอริส เบ๊กเกอร์ จอห์น แม็กเอนโร, อังเดร อากัสซี่, พีท แซมพราส, และ จิม คูเรียร์ ในทีมเดวิสคัพ ปี 1992 แต่แล้ว อากัสซี่ ก็ประกาศแยกทางกับโค้ชของเขาเอง นิค บอเรตเทียรี่ และเขาก็ได้โค้ชคนใหม่ คือ แบรด กิลเบิร์ท ผู้ที่มีส่วนช่วย อากัสซี่ คว้าแชมป์แกรนด์สแลม 6 รายการ และรวมไปถึงคว้าเหรียญทองโอลิมปิก ที่เมืองแอตแลนตา สหรัฐอเมริกาด้วยอากัสซี่ ได้พบรักกับ บรู๊ค ชิลด์ส ดาราภาพยนตร์สาวชื่อดังของฮอลลีวู้ด ทั้งคู่เริ่มควงกันครั้งแรกในเดือนเมษายน ปี1993 ก่อนที่จะลงเอยด้วยการเข้าสู่พิธีวิวาห์ในปี 1995 ในช่วงเวลานั้นเส้นทางรักของ อากัสซี่ ดูเหมือนจะหวานชื่น แต่ผลงานในคอร์ตเทนนิสกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เวลาผ่านไปเจ้าหนุ่มบลูยีนส์จอมเฮี้ยว อากัสซี่ เริ่มรู้ซึ้งถึงปัญหานี้ และในที่สุดในเดือนเมษายน ปี 1997 หลังใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันมาสองปี บรู๊ค ชีลด์ส และ อากัสซี่ ก็แยกทางกัน ด้วยเหตุผลที่ อากัสซี่ กล่าวปรารภว่า "ความรักเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้ชีวิตแต่งงานไปรอดได้" หลังจากเลิกรากับบรู๊ค ชิลด์ส เส้นทางนักเทนนิสอาชีพของ อากัสซี่ ก็กลับเรืองรองขึ้นมาใหม่ ในปี 1999 อากัสซี่ คว้าแชมป์ แกรนด์สแลม รายการเฟรนช์ โอเพ่น ทำให้เขากลายเป็นนักเทนนิส รายถัดจาก ร็อด เลเวอร์ นักเทนนิสชื่อดังในยุค 60 ที่เป็นผู้คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทั้ง 4 รายการ ซึ่งในโลกนี้มีเพียง 5 คน Agassi is one of five men in the history of the sport to win all four Grand Slam tournaments in their careers - joining Rod Laver, Don Budge, Roy Emerson and Fred Perry. พร้อมกันนี้ อากัสซี่ ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ใหม่นอกสนามกับนักเทนนิสสาวชาวเยอรมัน "สเตฟฟี่ กราฟ" ที่ผลพวงงอกเงยขึ้น คือ ผลงานในคอร์ตของ อากัสซี่ ดีขึ้นเป็นลำดับ สุดท้ายสองคนก็แต่งงานกัน ตลอดระยะเวลาที่ อากัสซี่ ครองชีวิตคู่ร่วมกับ "กราฟ" อากัสซี่ ดูจะกลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ใช้อารมณ์ในการแข่งขันน้อยลง และมีความมุ่งมั่นเพื่อเอาชัยชนะเข้ามาแทนที่ ผู้คนในแวดวงลูกสักหลาดต่างพากันเม้าธ์อย่างสนุกปากว่า โฟร์แฮนด์ ของ อากัสซี่ ที่ดีวันดีคืนขึ้นนั้น เป็นเพราะได้ฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำกับ กราฟ อดีตนักเทนนิสหญิงหมายเลขหนึ่งของโลกนั่นเอง ทั้งนี้ไม่ว่า กราฟ จะเป็นคู่ซ้อมให้อากัสซี่ จริงตามข่าวที่เม้าธ์หรือไม่ แต่ชีวิตครองรักใหม่ของอากัสซี่ ดูจะเป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้ นักเทนนิสวัย 36 ปี เดินหน้าเพื่อล่าตำแหน่งเป็นมืออันดับต้นๆของโลกต่อไป เพอร์รี่ โรเจอร์ ผู้จัดการส่วนตัวของอากัสซี่ กล่าวถึงความสำคัญของครอบครัวที่มีต่อผลงานในสนามของ อากัสซี่ ว่า ที่ผ่านมา อากัสซี่ พยายามจะหาความลงตัวระหว่างชีวิตครอบครัว กับการแข่งขันในสนาม และดูเหมือนว่ากราฟฟี่ คือผู้ที่ทำให้ทั้งสองเรื่องของ อากัสซี่ ลงตัวได้อย่างสวยงาม ปัจจุบันอากัสซี่ และกราฟ ใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกันมาได้ 5 ปีแล้ว หลังจากที่เข้าพิธีวิวาห์ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2001 หลังจากนั้นสี่วัน กราฟก็ให้กำเนิดบุตรชาย ยาเดน กิล และในเดือนตุลาคมปี 2003 สองสามีภรรยา ก็ได้ลูกคนที่สองเป็นบุตรสาว มีชื่อว่า ยาซ แอล อากัสซี่ คงจะรัก กราฟ มาก ลองฟังถ้อยคำที่เขาแอบหยอดให้ภรรยาสุดที่รักก่อนที่จะลงแข่งขันรายการ เฟรนช์ โอเพ่น เป็นเรื่องยากที่จะเล่นเทนนิสกับภรรยาของตัวเอง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบังคับสายตาให้จับจ้องมองอยู่ที่ลูก ใจอยากจะมองแต่หน้าเมียรักเท่านั้น" เส้นทางชีวิตนักเทนนิสอาชีพกว่า 20 ปีของอากัสซี่ จนถึงวันนี้ เรียกได้ว่าเดินผ่านจุดอิ่มตัวมาไกล เพราะนอกจากจะคว้าถ้วยแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทั้ง 4 ใบ อากัสซี่ ยังสะสมถ้วยเอทีพีได้ครบถึง 60 รายการ ล่าสุดเขาเพิ่งจะโชว์ฟอร์มคว้าแชมป์ รายการเมอร์เซเดส เบนซ์ คัพไปได้อีก สถิติที่แปลกอย่างหนึ่งของเขาก็คือ เขาไม่ผิดอะไรกับ "รถไฟเหาะตีลังกา" เพราะชีวิตของเขาขึ้นลงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างที่สุด
จาก "เจ้าหนุ่มบลูยีนส์" ผมยาวสุดแซบซ่าและรักการออกงานสังคม กลายเป็น"แฟมิลี่แมน" ที่รักศรีภรรยาเป็นที่สุด...จากมือ 1 ของโลก ตกสู่ มืออันดับ 141 ของโลก แล้วกลับขึ้นสู่จุดสูงสุด มือ 1 ของโลก อีกครั้ง...จาก มือรองที่ผูกปีแพ้แซมพราส ในรอบชิงแกรนด์สแลม 4 หนแรก กลายเป็นนักเทนนิสชายคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้ครบทั้ง 4 พื้นผิว (ซึ่งแม้แต่แซมพราสก็ยังทำไม่ได้) และเขายังเป็น มือ 1 ของโลกผู้ที่มีอายุมากที่สุด นับตั้งแต่มีการจัดอันดับเป็นต้นมาด้วย(ขณะมีอายุ 33 ปี) ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่า ไฟในตัวของนักเทนนิสลูกครึ่งอิหร่าน จากรัฐเท็กซัสยังคงลุกโชน ดังเช่นช่วงวันแรกๆที่เขาเทิร์นโปรเมื่ออายุ16 ปี เหตุผลที่ อากัสซี่ สามารถยืนหยัดเป็นยอดในวงการโลกเทนนิสมาได้นานขนาดนี้ นอกจากจะเป็นเพราะฝีมือและการฝึกซ้อมอย่างหนักของเขาแล้ว ครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง แม่บ้านที่ดีอย่าง กราฟ รวมทั้งลูกๆที่แสนน่ารัก ได้ทำหน้าที่เป็นลมใต้ปีกผลักดันจน อังเดร อากัสซี่ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกเทนนิสยืนยงนานหลายปี. โดย yyswim
Create Date : 17 สิงหาคม 2549
Last Update : 1 กันยายน 2549 11:18:51 น.
