ห้องนอนบ่อเกิดภูมิแพ้

















































ใคร
จะทราบบ้างว่า ห้องนอนเป็นสาเหตุของการทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ได้
วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...



อากาศ
ที่หายใจเข้าไปทุกขณะ นับว่ามีความสำคัญต่อร่างกาย โดยเฉพาะเวลานอนหลับ
บางครั้งเราอาจมองข้ามสิ่งที่เป็นตัวต้นเหตุสำคัญของอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง
ไม่ว่าจะเป็นอาการภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ หลอดลม ทั้งละอองเกสรก็ดี
เชื้อรา ฝุ่น ควันบุหรี่ ขี้แมลงสาบ
ไอระเหยของสารเคมีล้วนแต่สามารถกระตุ้นภูมิแพ้และส่งผลต่อการเจ็บป่วยของ
ร่างกายในที่สุด



การดูแลห้องนอนให้อยู่ในสภาพที่ถูก
สุขลักษณะและปลอดจากสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ ทำได้ง่ายๆ ดังนี้



- ห้องนอนเต็มไปด้วยฝุ่นหรือไม่

การได้หลับพักผ่อนในห้องนอนที่มีอากาศสะอาดปราศจากฝุ่น
จะช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นหรือฟื้นคืนจากการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น



- พื้นห้องปูด้วยพรมหรือไม่

นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
เพราะพรมจะกลายเป็นแหล่งของไรฝุ่นที่เป็นตัวก่อภูมิแพ้
และดูแลทำความสะอาดได้ยากกว่าพื้นไม้หรือกระเบื้อง



- ชอบสูบบุหรี่ใช้น้ำยาหรือน้ำหอมปรับอากาศ

สิ่งเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง



- ซักและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเครื่องนอนบ่อยแค่ไหน

ไม่ว่าจะผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้านวม
ควรถอดซักได้และควรเปลี่ยนอยู่เสมอ
ซักทำความสะอาดด้วยอุณหภูมิที่ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส
เพราะอุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้จะไม่สามารถฆ่าไรฝุ่นในเครื่องนอนได้



-
เลือกใช้อุปกรณ์เครื่องตกแต่งที่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย

ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่าน สีทาผนัง ตู้ โต๊ะ พรม
ควรพิจารณาเลือกซื้อชนิดที่ระบุว่าไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพใน
การผลิต
ปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าบางประเภทเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าว



- เปิดหน้าต่างบ้างหรือเปล่า

บ้านไหนที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศในห้องได้ถ่ายเทบ้าง
หรือหากปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามาบ้างสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี
และจะดีอย่างยิ่งถ้ามีเครื่องฟอกอากาศ
หรือใช้แผ่นดักจับสิ่งแปลกปลอมในอากาศฟิลทรีตชนิดที่ใช้กับ
เครื่องปรับอากาศ และต้องไม่ลืมคอยเปลี่ยนแผ่นกรองประจำตามสภาพการใช้งาน
เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการกรองอากาศให้ดีอยู่เสมอ



รู้อย่างนี้แล้ว
ก็อย่าลืมดูแลรักษาห้องนอนให้สะอาดอยู่เสมอ จะได้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้.




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เด
ลินิวส์






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 16:43:27 น.
Counter : 311 Pageviews.  

5 เคล็ดลับขจัดเครียด













































ฝึกหายใจ นั่งลงและเอนหลังกับพนักเก้าอี้
ในท่าสบาย สูดหายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ วิธีนี้
จะสามารถขจัดความเครียดออกไปได้

นวด
ฝ่าเท้า
ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนฝ่าเท้า แล้วนวดคลึงเบาๆ
เพื่อคลายเส้นที่ปวดตึง โดยไล่จาก ส้นเท้า ไปจนถึงปุ่มโคนหัวแม่เท้า
แล้วจึงค่อยนวดวนออกไปด้านนอกฝ่าเท้า

น้ำช่วยได้ แค่น้ำเปล่าเย็นๆ
หรือน้ำส้มคั้นสดๆ จากตู้เย็นเพียงหนึ่งแก้ว
ก็สามารถทำให้รู้สึกผ่อนคลายในยามเครียดได้อย่างประหลาด

