ดื่ม 'น้ำขิง' มีประโยชน์




         ความเครียด
เป็นภาวะที่ไม่มีใครอยากประสบพบเจอ
แต่เชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่านความเครียดกันมาแล้วไม่มากก็น้อย
และแต่ละคนก็จะหาวิธีคลายเครียดที่แตกต่างกันออกไป
วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีจึงขอแนะนำ วิธีคลายเครียดด้วยการดื่มน้ำขิง
เพื่อผ่อนคลายที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเนื่องจากขิงเป็นสมุนไพรมากสรรพคุณ
ที่เราสามารถหารับประทานได้ง่าย ๆ แถม  รสชาติก็เผ็ดร้อน
กลิ่นก็หอมถูกปากถูกใจคนไทยอย่างเรา ๆ เสียด้วย

        
ขิงเป็นพืชล้มลุกมีลำต้นใต้ดินมีลักษณะคล้ายมือหรือที่เรียกว่า “เหง้า”
เปลือก เหง้ามีสีเหลืองอ่อนแต่เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว
จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น โดยขิงอ่อนมีสีขาวออกเหลือง
รสเผ็ดและมีกลิ่นหอม ยิ่งแก่จะยิ่งมีรสเผ็ดร้อน ลักษณะเป็นกอสูงประมาณ 90
เซนติเมตร ก้านใบเป็นกาบหุ้มซ้อนกัน ใบ
เป็นใบเดี่ยวออกสลับเรียงกันเป็นสองแถว มีรูปร่างคล้ายใบไผ่
ปลายใบเรียวแหลม ดอก มีสีขาวออกเป็นช่อบนยอดที่แยกออกมาจากลำต้น
ดอกมีลักษณะเป็นทรงพุ่มปลายดอกแหลม มีเกล็ดอยู่รอบ ๆ ดอกจะแซมออกมาตามเกล็ด
ผล มีลักษณะกลมแข็ง


ขิงมีคุณสมบัติ
ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้
อาเจียน หอบ ไอ ขับเสมหะ ซึ่งสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย
จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้
โดยวิธีนำมาทำยารับประทานใช้ขิงแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม
แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อได้ ส่วนขิงสดช่วยย่อยอาหาร
เนื่องจากทานมากจนเกินไปหรือมีอาการเมารถ
โดยวิธีทำยารับประทานนำขิงสดมาทุบให้แหลก
คั้นเอาแต่น้ำผสมกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และเกลือประมาณหยิบมือ
ดื่มทันทีจะช่วยลดแก๊ส แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติหรือจะจิบแก้ไอ ขับเสมหะก็ได้
นอกจากนี้การดื่มน้ำขิงร้อน ๆ ต้มหอม ๆ
กลิ่นของมันยังช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีอีกด้วย






ทั้งขิงแก่และขิงอ่อนยังให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกมากมาย
เช่น พลังงาน โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ
หากใครจะนำขิงไปปรุงอาหารเป็นขิงผัดเครื่องในไก่
หรือใส่ขิงรับประทานกับโจ๊กก็อร่อยแถมได้ประโยชน์เช่นกัน
แต่ข้อควรระวังคือขิงแก่จะมีรสชาติเผ็ดร้อนกว่า  ขิงอ่อน
หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจมีอาการเผ็ดร้อนจนน้ำหูน้ำตาไหลได้.






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:30:54 น.
Counter : 1096 Pageviews.  

วิธีดูแลสุขภาพของคนชอบคุยโทรศัพท์นาน



 
เวลาที่คุยโทรศัพท์นาน ๆ แล้วเคยสังเกตหรือไม่ว่าเกิดอะไรผิดปกติบ้าง
เพราะสมัยนี้การคุยโทรศัพท์นาน ๆ
เป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับวัยรุ่นยุคนี้ไปเสียแล้ว
โดยที่ไม่เคยคำนึงว่าการบริโภคการสื่อสารมากเกินไป
นอกจากจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมอันเคยชิน
และบางทียังส่งผลต่อสุขลักษณะอนามัยด้วย โดยส่วนมากจะมีอาการร้อนหู
หรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหูเลยทีเดียว...

สาเหตุ
ของอาการนั้น
มาจากการคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน
ซึ่งเมื่อเกิดอาการแล้ว ตัวเรายังคงแคะ หรือเกาก็จะทำให้ผิวหนังเป็นแผล
ดังนั้นเชื้อโรคต่าง ๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น
ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์
ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย
อาจทำให้เกิดเนื้องอกขึ้นมาได้ในที่สุด

วิธีป้องกัน ก็ง่ายมาก
โดยหันมาใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน
เนื่องจากจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
จากนั้นให้นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง
เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค


ทั้งนี้ ยังมีเหตุจากหูฟังด้วย จากการใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน
ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู
แล้วถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจนผิดคลื่นตลอดเวลา
ก็แสดงว่าเริ่มมีอาการประสาทรับเสียงเสื่อม


นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค
ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้อีกด้วย

ทางที่ดีควรเปิดเพลงในเครื่องเล่น ด้วยระดับความดังแค่ครึ่งเดียว
ไม่ควรเปิดดังจนเกินไป และควรเลือกสถานที่
รวมทั้งเวลาในการฟังเพลงให้เหมาะสม เพื่อให้หูได้หยุดพักบ้าง
และเหนือสิ่งอื่นใด ควรหลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น
เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้
ทั้งยังต้องหมั่นดูแลทำความสะอาดหูฟังอยู่เป็นประจำอีกด้วย

 
อย่างไรก็ตาม เราควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ
ให้เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป และดูแลสุขลักษณะให้ดีเป็นพิเศษ
เพื่อปิดกั้นช่องทางของโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
และเพื่อสุขภาพที่ดีของเราตลอดไป



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากWoman's Story







Free TextEditor




























 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:28:58 น.
Counter : 480 Pageviews.  