Counter : 13654 Pageviews.
เรื่องคุก
เรื่องคุก เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2549 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไป ณ เรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อทรงเปิด "ห้องสมุดพร้อมปัญญา" ณ เรือนจำกลางคลองเปรม และ "ห้องสมุดพร้อมปัญญา" ณ ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยมี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตลอดจนคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม และข้าราชการกรมราชทัณฑ์ เฝ้าฯรอรับเสด็จ จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงาน กิจกรรมศูนย์ซ่อมบริการเฉพาะกิจ กิจกรรมมุม มสธ. การแสดงผลงานภาพวาด โดยฝีมือผู้ต้องขังที่ผ่านโครงการ Art For All ตามพระราชดำริ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจกรรมค่ายศิลปะ และห้องเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับเรือนจำกลางคลองเปรม ทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 ซึ่งเป็นมงคลสมัยที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 48 พรรษา กรมราชทัณฑ์ได้ถือเป็นปีเริ่มต้น ของการพัฒนาห้องสมุดในเรือนจำต่างๆ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ที่เพียบพร้อม มีประสิทธิภาพ สามารถให้บริการกับกลุ่มเป้าหมายได้ตามบทบาท สำหรับ "ห้องสุมดพร้อมปัญญา" นี้ ทางกรมราชทัณฑ์ ได้ประสานความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน และสำนักพิมพ์ "มติชน" ร่วมกันจัดทำโครงการปรับปรุง ห้องสมุดเรือนจำ ในทัณฑสถาน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งได้ตั้งเป้าหมาย จัดทำโครงการปรับปรุง ห้องสมุดเรือนจำ ในทัณฑสถานให้ครอบคลุมจำนวน 136 แห่ง(หมายเหตุเจ้าของบล๊อก : พระเทพฯ ทรง ดี กับคนไทยทั่วหล้า แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนคุก
ขอพระองค์ ทรงพระเจริญพระเจ้าข้า) ยอดบริจาคหนังสือ โครงการห้องสมุดพร้อมปัญญา ณ กรมราชทัณฑ์ ประเภทหนังสือ จำนวน(เล่ม) มูลค่า(จากราคาปก) ไม่ระบุ 914 215,589 พระราชนิพนธ์ / พระนิพนธ์ 1,155 37,218 วิชาชีพ 778 4,295 ศาสนา / ศีลธรรม / จรรยา 21,295 732,781 บันเทิงคดี 15,592 1,638,530 วิชาการทั่วไป 11,138 1,025,971 กฎหมาย / กระบวนการยุติธรรม 4,126 5,470 นิตยสาร 2,558 9,135 สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 390 8,708 ยอดรวมหนังสือบริจาค 57,946 3,677,697
โครงการ Art For All โครงการ Art For All เกิดขึ้นโดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริรับสั่ง ตั้งแต่เมื่อคราวเสด็จทรงเปิดห้องสมุดพร้อมปัญญา เรือนจำจังหวัดน่าน วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เกี่ยวกับควรนำศิลปะมาช่วยขัดเกลาจิตใจให้มีความอ่อนโยน ตลอดจนช่วยสร้างสมาธิ และมีความสงบในการใช้ชีวิต กรมราชทัณฑ์ได้สนองแนวพระราชดำริ โดยร่วมกับมูลนิธิ Art For All และบริษัทโตชิบาไทยแลนด์ จำกัด ดำเนินการโครงการ Art For All : ประตูสู่จิตนาการ กิจกรรมห้องเรียนศิลปะ รุ่นที่ 1 โดยได้คัดเลือกผู้ต้องขังกำหนดโทษตลอดชีวิตและประหารชีวิต ประเภทคดีความผิดต่อชีวิต จำนวน 10 คน และประเภทคดีความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติด จำนวน 10 คน ของเรือนจำกลางบางขวาง รวมจำนวน 20 คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกตามขั้นตอน ได้แก่ การคัดเลือกจากผลงานภาพวาด การสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล การทดสอบสภาวะทางจิตด้วยแบบทดสอบทางจิตวิทยาคลินิก โดยนักจิตวิทยาของกรมราชทัณฑ์ เข้าศึกษาศิลปะโดยจัดการเรียนการสอนในลักษณะห้องเรียนศิลปะ ประเภทการเขียนสีน้ำ สีน้ำมัน สีอะคริลิก จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ศิลปินอิสระ และคณาจารย์ จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีกำหนดระยะการอบรม ขั้นต้นนำร่อง 3 เดือน ซึ่งมีพิธีเปิดและเริ่มต้นการอบรมเมื่อวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2549 เวลา 09.30 นาฬิกา ณ เรือนจำกลางบางขวาง แดน 8 (หมายเหตุของเจ้าของบล๊อก : โอ๊ะ โอ๋ นี่เหรอ หน้าตาผู้กระทำผิดถูกลงโทษตลอดชีวิตและประหารชีวิต)"คุกเอกชน" คุก สถานที่กักกันเสรีภาพของผู้กระทำผิดที่ได้รับการพิพากษาจนถึงที่สุดแล้ว ใครได้เข้าไปอยู่ คงจะไม่มีใครกระโดดโลดเต้นดีใจเป็นแน่ เพราะภายใน ผู้ที่เข้าไปอยู่ จะขาดทั้งอิสรภาพในการอยู่ การกิน การเที่ยว การเสพย์สิ่งบันเทิง และแม้กระทั่งการแต่งกาย ยิ่งในปัจจุบัน ที่มีข่าวปัญหาคนล้นคุกด้วยแล้ว ประเภทที่แออัดกันนอน หากใครลุกออกไปห้องน้ำกลางดึก กลับมาอีกทีแทบจะนั่งร้องไห้ ยังกะมีคนแกล้ง เพราะไม่มีที่จะให้เบียดนอนอีกสักคนได้ เพราะมีนักโทษมากมาย ประมาณ 161,844 คน จากจำนวนคุกที่มีอยู่ทั้งหมดเพียง 152 แห่ง แต่ข่าวดีครับ "คุกกำลังจะเปลี่ยนไป" เมื่อกรมราชทัณฑ์มีแนวความคิดที่จะจัดสร้าง "คุกเอกชน" ขึ้น เพื่อถ่ายโอนภารกิจและภาระหน้าที่ในการดูแลนักโทษจากภาครัฐ ไปสู่ภาคเอกชนดูแล พูดง่ายๆก็คือจะจ้างบริษัทเอกชนทำงานคุก