กลิ่นหอมขจัดเครียด น้ำมันหอมที่มีกลิ่น
หอมสดชื่น ที่เรารู้จักคุ้นหูกันดีในนามของ Aromatherapy
สามารถช่วยคลายเครียดได้ เพียงเทน้ำมันหอมลงบนฝ่ามือแล้วนวดคลึงเบาๆ
บริเวณขมับ ก็จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง

ขจัดความเมื่อยขบให้ลำตัว เมื่อความเครียด
รุมเร้าจะปวดไหล่ หลังและคอ ลองเปลี่ยนอิริยาบทง่ายๆ
โดยขยับตัวออกมานั่งตรงส่วนปลายของเก้าอี้ วางเท้าลงที่พื้นในท่าสบาย
จากนั้นวางมือขวาที่ต้นขาซ้าย
แล้วเอื้อมมือซ้ายไปจับที่พนักเก้าอี้เหนือไหล่ขวา บิดตัวไปทางซ้ายช้าๆ
จนสุด พร้อมเป่าลมออกจากแก้ม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
พร้อมกับหมุนตัวกลับไปในท่าตรง แล้วค่อยๆ ปล่อยลมออกทางปาก
จนกลับมาอยู่ในท่าตรง สลับทำแบบเดียวกันด้านขวาและทำหลายๆ รอบ
(มติชนฉบับพิเศษ Hospital Healthcare )




















Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 16:41:57 น.
Counter : 433 Pageviews.  

ประโยชน์ของโยเกิร์ต


































ข้อมูลจาก นิตยสารสไปซี่
ข้อมูลจาก นิตยสารสไปซี่


  
โยเกิร์ตเป็นอาหารที่ดูดีมีชาติตระกูล
เหมาะกับคนรุ่นใหม่อย่างเราเป็นที่สุด
แต่เบื้องหลังโยเกิร์ตยังมีความลับอีกหลายอย่างที่คุณอาจยังไม่รู้



-
คนที่ท้องเสียเพราะมีเชื้อจุลลินทรีย์ในลำไส้
แต่จุลลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย
การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว
ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่ายเลย



-
โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ



-
โยเกิร์ตไขมันต่ำหนึ่งถ้วยเป็นแหล่งรวมสารอาหารถึงสิบเอ็ดชนิด
และแต่ละชนิดเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม
ฟอสฟอรัส วิตามันบีสอง โปรตีน วิตามันบีสิบสอง ทริปโทฟาน โพแทสเซียม
โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบีห้า
คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรงเหลือเกิน



-
ถึงแม้ทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา
เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้
เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลงทำให้ร่างกายดูด
ซึมไปใช้ได้



-
จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกาย
แต่แลคโตบาซิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ
มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร"
ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ
แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก
ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำเพื่อกำจัดเชื้อโรคใน
ช่องคลอด



-
แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้กระดูกเราแข็งแรง
ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้
และยังกระตุ้นระบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย



-
ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก



-
เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย
เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดี
ขึ้น



การ
ทานโยเกิร์ตที่ได้ผลที่สุดควรทานรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นรสหรือเพิ่ม
น้ำตาลลงไป










Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 12:05:51 น.
Counter : 292 Pageviews.  

อาหารเสริมความสวย














































หากอยากมีผิวพรรณสดใสนุ่มเนียน
การรับประทานอาหารก็มีส่วนสำคัญ
ที่ทำให้ผิวพรรณของคุณดูอ่อนกว่าวัยอยู่เสมอ

อาหารที่ดีกับผิวพรรณ

น้ำมันมะกอก
เพราะมีวิตามินเอและอีสูง ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์
ทำให้ผิวคงความชุ่มชื่นนุ่มเนียนอยู่เสมอ

เนื้อปลา
อุดมไปด้วยสารอาหารประเภทโปรตีน ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ
ของร่างกาย นอกจากนั้นยังมีเซเลเนียม
ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

เมล็ดข้าวและธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง
ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา
เป็นอาหารที่มีวิตามินบีและวิตามินอี
ซึ่งช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์
รวมไปถึงเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว และช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดความเสียหาย

ผักสดและผลไม้
โดยเฉพาะผักสดและผลไม้ที่มีวิตามินซีมากๆ เช่น ส้ม มะนาว มะเขือเทศ สับปะรด
ฝรั่ง เพราะวิตามินซีมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงนุ่มเนียนอยู่เสมอ