ในบางอย่าง แทนภาครัฐ เหมือนดังเช่นงานอื่นที่ภาครัฐได้จ้างเอกชนไปทำ ทันทีที่ข่าวปรากฏออกมาตามสื่อต่างๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังอึงมี่ขึ้นมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยลงความเห็นในทันทีว่า คุกเอกชนจะเป็นที่คุมขังคนรวย จะมีการให้อภิสิทธิ์กับคนมีเงิน จะเป็นที่หลบพักภัยร้ายของคนบางคนซึ่งจะได้พักอย่างโรงแรม 5 ดาวมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม เมื่อฟอกตัวระยะหนึ่งแล้ว ก็จะออกมาทำความชั่วใหม่ได้อีก แท้จริงแล้ว "คุกเอกชน" จะมีความผิดเพี้ยนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ นัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ คุณนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกเล่าแนวความคิดเรื่องเรือนจำเอกชนว่า เรือนจำเอกชนไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะความจริงพูดกันมานาน 10 กว่าปีแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม กรมราชทัณฑ์ ได้มีการว่าจ้างทำ โครงการศึกษาวิจัย (ที่ไม่ยอมทำการศึกษาวิจัยเอง เพราะต้องการจะได้ผลงานศึกษาวิจัยที่ครอบคลุมข้อมูล และไม่เกิดความลำเอียง)โดยว่าจ้างสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ศึกษาวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ สถาปนิก นักอาชญวิทยา นักบริหารรัฐกิจ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้อย่างเปิดกว้างว่า ควรจะมีเรือนจำเอกชนได้หรือไม่ ถ้ามีได้ ควรจะเป็นในรูปแบบใด ซึ่งขณะนี้ก็ยังมิได้มีการตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะให้มีหรือดำเนินการสร้างแต่ประการใด ดังนั้นใน ปีพ.ศ. 2551 กรมราชทัณฑ์อาจจะยังไม่มีเรือนจำเอกชนเกิดขึ้นเลยก็เป็นได้คุกในอเมริกา ทั้งนี้ จุดหนึ่งของแนวความคิดของการสร้างเรือนจำเอกชน ก็มาจากการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งจำเป็นจะต้องแปรรูปงานของรัฐ หรือถ่ายโอนงานบางส่วนของรัฐให้กับเอกชนเป็นผู้ดำเนินการแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถ่ายโอนในลักษณะที่รัฐสามารถจะทำหน้าที่ในงานหลัก หรือการที่รัฐมีทรัพยากรอันจำกัด หากถ่ายโอนไปได้ ก็จะช่วยลดภาระบางส่วนลง ไม่เช่นนั้นคุกของรัฐก็จะต้องขยายเพิ่มเติมขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจจะต้องสร้างคุกเพิ่มขึ้นๆเรื่อยๆ แล้วต้องขอทั้งคนขอทั้งงบประมาณเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด ประกอบกับเรื่องนี้ ถูกบรรจุเป็นแผนยุทธศาสตร์ของกรมราชทัณฑ์อยู่แล้ว ที่จะต้องค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ เป็นแนวทางปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง เพื่อปรับปรุงอาชีพ เพิ่มจริยธรรมต่อผู้ต้องขัง คุณนัทธี บอกเพิ่มเติมว่า เรือนจำเอกชน ที่จริงก็ยังเป็นเป็นเรือนจำของรัฐที่ให้เอกชนเข้ามาบริหารแทนนั่นเอง ซึ่งมีลักษณะรูปแบบการบริหารที่แตกต่างกัน เช่น ผู้บัญชาการเรือนจำ อาจจะมีตำแหน่งเป็น ผู้จัดการเรือนจำ ผู้คุม อาจจะเป็น พนักงาน โดยอาศัยเจ้าหน้าที่ของราชทัณฑ์ไปร่วมทำงานด้วย หน่วยรักษาความปลอดภัย การฝึกวิชาชีพ การศึกษาภายในเรือนจำ ความสะอาดภายในเรือนจำ อาหารที่จะจัดให้ผู้ต้องขัง ก็จะแบ่งให้เอกชนเป็นผู้บริหารหรือจัดหา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของการบริหารจัดการเสียมากกว่า โดยรัฐจะเป็นผู้ให้ค่าตอบแทนค่าบริหาร เช่น รัฐเคยจ่ายให้เรือนจำของรัฐ 50 ล้านบาทต่อปี ก็จะจ่ายให้เอกชน 50 ล้านบาทต่อปีเท่ากัน แต่บริษัทเอกชนจะบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเองมากกว่า ขอตอบตอนนี้ว่า คุกเอกชนไม่ใช่เรือนจำไฮโซ หรือเรือนจำหรูอย่างที่เข้าใจกัน เพราะเอกชนจะไม่สามารถ สร้างและดูแลให้ต่ำกว่าหรือสูงกว่ามาตรฐานที่กรมราชทัณฑ์กำหนดไว้ตอนทำสัญญาได้ ขณะเดียวกันความเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง การปฏิบัติงานของเรือนจำก็ยังจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่รัฐกำหนดไว้ และยังจะมีการตรวจติดตามประเมินผลการทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่งั้นจะผิดสัญญา" การเกิดขึ้นของคุกเอกชน แต่ละที่แต่ละจังหวัด น่าจะทำให้เกิดการแข่งขันกันปรับปรุงประสิทธิภาพ จะทำให้ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามแบบข้าราชการของกรมราชทัณฑ์ต่อไปอีกไม่ได้ ทั้งนี้ ในการประเมินผลเชิงแข่งขันของเรือนจำเอกชน จะประเมินผลในแง่ประสิทธิภาพ ทั้งมิติด้านการควบคุมเช่นการไม่หลบหนี และมิติด้านการอบรมพฤติกรรมนิสัยของผู้ต้องขังเพื่อคืนสู่สังคม แล้วยังจะดูในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อหน่วย การไม่กระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขัง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ความโปร่งใสในการบริหารและการควบคุม เป็นต้น สำหรับในต่างประเทศนั้น ได้มีการศึกษาวิจัยแล้วพบว่า รูปแบบของการบริหารเรือนจำเอกชนจะดีกว่า จะประหยัดกว่าการที่ให้รัฐบาลดำเนินการเอง เนื่องจากเอกชนสามารถจะตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปได้ เช่น เขาจะเลือกลงทุนด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ด้านสถานที่ที่มั่นคงกว่า แต่สามารถใช้กำลังคนน้อยลง และมีการทำงานที่คล่องตัวรอบคอบกว่า ต่างกับเรือนจำของรัฐที่จะเป็นไปตามระบบราชการ การทำงานในระบบเอกชนจะทำให้ค่าตอบแทน สวัสดิการ และวัฒนธรรมการทำงานจะปรับเปลี่ยนไปมาก มีการดึงคนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาทำงานอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม จะต้องรอผลการศึกษาวิจัยที่ละเอียดซึ่งยังจะต้องทำต่อไปอีกหลายด้าน เช่น ด้านการทำประชาพิจารณ์ เป็นต้น แล้วยังจะต้องมีการออกกฎหมายเพื่อรองรับ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดของสภาผู้แทนและของวุฒิสภาด้วย ทีนี้ ก็มาถึงคำถามสำคัญว่า แล้วไอ้หน้าตาของคุกเอกชนนั้นจะออกมาในรูปแบบอย่างไร เพราะหลายๆ คนอาจจะยังนึกภาพไม่ออก เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณนัทธี อธิบายรูปแบบของเรือนจำที่อาจจะเป็นไปได้ว่า เรือนจำเอกชนมีหลายรูปแบบ อาทิเช่น 1.รัฐสร้าง แล้วให้เอกชนเข้ามาบริหาร 2.เอกชนสร้าง และเอกชนบริหาร เนื่องจากรัฐไม่มีเงินสร้าง รัฐจึงใช้วิธีการจ่ายเงินชดเชย ผ่อนส่ง หรือที่เรียกว่า เทิร์นคีย์ 3.เอกชนเป็นผู้ลงทุน โดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง แต่ในเมืองไทยแบบที่ 3 น่าจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก ส่วนใหญ่อาจจะเป็นแบบที่ 1 และ 2 อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญคือ เรือนจำเอกชนกับเรือนจำของรัฐ จะต้องไม่แตกต่างกันมาก มีมาตรฐานเดียวกัน จะดีกว่าหรือไม่ขึ้นอยู่กับการที่รัฐเป็นผู้กำหนด คุกในอเมริกา เรือนจำในต่างประเทศ หรู เพราะคนในรัฐของเขา หรู ดังนั้น คุกของไทยก็ต้องอิงความเป็นอยู่ของมาตรฐานการดำเนินชีวิตของคนไทยด้วย หากคุณภาพชีวิตของคนไทยในสังคมยังแย่ ยังมีคนจน มีสลัม มีขอทาน สังคมในคุกก็จะต้องไม่สูงกว่ามาตรฐานสังคมภายนอก จุดที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ จะต้องกำหนดว่า จะขังผู้ต้องขังประเภทไหน จะให้ผู้ต้องขังคดีอะไรอยู่ในเรือนจำเอกชน เช่น ในประเทศอิรัก สหรัฐอเมริกาได้จ้างบริษัทเอกชนเข้ามาบริหารเรือนจำ สำหรับกักขังผู้ต้องโทษด้านความมั่นคง ใช้ขังบุคคลเฉพาะที่สำคัญๆ มีความเข้มงวดในการคุมขังอย่างสูง หรือ อาจจะกำหนดว่า จะใช้กักขังเฉพาะผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษเท่านั้น เพื่อให้อยู่ในช่วงการปรับตัวก่อนเข้าสู่สังคม เพราะเรือนจำที่มีอยู่ในปัจจุบันแออัดอย่างมากๆ ก็สร้างเรือนจำให้ดี ให้โอกาสเขา ฝึกอาชีพเขา เพื่อพร้อมจะกลับตัวได้ ดังนั้น เรือนจำเอกชนสามารถจะเป็นเรือนจำที่โหดเข้มงวดก็ได้ เรือนจำที่ดีก็ได้ เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง โดยให้ญาติเขาส่งเข้ามาให้ ความแตกต่างระหว่างเรือนจำของรัฐและเอกชน อาจจะมีเพียงแค่การลดความแออัดเท่านั้นก็ได้ เช่น เรือนจำของรัฐอาศัยห้องละ 50 คน เรือนจำเอกชนอาจจะอยู่แค่ 10 - 20 คน เท่านั้น คุณนัทธี อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สังคมไทยยังมองว่า ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษสาสม ยึดติดกับการแก้แค้นอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้ดีก็ได้ เมื่อเข้ามาอยู่ในคุกแล้วจะต้องถูกทรมานเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง เราต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะให้เขามีความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่าคนข้างนอก. ทีมศึกษาวิจัย "คุกเอกชน" ทีมศึกษาวิจัย มาจากสถาบันวิจัยสังคม ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งหมด 12 คน เป็นนักวิชาการจากสาขาต่างๆ โดยตั้งโจทย์ไว้ว่า "ควรมีการจัดตั้งเรือนจำเอกชนหรือไม่ ถ้ามีควรมีรูปแบบอย่างไร" ซึ่งการทำศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้เวลา 7 เดือนนับตั้งแต่ มกราคม สิงหาคม 2548 ด้วยงบประมาณ 4.5 ล้านบาทผศ.สุวัฒนา ธาดานิติ(คนซ้าย) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.สุวัฒนา ธาดานิติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยฯ ยืนยันว่า การศึกษาครั้งนี้จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมในสังคม สิทธิมนุษยชน เสรีภาพทางวิชาการ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอน ซึ่งทีมงานที่ศึกษาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ทัณฑวิทยา สถาปัตยกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสังคมวิทยา โดยการศึกษาแบบบูรณาการควบคู่กัน เมื่อสามารถสรุปผลการวิจัยออกมาเป็นรูปแบบที่แน่ชัดแล้ว จึงจัดทำประชาพิจารณ์ เพื่อรับฟังความเห็นประชาชน โดยในช่วงปีงบประมาณ 2549 - 2550 คณะทำงานจะจัดทำข้อเสนอรูปแบบเรือนจำเอกชนที่เหมาะสมกับไทย และข้อเสนอในการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการจัดตั้งเรือนจำเอกชน ทั้งนี้คาดว่า หน่วยงานภาคเอกชนที่สนใจจะเข้ามาลงทุนดำเนินการ อาจเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว หรือเอกชนในประเทศเอง โดยกรมราชทัณฑ์เป็นผู้คัดเลือกและติดตามประเมินผลการบริหาร พร้อมรายงานผลความคุ้มค่าและความสำเร็จของโครงการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี การศึกษาวิจัยครั้งนี้ คงจะต้องเน้นมิติทางสังคมมากเป็นพิเศษ ดังที่ได้ตั้งโจทย์ไว้ คือ "ควรมีหรือไม่" ที่สำคัญคือ ต้องตอบข้อสงสัยของสังคมได้ ดร.จุฑารัตน์ เอื้ออำนวย ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญวิทยา หนึ่งในผู้วิจัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก จึงต้องเลือกวิธีที่มีผลกระทบต่อสังคมน้อยที่สุด และหากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ อย่างสหรัฐฯ ค่าหัวนักโทษต่อปี 50,000 - 70,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,900,000 2,660,000 บาท) ขณะที่ประเทศไทยค่าหัวนักโทษแค่ 30,000 บาทต่อปี แค่นี้ก็คงเห็นความแตกต่างบ้างแล้ว หากเอกชนได้ดูแลจัดการคุก ค่าหัวต่อปีของนักโทษในไทยอาจจะสูงขึ้นก็ได้ สังเกตจากกิจการในไทยที่ดำเนินการด้วยเอกชน มีกิจการใดบ้างที่ทำแล้วถูกกว่ารัฐบาล คงไม่มี เช่นโรงพยาบาล เป็นต้น ดังนั้นหากไทยเรามีโอกาสได้มีคุกเอกชนขึ้น คงจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในคุกให้ดีขึ้น "สำหรับคุกในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน ในแต่ละรัฐของประเทศเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน บางประเทศทำแล้วล้มเหลวก็มี ส่วนใหญ่ประเทศต่างๆมักจะเลือกประเทศออสเตรเลียเป็นต้นแบบเพราะบริหารคุกได้ดี แต่สังคมและวัฒนธรรมของเราก็ยังต่างจากต่างประเทศอยู่มาก เราคงจะไม่สามารถลอกแบบของต่างประเทศได้มาก ดร.จุฑารัตน์ ชี้ว่า กลุ่มผู้ต้องขังที่ควรจะได้อยู่ในคุกเอกชน ควรจะเป็นกลุ่มผู้ต้องขังที่สังคมยอมรับได้ เช่น ผู้หญิงซึ่งมีลูกอ่อน ผู้ต้องขังที่มีความผิดคดีเช็คเด้ง หรือเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด เป็นต้น ส่วนกลุ่มผู้ต้องขังที่ไม่ควรให้สิทธิ์อยู่ในคุกเอกชน เช่น นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ผู้มีโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต เป็นต้น ขณะที่ รศ.วันชัย มีชาติ อาจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ หนึ่งในทีมวิจัย อธิบายถึงรูปแบบที่เป็นไปได้เพิ่มเติมว่า รูปแบบของการแปรรูปกิจการของรัฐ ที่น่าจะเป็นไปได้ เช่น 1.รัฐทำเต็มรูป แต่มีกิจการหลายอย่างในเรือนจำ มอบให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ เช่น ทำความสะอาด ระบบคอมพิวเตอร์ การรักษาความปลอดภัย รวมทั้งงานเฉพาะหน่วยงานที่เชี่ยวชาญ 2.ให้สัมปทานแก่เอกชนทำ โดยรัฐควบคุม จดทะเบียนอนุญาต กำหนดมาตรฐานสิ่งชี้วัด ตรวจสอบ โดยรัฐเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเสนอกับเอกชน "ที่สำคัญของเรือนจำเอกชน ผู้ต้องขังไม่มีสิทธิ์จะขออย่างนั้น ขออย่างนี้ได้ คือ ยื่นความจำนงไม่ได้ จะอยากอยู่เรือนจำเอกชน ไม่มีสิทธิ์เลือกอยู่แล้ว ความเป็นธรรม สิทธิ การถูกกระทำจะเหมือนกัน คือ ไม่มีอิสรภาพ ไม่เกี่ยวกับการมีเงินหรือไม่มีเงิน ความเป็นธรรม สิทธิ หน้าที่ จะต้องไม่แตกต่างกัน คนทั่วๆไปคงจะไม่มีใครอยากจะเข้าคุก ถึงแม้ว่ามันจะสบาย เพราะเรือนจำไม่ใช่โรงแรม 5 ดาว ไม่มีทาง ยังไงก็ไม่ใช่ ถ้ามีใครคิดว่าสบาย ก็คงแปลกอยู่ ท้ายที่สุดเมื่อเทียบมาตรฐานก็ไม่น่าจะต่างจากเรือนจำรัฐ" "มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะเรื่องกฎหมายเจ้าพนักงาน ไหนจะกำแพงสูงกี่เมตร เหล็กประตูหนากี่ชั้น การดูแลนักโทษ 24 ชม. สิทธินักโทษเป็นอย่างไร กฎระเบียบหยุมหยิมไปหมด ดังนั้นการจะหาคำตอบรูปแบบที่เหมาะสมกับสังคมไทย อาจจะไม่มีคุกเอกชนเกิดขึ้นก็ได้" รศ.วันชัย ขยายความทิ้งท้าย. ความคิดเห็นจากคนไทยเรื่องคุกเอกชน 1. คุกหรือโรงแรม วะเนี้ยNo.1 2. เห็นควรด้วยว่าให้มีคุกเอกชน โดยกฎกติกาก็ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐ บนพื้นฐานมนุษยธรรม ไม่ต้องสบาย ต้องมีความลำบาก แต่ต้องมีความปลอดภัย และต้องมีการทำงานเพื่อสร้างรายได้หรือประโยชน์เข้าประเทศชาติ.กวง ซ่งตีง 3. ทำผิด ติดคุกแล้วสะดวกสบาย แล้วมันจะสำนึกที่มันทำผิดหรือ แล้วส่วนของเงินภาษีที่รีดไปจากผม จะต้องไปบำรุงปรนเปรอพวกมัน ผมว่าส่วนนี้เอาไปดูแลสวัสดิการคนชรา เด็กพิการ และเด็กด้อยโอกาส ในเรื่องการศึกษา น่าจะมีความจำเป็นเร่งด่วนกว่านะ ถ้ามันล้นคุกหลวงนัก ประหารชีวิตมันไปบ้างก็ได้ เพราะไอ้พวกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นพวกทำความผิดซ้ำซากไม่เห็นด้วย 4. ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการทำผิดกฎหมายมากขึ้น เนื่องจากว่าหากต้องเข้าคุกจริงๆ ก้อสามารถอยู่ได้อย่างสุขสบาย ขนาดคุกที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ไม่สุขสบายเท่าคุกเอกชน ยังมีนักโทษมากมาย และยังมีคนทำผิดกฎหมายอยู่มาก ผมว่าคนที่คิดอย่างนี้ได้ ใช้ปัญญาส่วนไหนคิดครับ อย่าคิดแต่ข้อดี ข้อเสียจะมีตามมาอีกเยอะนะครับ ได้โปรดcharnbkk@hotmail.com 5. ตอนนี้ใครทำผิดคิดว่าต้องติดคุกไทยน่ะ สยองโว้ย ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน แต่อนาคตแค่ดัดสันดาน ไม่ต้องสยองเท่าไรแล้ว คนรวยมีสิทธินะครับ คนจนมีสิทธิไหมครับ จะทำก็ทำให้เหมือนกันซิ แหม double standard แม้กระทั่งในคุก วางแผนสำหรับตัวเองในอนาคตหรือไงจ๊ะลุง 6. ฝากถึงคณะผู้ทำการศึกษาวิจัย