น้ำเปล่า
หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวแห้งกร้าน หยาบกระด้าง
จึงควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วโตๆ จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
และยังช่วยป้องกันผิวพรรณหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอีกด้วย

อาหารที่ทำลายผิวพรรณ

อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น
ไส้กรอก ไอศครีม เบคอน เพราะกระบวนการเผาผลาญอาหารเหล่านี้
ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ
ซึ่งเป็นสาเหตุให้เซลล์เกิดการเสื่อมโทรมและเหี่ยวย่น

อาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป
จะไปขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ ทำให้ผิวหย่อนยาน

คาเฟอีนและแอลกอฮอลล์
เป็นตัวดูดซับความชื้นจากผิว ทำให้ผิวแห้งกร้าน ถ้าหากเลิกดื่มกาแฟไม่ได้
หลังดื่มกาแฟควรดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วโต หรือทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอลล์
ควรดื่มน้ำเปล่า 2 แก้วโตตามไปด้วย เพื่อชดเชยการที่ร่างกายสูญเสียน้ำ
และช่วยป้องกันไม่ให้ผิวขาดความชุ่มชื้น


























Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 18:05:08 น.
Counter : 425 Pageviews.  

ดีท็อกซ์ ได้ผลจริงหรือ?




























































ดี
ท็อกซ์ … ได้ผลจริงหรือ?


บางคนก็ว่า
การทำดีท็อกซ์ได้ผลดี
แต่บางคนก็มีได้ผลน้อยหรือมีปัญหาตอนทำดีท็อกซ์ด้วยซ้ำไป ...
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? การที่ทำดีท็อกซ์แล้วได้ผลดีในบางคนนั้น
เนื่องจากอาหารจำพวกผักและผลไม้มีผลดีต่อร่างกายดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
ในรายที่ทานผัก ผลไม้น้อยหรือไม่ยอมทานเอาเสียเลย
จึงมีโอกาสเห็นผลได้เร็วและมาก ...
แม้ว่าอาจจะเป็นช่วงเวลาการเข้าคอร์สเพียง 3-10 วัน
โดยเฉพาะในคนที่ปกติไม่ทานผักผลไม้ หรือทานผักผลไม้น้อยอยู่แล้ว

การ
ลดอาหารจำพวกแป้งก็เป็นวิธีหลักของคนที่ต้องการลดน้ำหนักอยู่แล้ว
เพราะการที่คนเรามีน้ำหนักตัวเพิ่ม สาเหตุหลักก็คือ
มีพลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปมากกว่าพลังงานที่นำไปใช้งานแต่ละวัน
จึงเกิดการสะสม และพลังงานที่ว่านั้น ก็มาจากแป้งและไขมันต่างๆ
เป็นหลักนั่นเอง แต่การงดแป้งไปเลยมีผลเสีย
มากนะครับ ไม่ควรทำ
(อันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ)

แต่
ก็มีผู้เชี่ยวชาญทางฝั่งที่ไม่เชื่อว่า
การทำดีท็อกซ์จะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีอย่างจริงจังอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
พวกเขาไม่เชื่อว่า “สมมติฐาน”
ที่ว่า ร่างกายของคนเราสะสม “สารพิษ” ที่มาจากสิ่งแวดล้อม
และจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งต้องมีการ “ล้าง(สาร) พิษ”
เหล่านี้ออกจากร่างกายนั้น ไม่น่าจะเป็นความ
จริงครับ






























แม้
หลายคนอาจจะรู้สึกเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยมลภาวะ


แต่
“ข้อเท็จจริง (fact)” ที่
เป็นที่ประจักษ์อย่างไม่ทีทางโต้แย้งได้ก็คือ คนเรามีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นตลอดเวลา
ซึ่งอาจจะชี้ให้เห็นได้ว่า ร่างกายมีวิธีจัดการกับสารพิษต่างๆ
อย่างมีประสิทธิภาพมากอยู่แล้วตามธรรมชาติ …
ผู้ที่ให้ความเห็นเรื่องนี้ได้แรงและชัดเจนที่สุดรายหนึ่งก็คือ
คุณหมอวินเซนท์ คอร์ดาโร แพทย์จากองค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐฯ
(หรือที่คุ้นกันในชื่อ FDA) บอกว่า ถ้า
เรื่องนี้เป็นจริง เผ่าพันธุ์มนุษย์คงจะต้องไม่สามารถอยู่รอดได้”