.ถ้ามีคุกเอกชนจริง ขอให้ตัดประเด็นการว่าจ้างบริษัทรักษาความสะอาดออกไปได้เลย เพราะผู้ต้องขังต้องทำเป็นกิจวัตรประจำทุกวันอยู่แล้ว ค่าจ้าง = 0 บาท คงมีแค่ค่าอุปกรณ์ น้ำยาทำความสะอาด และค่าบริหารจัดการ อีกเรื่องที่ควรเน้นเป็นพิเศษ คือเรื่องสุขภาพอนามัยของผู้ต้องขัง ควรจัดให้มีแพทย์พยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ ยาสามัญ อย่างเพียงพอและเหมาะสมฝากไว้พิจารณาด้วยครับ 7. ดีเวลาตุ๋ยกัน ทางคุกจะมีถุงยางแจกฟา 8. ยังงี้คนมันจะกลัวคุกมั้ยเนี่ย อยู่ในคุกควรจะให้มันลำบาก จะได้เข็ดหลาบNeo 9. ก้อทำไมไม่ประหารนักโทษที่ทำผิดร้ายแรงบ้างล่ะ จำนวนปริมาณจะได้ลดลงบ้าง กฎหมายจะได้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง แล้วไอ้นักโทษที่เข้าๆ ออกๆเนี้ย เอาไว้ทำไม ประหารเลย คนที่ติดคุกรอบสอง เนี้ ยแบบคดีเดิมๆ หรือว่าเงินมันมากมันถึงรอดตายได้ งั้นขอสาปแช่งให้พวกนี้มันตายวันตายพรุ่งเลยผู้น้อย 10. สโลแกนกรมราชทัณฑ์ ยุค นัทธี จิตสว่าง (สว่างจิต) "คุกไม่ใช่สถานที่ที่น่ากลัวอีกต่อไป"ไชโย 11. คิดได้ไงนะเนี๊ยะ อย่างงี้คนมีตังค์ก็ไม่ต้องกลัวที่จะติดคุกแล้วซิ เพราะว่ามันเสวยสุขในคุกหรู จริงๆแล้ว คำว่าคุกมันต้องน่ากลัว สกปรก ทรมานความรู้สึก มันจะได้เข็ดหลาบ ทุกคนก็จะกลัวที่จะทำผิด แม้ว่ามันผู้นั้นจะยากจนหรือร่ำรวย แล้วยังงี้จะมีกฎหมายเอาไว้ทำไม จริงๆแล้วสังคมไทยมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักหรอก เทียบกับเมื่อก่อน เพราะการแบ่งชนชั้นน่ะมันยังมีอยู่น่ะ จะแนะให้นะ ไอ้พวกกลุ่มนักวิจัยน่ะ ทำไมไม่ไปลองเดินดูตามโรงพยาบาลของรัฐบ้าง ห๋า ว่ามันมีสภาพเป็นยังไง ไปดูซิ เอาสมองที่วิจัยเรื่องคุกนี้ไปแก้ไขปรับปรุงเรื่องโรงพยาบาลดีกว่า ฉลาดกว่ากันเยอะเลย สมองสัปดน 12. ไม่ตลกไปหน่อยหรือคะ ที่จะมีคุกเอกชนเกิดขึ้นในไทย แล้วจะมีคุกไว้ทำไมละเนี่ย... สุดท้ายก็จบที่เงิน เงินซื้อทุกอย่างได้อยู่ดีแหละค่ะ ช่วยพิจารณาด้วยนะคะว่า เหมาะสมที่จะมีคุกประเภทนี้จริงๆหรือคะ .. ตกใจมากที่ผู้ใหญ่ผู้มีส่วนบริหารประเทศมีความคิดแบบนี้ค่ะคนเดินดิน 13. รูปที่เห็นมันเป็นคุกของอเมริกา ส่วนใหญ่ภายในมันก็อย่างนั้นทั้งนั้นที่โน่น เพราะแม้แต่คนคุก เขาก็ยังมองเห็นถึงคุณค่าของความเป็นคน ที่ต่างจากเดรัจฉาน และคุกมีไว้เพื่อสั่งสอนปรับนิสัยผู้ต้องขัง เพื่อให้ออกมาอยู่ร่วมกับสังคมได้ โดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ต่างจากการมองของไทย ที่ถ้ามันเลวต้องเอาให้มันได้รับโทษให้ถึงขีดสุด ไม่ต้องให้โอกาสพวกมันอีกแล้ว มันต้องทนทุกข์ทรมาน หรือตายตกไปตามกัน จากกรรมที่มันทำถึงจะสาสม ไม่บอกไม่รู้เลยนะว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ และมากกว่า 90% ของคนไทยนับถือศาสนาพุทธ แม้แต่ Feasibility study เขาก็เพิ่งจะขยับบั้นท้ายทำ แค่ออกข่าวมาว่า "จะ" เท่านั้น ก็โวยวายกันได้เสียแล้วKera 14. ปัจจุบันราชการบริหารคุกแล้วมีปัญหา ทำวิจัยว่าปัญหามันอยู่ที่ไหนแล้ว ทำการแก้ไขไม่ดีกว่าหรือ ทำไมเมื่อระบบราชการมีปัญหาทีไร ต้องคิดให้เอกชนทำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีย์ ...และต่อไปก็เป็นไฟฟ้า ทำไมล่ะเอกชนเป็นผู้วิเศษอะไร ถึงทำแล้วดีกว่าราชการ ในเมื่อคนเหมือนกัน แต่มันสะท้อนว่าผู้บริหารประเทศต่างหากที่ไม่สามารถบริหารราชการให้ดีได้ ราชการ 15. เรือนจำเอกชนจะเป็นเรือนจำที่โหดเข้มงวดก็ได้ เรือนจำที่ดีก็ได้ เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขัง เก็บเงินผู้ต้องขังก็ได้ เอกชนเป็นผู้ลงทุนโดยเก็บเงินจากผู้ต้องขังคงได้เห็นกัน 16. อ่านข่าวแล้วรู้สึกดีจริงๆที่มีโครงการที่ดูจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมขึ้นมา ถึงจะอยู่ในขั้นทดลอง ก็ยังถือเป็นข่าวดี เพราะสภาพในปัจจุบัน คุกไทยแย่มากๆ จำนวนนักโทษแทบจะนอนก่ายกัน คดีเล็กคดีใหญ่อยู่ปนกันไปหมด อาจารย์เคยพาไปดูงานในคุกหญิง สภาพสุดๆ เวลานอนไม่มีที่ให้พลิกตัวเลย แถมยังต้องนอนชันเข่าอีก น่าสงสารมาก หากมีคุกเอกชนขึ้นมาจริงๆก็ดี เป็นการบรรเทาภาระของเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานโคตรหนัก แล้วได้ค่าแรงนิดเดียว ความเห็นอื่นๆที่ด่าเข้ามา อ่านแล้วก็น่าสมเพช เหมือนคนอ่านหนังสือไม่แตก โพสต์เหมือนคนดูแต่รูปอย่างงั้นแหละ อ่านรึเปล่าที่ว่า งบประมาณที่รัฐจะให้เอกชนนั้น จะต้องใกล้เคียงกับที่ให้กับเรือนจำของรัฐ แปลว่ายังไง ก็คือสร้างเรือนจำติดแอร์ไม่ได้หรอก จากภาพน่ะมันเป็นคุกต่างประเทศ ที่มีค่าดูแลนักโทษต่อหัวมากกว่าประเทศไทยมากๆน่ะ คุกไม่ใช่แค่ที่ดัดสันดาน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายแค่การลงโทษ คุกยังเป็นที่อบรมคนที่หลงผิดชั่วครู่ให้ได้มีโอกาสกลับตัว คนที่เคยพลาดไป เมื่อเข้าเรือนจำก็ถือว่าชดใช้ความผิดไปแล้ว คนไทยนี่ล่ะชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บกันจริงๆ กดดันจนนักโทษที่พ้นผิดออกมาไม่มีทางออก จนต้องกลับไปทำผิดซ้ำซากอีก มองอะไรให้ไกลหน่อย อย่าเอาอารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน มองว่าโครงการนี้จะมีประโยชน์ยังไงกับสังคมดีกว่า ถ้าไม่ดีจริงแล้วค่อยค้าน ยังจะดูเหมาะสมกว่านาSpJp 17. ผมคิดว่าการพัฒนาคุก ควรมีการพัฒนาควบคู่ไปกับบทลงโทษทางกฎหมายของไทยไปด้วย ผมคิดว่ากฎหมายของไทยมีบทลงโทษน้อยไป ส่วนการทำคุกเอกชนนั้น ดูยังมีช่องว่างอีกมากมาย เช่น ให้เอกชนบริหาร เกิดลูกของเจ้าของบริษัทติดคุกขึ้นมา--เขาคงได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นกระมังครับ ขนาดคุกของรัฐทำเอง ยังเน่าเฟะเลย ข้อดีและข้อเสียเมื่อมันเปรียบกัน มันคุ้มกันหรือเปล่า แต่ผมดูคุกแบบในหนังของอเมริกัน ที่เขาแบ่งกันอยู่คนละห้อง ไม่นอนรวมกันแบบนั้น ก็ถือว่าให้เสรีภาพพอสมควรแก่คนติดคุก แบบนี้มันก็น่าจะโอแล้วนะกนก 18. ไม่เคยติดคุกหรอก และผมก็รู้ว่าพวกที่โพสต์มาก็ไม่เคยเหมือนกัน...ฉะนั้น หัดมองโลกในมุมที่กว้างแบบนี้หน่อย ไม่มีใครเขาอยากติดคุกหรอกสินัท 19. การลงโทษ ต้องมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการแก้ไข ให้เค้าติดคุกที่เค้าจ่ายเงินมันจะแก้ไขตรงไหน อีกอย่าง คุกเอกชนหมายความว่า ระบบราชการแต่ให้เอกชนประมูลไปบริหารแบบลดต้นทุนต่างหาก ไม่ใช่ให้เอกชนทำโรงแรมความมุ่งหมายการลงโทษ
20. ขอชื่นชมในความคิดริเริ่มครับ การให้โอกาสคนกลับตัว ไม่มีความคับแค้นใจ สังคมจะได้คนดีที่พร้อมจะกลับตัวมาอยู่ร่วมกัน ไม่ต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกใหม่นานนัก สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การลดรายจ่ายที่รัฐต้องอุดหนุนในปัจจุบันที่พอบ้างไม่พอบ้าง ให้กับผู้ต้องขัง สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ในการดูแลเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกตามหลักสากล ถ้าไม่มีการพัฒนา ประเทศไทยอาจได้รับการดูถูกจากสังคมประเทศที่เจริญแล้วให้กำลังใจในการทำงานครับ 21. ในความคิดของฉันนะ การลงโทษประชาชนเป็นอำนาจเฉพาะของรัฐเท่านั้น การที่ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว กรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจึงต้องมีหน้าที่นำประชาชนมาลงโทษ ตามคำพิพากษาของศาล หากมีคุกเอกชนขึ้นมา จะไม่เป็นการยอมให้เอกชนมีอำนาจลงโทษประชาชนของรัฐหรือ รวมทั้งบริษัทเอกชนก็ยังไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ อำนาจการควบคุมดูแล การบังคับบัญชา การสั่งการที่หน่วยราชการจะต้องควบคุมผู้ที่เข้ามาบริหารงานคุก ก็จะมีปัญหา ในการตรวจสอบบุคคลากรที่เข้ามาปฏิบัติงานในคุก และยังมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆตามมาอีกมากมาย ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับความคิดในเรื่องคุกเอกชนps 22. ถ้าให้ได้เห็นของจริง รายที่โพสต์ค้านความคิด หากมีรายการนำชมสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดในคุกปัจจุบัน ขอเรียนเชิญให้ไปเข้าร่วมชมด้วยนะครับ จะดียิ่งขึ้น ถ้าให้โอกาสพักค้างคืนสักคืนในที่คุมขัง จะได้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากของผู้ต้องขังมากขึ้นครับเรียนเชิญนักค้าน ด้วยความยินดีครับ 23. คืองี้ครับ เค้าเอาไว้ขังประเภทพวกผู้หญิงตั้งท้อง ความผิดที่ไม่เข้าข่ายอุกฉกรรจ์ -*- 24. การนำหลักคุกเอกชนมาใช้เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี ว่าใครจะลงทุน เพราะ 1. ถ้าให้เอกชนมาลงทุนทำเองทั้งหมด เอกชนจะต้องบริหารโดยคิดถึงกำไร ย่อมต้องมีการแข่งขัน และนำมาซึ่งการให้บริการลูกค้า ซึ่งในที่สุดจะผิดเจตนารมณ์ของการลงโทษ 2. ถ้ารัฐลงทุนเอง จะผิดกับวัตถุประสงค์เดิมที่ต้องการ ลดกำลังคน และภาระของภาครัฐ 3. ควรใช้กับนักโทษประเภทไหน ต้องมีเกณฑ์มาตรฐาน เช่น โทษสถานเบา นักโทษชั้นดี ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าจะมีความสะดวกมากขึ้น จะต้องไม่หรูหรา ไปกว่ามาตรฐานของสังคมภายนอกเด็ดขาด เพราะจะผิดเป้าประสงค์ของการลงโทษ และจะเหลื่อมล้ำกับสังคมชนชั้นล่าง เช่น คนใต้สะพาน คนไร้บ้าน คนจรจัด-*- 25. เมืองไทย ยังงั๊ย ก็ไม่พร้อมกับคุกเอกชน จริยธรรมและจรรยาชีพของคน ยังต่ำเกินไปไม่บอก 26. สมควรกลับไปคิดว่า ทำอย่างไรให้อาชญากรรม ยาเสพติดลดลงดีกว่า นักโทษจะได้ลดลง ถ้าคนดีสังคมดี ไม่ต้องมีนักโทษ ไม่ต้องมีคุกKIKI 27. พวกที่ไม่เคยติดคุกแล้วชอบโวยวาย ลองถามผู้คุมเขาดูซิ อย่างน้อยพวกนี้เขาอยู่คุกมาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้วทั้งนั้น อยากเข้าไปดูความเป็นอยู่ในคุก ก็ทำเรื่องขออนุญาตซี๊ เถียงกันอยู่ได้ ออกมาแล้วค่อยมาโพสต์ว่ามันเป็นอย่างไร นี่ตาบอดคลำช้างกันแท้ๆ ผู้คุมคุกตัวจริง
โดย yyswim
Create Date : 21 กรกฎาคม 2549
Last Update : 21 กรกฎาคม 2549 12:27:17 น.