คุณ
หมอปีเตอร์ โฟดอร์ กล่าวแรงไปกว่านั้นอีก คือถึงกับฟันธงลงไปเลยว่า “มีการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับสารพิษพวกนี้ขึ้นมา
เพราะมันจะทำให้พวกเขามีอะไรบางอย่างที่ทำให้สามารถ “แสร้งว่า” รักษาได้”
 ใน
ขณะที่ดร. ไมเคิล เฮิร์ท ผู้อำนวยการศูนย์แพทย์บูรณาการ (the Center for
Integrative Medicine) ที่ศูนย์การแพทย์เอนซิโน-ทาร์ซานา
ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการปวดศีรษะหรืออาการภูมิแพ้ที่อ้างกันว่า
เป็นผลมาจากสารพิษในร่างกายว่าเกิดจากคนจำนวนมากมักนอนหลับไม่เพียงพอ
ทานน้ำตาลมากเกินไป และมีความเครียดสูง ดังนั้น ไลฟ์สไตล์ (life
style) ของคนเหล่านี้ต่างหากที่เป็นต้นเหตุของอาการป่วยข้างต้น
ไม่ใช่สารพิษดังที่อ้างกัน


อันที่จริงแนวคิดเรื่อง
การล้างพิษนี้มีกล่าวถึงมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ จีน และอินเดียโบราณ แต่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ก็คือ
แม้จนกระทั่งปัจจุบัน ก็ยังไม่เคยมีใครสามารถระบุได้ว่า
สารพิษที่ว่าสะสมในร่างกายและก่อให้เกิดความเจ็บป่วยต่างๆ นานานั้น  คือ
สารอะไรกันแน่  


ข้อเท็จจริงอีกเรื่องหนึ่งที่อาจ
ทำให้การทำดีท็อกซ์เป็นเรื่อง “เกินจำเป็น”
ก็คือ
ร่างกายของคนเรานั้นมีวิวัฒนาการตามธรรมชาติที่ดีเยี่ยมอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เป็นอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น
ปริมาณของเสียที่ร่างกายขอเรากำจัดได้ในแต่ละครั้งที่เราปัสสาวะนั้น
หากต้องการช่วยให้เรากำจัดของเสียได้เท่าๆ กันด้วยวิธีการอบซาวนา
เราก็จะต้องอบจนเหงื่อออกอย่างชุ่มโชกไปไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง!

คน
กลุ่มนี้จึงสรุปว่า ... ดูเหมือนว่า
ร่างกายจะไม่ต้องการความช่วยเหลือในการกำจัดของเสียสักเท่าไหร่นะครับ





























ผลข้าง
เคียงที่อาจเกิดจากการทำดีท็อกซ์


การทำดีท็อกซ์อาจ
ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน หากไม่ระมัดระวังอย่างเพียงพอ ยกตัวอย่างเช่น
ตั้งแต่รู้สึกเหนื่อยอ่อน ปวดศีรษะ ไปจนถึงขั้นล้มป่วย
ซึ่งก็มักจะอ้างกันว่าเป็นผลจากที่ร่างกายกำลังขจัดของเสียต่างๆ ออกมา
แต่อันที่จริงแล้ว เป็นผลมาจากการที่ร่างกายปรับตัวไม่ได้
เนื่องจากขาดอาหารอย่างปัจจุบันทันด่วนนั่นเอง นอกจากนี้
การทำดีท็อกซ์ติดต่อกันนานๆ
อาจทำให้เกิดการขาดสารอาหารหรือแร่ธาตุบางอย่างได้
และอาจทำให้ลดภูมิต้านทานของร่างกายลง … ซึ่งตรงกันข้ามกับข้ออ้างที่ว่า
ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน

ส่วนการที่ดูเหมือนว่า
การทำดีท็อกซ์ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วนั้น
ก็มักจะเป็นเพียงภาวะเพียงชั่วคราว
ซึ่งเป็นผลมาจากการสูญเสียไขมันและน้ำปริมาณมากอย่างปุบปับ
เนื่องจากการปรับเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเรื่องอาหารอย่างหนัก
ซึ่งน้ำหนักเหล่านี้จะกลับมาทันทีที่คุณเลิกทำดีท็อกซ์
และหันกลับไปทานอาหารโปรด (ซึ่งก็มักจะอยู่ในรายการอาหารต้องห้าม)
จนทำให้เกิดผลกระทบแบบลูกดิ่งโย-โย (Yo-yo effect)