Counter : 3230 Pageviews.
กิจกรรมหลังความตาย
กิจกรรมหลังความตาย กรณีที่มีผู้เสียชีวิตในบ้าน : หากเสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน อาทิ โรคลม โรคชรา เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง สำหรับในกรณีเสียชีวิตด้วยสาเหตุ 5 ประการ ได้แก่ การฆ่าตัวตาย, การถูกคนทำให้ตาย, อุบัติเหตุ, สัตว์ทำให้ตาย, และ การตายโดยไม่ทราบสาเหตุ การเสียชีวิตในลักษณะดังกล่าว จะต้องแจ้งตำรวจท้องที่ให้รับทราบ เพื่อส่งศพไปผ่าพิสูจน์ ณ สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ หรือโรงพยาบาลของรัฐ เมื่อสถาบันนิติเวชออกหนังสือรับรองสาเหตุของการตายแล้ว เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง กรณีที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาล : เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหรือญาติผู้ตาย จะแจ้งต่อนายทะเบียนเทศบาลหากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในเขตเทศบาล สำหรับกรณีอยู่นอกเขตเทศบาลให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอ ภายใน 24 ชั่วโมง สวดศพวัดไหน? การตัดสินใจเคลื่อนย้ายศพไปตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดใด จึงจะเหมาะสม ประเด็นหลักสำคัญ ที่ญาติผู้เสียชีวิตมักพิจารณา ได้แก่ 1. วัดหลวง สำหรับผู้ที่ประกอบคุณงามความดี เมื่อสิ้นชีวิตลงและหากได้รับ "พระราชทานเพลิงศพ" ญาติมิตรของผู้เสียชีวิตมักจะเคลื่อนย้ายศพผู้ตายไปประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดหลวงเป็นส่วนใหญ่ 2. วัดใกล้บ้าน เป็นวัดทั่วๆ ไป การเลือกวัดที่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย จะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางของเจ้าภาพได้ ทำให้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก 3. วัดในสังกัด ผู้เสียชีวิตบางราย รับราชการเป็นตำรวจหรือทหาร เมื่อสิ้นชีวิตลง ญาติๆก็จะนำศพไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดในสังกัด เช่น ฌาปนกิจสถานของตำรวจอยู่ที่วัดตรีทศเทพฯ ย่านวิสุทธิกษัตริย์ ค่าใช้จ่ายเท่าไร ? จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ประจำวัดขนาดใหญ่และขนาดกลางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สรุปค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีศพในวัด ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม และค่าบำรุงในการเผาศพ มีรายละเอียดดังนี้ ...1. ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม : วัดขนาดเล็กทั่วไปมักจะกำหนด อัตราค่าศาลา 500 บาท/คืน ส่วนวัดขนาดใหญ่มักจะเรียกเก็บค่าบำรุงเพิ่มขึ้นเท่าตัวคือ 1,000 บาท/คืน และค่าบำรุงจะสูงถึง 2,500 บาท/คืน สำหรับศาลาที่ติดเครื่องปรับอากาศ 2. ค่าบำรุงในการเผาศพ ในขั้นตอนการเผาศพ มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ดังนี้ ค่าเมรุ : ส่วนใหญ่จะเก็บค่าบำรุงประมาณ 500 - 1,000 บาท ค่าเผาศพ : การเผาแบบเตาถ่านทางวัดจะเรียกค่าบำรุงจากเจ้าภาพประมาณ 250 - 300 บาท ส่วนการเผาด้วยน้ำมันจะมีราคาแพงกว่า คือ 500 - 1,000 บาท ค่าบริการ : สัปเหร่อวัดมักจะได้รับจากเจ้าภาพ คิดเฉลี่ยวันละ 50 บาท ส่วนในวันเผา ผู้ที่ทำหน้าที่ในการเผาศพ จะมีรายได้ประมาณ 300 บาท ค่าธรณีสงฆ์ : วัดส่วนใหญ่จะมีบริการ "โกดังเก็บศพ" ภายในบริเวณวัด โดยเสียค่าบำรุงวัด 500 - 1,000 บาท นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับวัดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ แยกพิจารณาออกเป็น 4 รายการ หลัก ๆ คือ 1. ค่าโลงศพ : ราคาค่าโลงศพจะแตกต่างกันออกไป โดยมีราคาต่ำสุดประมาณ 3,000 บาท และสูงสุดถึง 200,000 บาท 2. ค่าดอกไม้ประดับหีบศพและเมรุ : ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันตามประเภทของดอกไม้ ซึ่งมีราคาประมาณ 1,500 - 5,000 บาท 3. ค่าอาหาร : ค่าใช้จ่ายมักจะตกอยู่ในวงเงินประมาณ 1,000 - 3,000บาทต่อคืน 4. ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด : ได้แก่ ค่าสายสิญจน์ ผ้าขาว ค่าปัจจัยถวายพระในแต่ละคืนที่สวดอภิธรรม ค่าดอกไม้จันทน์ รวมทั้งค่าของระลึกในงานเผาศพ รวมเบ็ดเสร็จเฉลี่ยประมาณ 1,000 - 5,000 บาท โดยสรุป ค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพ 1 ราย ในวัดไทย (สวดพระอภิธรรมและเผาศพ) มีประมาณค่าใช้จ่ายในอัตรา ดังนี้ * การตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 12,000 - 15,000 บาท * การตั้งสวดพระอภิธรรม 5 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 16,000 - 20,000 บาท * การตั้งสวดพระอภิธรรม 7 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป สัปเหร่อ สัปเหร่อในอดีต มักจะตั้งมั่นอยู่ในศีล ยึดถือธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต โดยเชื่อกันว่าสัปเหร่อมักมี "คาถา" พิเศษสำหรับป้องกันตัว หรือสยบวิญญาณร้าย สำหรับด้านรายได้ของสัปเหร่อนั้น สัปเหร่อวัดเล็กๆ จะมีรายได้ประมาณ 1,500 -3,000 บาทต่อเดือน แตกต่างจากสัปเหร่อวัดกลางกรุงที่มีรายได้ค่อนข้างดี เช่น วัดขนาดใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ ย่านหัวลำโพง หากมีญาติผู้ตายตั้งสวดพระอภิธรรมเป็นระยะเวลา 2 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ถึง 1,200 บาท/งาน และถ้าตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ 1,500 บาท/งาน ถ้าเดือนไหนงานชุก สัปเหร่อตามวัดขนาดใหญ่ในกรุง อาจมีรายได้ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน หน้าที่ของสัปเหร่อนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเคลื่อนย้ายศพเข้าไปในบริเวณวัด จนกระทั่งส่งศพขึ้นบนเตาเผา เผา และเก็บกระดูกและเถ้า ซึ่งเป็นงานบริการที่ค่อนข้างหนักและเหนื่อย. โดย yyswim
Create Date : 15 กรกฎาคม 2549
Last Update : 15 กรกฎาคม 2549 22:33:21 น.
Counter : 4865 Pageviews.