ซึ่งผลลัพธ์
ที่จะได้ก็คือ การเกิดอาการเดี๋ยวอ้วน เดี๋ยวผอมสลับกันไปมา
ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวมากยิ่งขึ้นไปอีก


ตัวอย่างเรื่องสรรพคุณเกินจริงในต่างประเทศ

ดังที่เล่าให้ฟังเป็นบ้างแล้วข้างต้นว่า
เรื่องดีท็อกซ์นี้ มีการอวดอ้างสรรพคุณหลายๆ อย่างเกินจริง
องค์กรที่ดูแลเรื่องนี้ในต่างประเทศก็จับตาดูอยู่นะครับ เช่น
คณะกรรมาธิการการค้าของสหพันธ์หรือเอฟทีซี (FTC, Federal Trade Commission)
ประเทศสหรัฐฯ เคยเล่นงานบริษัทที่กล่าวอ้างว่า
ผลิตภัณฑ์ของตนสามารถใช้รักษาโรคได้ เช่น บริษัทชื่อ ลิ
เวอไรท์ โปรดักส์
(Liverite Products Inc.) ที่เมืองทัสกิน
ที่กล่าวอ้างเกินจริงเรื่องอาหารเสริมของตนที่มีส่วนผสมของตับวัวว่า สามารถ
“ล้างพิษ” ตับและช่วยรักษาโรคตับที่เกิดจากแอลกอฮอล์ โรคตับอักเสบ
และโรคตับแข็งได้ ก็ถูกเอฟทีซีสั่งฟ้องและถูกศาลสร้างสั่งปรับเป็นเงิน
60,000 เหรียญ

บริษัทลากูนา ฮิลล์ ที่อ้างว่า
การฟอกเลือดของตนสามารถรักษาโรคหัวใจได้
ซึ่งแพ้คดีที่ถูกเอฟทีซีฟ้องร้องต่อศาล เพราะข้อมูลจากสถาบันวิชาการต่างๆ
รวมทั้งสมาคมหัวใจแห่งอเมริกาว่ายืนยันว่า
เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

เรื่องการสวนล้างทำความสะอาดลำ
ไส้ด้วยน้ำหรือกาแฟก็เช่นกัน แพทย์จำนวนมากต่างยืนยันตรงกันว่า
ไม่มีหลักฐานเลยว่า ลำไส้สร้างของเสียตามที่อ้างกัน นอกจากนี้แล้ว ลำไส้ก็จะผลัดเปลี่ยนเซลล์บุผิวทุกๆ สัปดาห์อยู่แล้ว
อันที่จริง มีเพียงรัฐเดียวในสหรัฐฯ คือ ฟลอริดา
ที่ยินยอมให้มีการสวนล้างทำความสะอาดลำไส้ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งก็พบว่า
มีรายงานเรื่องการติดเชื้อ การบาดเจ็บ
หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตจากกระบวนการดังกล่าว

คำตอบในเรื่องสุขภาพ
ที่ดีคงต้องคิดไปถึงหลักการเบื้องต้นง่ายๆ ในหนังสือ “สุขศึกษา”
(ที่ผมเรียนสมัยเด็กๆ) นั่นก็คือ ทานอาหารให้ครบหมู่และ
ถูกสัดส่วน ทานน้ำให้มากพอ นอนหลับสนิทอย่างเพียงพอ
และออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ นอกเหนือไปจาก “ทางสายกลาง” เหล่านี้แล้ว
ก็ให้ระวังตัวกันไว้บ้างก็ดีนะครับ เพราะว่า อะไรๆ
ที่เกินพอดีหรือสุดโต่งไปมากๆ หรืออ้างกันว่าดีเลิศ วิเศษนั้น
ก็มักจะไม่ค่อยจะดีจริงหรอกครับ

อยากได้สุขภาพที่ดีคงต้องลงแรงบ้าง
... ทางลัดสำหรับเรื่องนี้ คงไม่มีจริงกระมังครับ J  












ขอ
ขอบคุณสาระดีดีจาก
ดร.
นำชัย ชีววิวรรธน์
 ผู้เขียน และวิชาการ.คอม







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 17 เมษายน 2553    
Last Update : 17 เมษายน 2553 18:02:21 น.
Counter : 312 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.