ผักต้านมะเร็ง




“มะเร็ง”
เป็นโรคร้ายที่เกิดกบคนไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โรคมะเร็งเกิดจากการที่เซลล์ของร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติจนกลาย
เป็นก้อนเนื้องอกชนิดร้ายแรงหรือมะเร็งขึ้นมา
ซึ่งสามารถบุกรุกทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียงและแพร่กระจายไปสู่อวัยวะต่างๆ
ทั่วร่างกายได้จึงทำให้เกิดอันตรายขึ้นมาในที่สุด
ในแต่ละปีประเทศของเราจะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ประมาณ 100,000
คนหรือเฉลี่ยวันละ 274 คน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 45,000 คน
หรือร้อยละ 68.4 ต่อประชากร 100,000 คน
ซึ่งถือได้ว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยมากที่สุด

        
สิ่งที่สำคัญของการจัดการโรคร้ายนี้ไม่ใช่การรักษาแต่เป็นการป้องกัน
วิธีที่ง่ายที่สุดแต่ได้ผลที่สุดนั่นคือ
การออกไปหาผักและผลไม้ปลอดสารพิษมารับประทาน
เหตุที่ต้องปลอดสารพิษก็เพราะว่าหากทานพืชผักผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารเคมี
จากยาฆ่าแมลง
แทนที่จะได้รับสารต้านมะเร็งอาจจะได้รับสารก่อมะเร็งเพิ่มขึ้นมาอีกก็เป็น
ได้ จากคุณประโยชน์อันมากมาย อาจแถมพ่วงด้วยอันตรายที่เราคาดไม่ถึง
แต่หากเราหาซื้อผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษมารับประทานก็มั่นใจได้เลยครับว่า...
เราจะได้รับคุณประโยชน์จากสารอาหารในผักผลไม้ต่างๆ
ได้อย่างครบถ้วนไม่มีของแถมแน่นอน
เกริ่นมามากมายเราไปดูผักผลไม้เหล่านั้นกันดีกว่า
ว่าผักผลไม้ชนิดไหนจะช่วยต้านมะเร็งได้อย่างไรบ้าง





มะเขือ
เทศ

        
มะเขือเทศได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ 1 ของบรรดาอาหารเพื่อสุขภาพ
ในมะเขือเทศมีกรดพี คูมาริก (p-coumaricacid) และกรดคลอโรจีริก
(Chlorogenic Acid) อยู่เป็นจำนวนมาก กรดเหล่านี้จะแย่งจับกับไนไตรท์
แล้วขจัดออกจากร่างกาย
ก่อนที่ไนโตรท์จะไปจับกับเอมีนส์กลายเป็นสารก่อมะเร็งชื่อไนโตรซามีนส์
การทานมะเขือเทศสดอย่างน้อย 7 ครั้งต่อสัปดาห์
จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ปอด และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง





พริก
        
สารแคปไซซิน ในพริกช่วยลดพิษของสารก่อมะเร็งได้
ช่วยไม่ให้มีการจัดตัวระหว่างไนไตรท์กับเอมีนส์ซึ่งจะกลายเป็นสารอันตราย
พริกยิ่งเผ็ดเท่าไรก็ยิ่งมีแคปไซซินมากเท่านั้น





ส้มและ
มะนาว

        
ในส้มและมะนาวมีสารลิโมนีน (Limonene) อยู่เป็นจำนวนมาก
ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นเอนไซม์ในร่างกายให้เพิ่มขึ้น เพื่อสลายสารก่อมะเร็ง
และกระตุ้นให้เซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่ฆ่าเซลล์มะเร็งมีความกระปรี้
กระเปร่าขึ้น





กระเทียม
        
กระเทียมช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
บางงานวิจัยระบุว่าสามารถลดได้ถึง 40% เมื่อกินมากพอ สาร
S-allylmercaptocysteine ช่วยลดการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมาก (50%)
และกระเทียมยังช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ที่จะทำหน้าที่ล้างพิษของสารก่อมะเร็ง
สารนี้จะมีขึ้นเมื่อทุบกระเทียมให้แตกก่อนแล้ววางทิ้งไว้ 10
นาทีก่อนจะนำไปใช้ ไม่ควรกินกระเทียมขณะท้องว่างอาจจะเกิดระคายเคือง
คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องได้





กะหล่ำ
ดอก

        
เป็นผักตระกูลมัสตาร์ดมีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็งออกจากเซลล์โดยมีสารซัล
โพรา เฟน ซึ่งไปลดการผลิตเอนไซม์ที่จะไปทำอันตรายสารพันธุกรรม DNA
ในเซลพืชวงศ์นี้ รวมทั้งบร็อกโคลี คะน้า และกะหล่ำต่างๆ
กระหล่ำดิบมีวิตามินซีสูง มีธาตุโพแตสเซียมกำมะถันและเส้นใยมาก





ขึ้นฉ่าย
หรือคื่นไฉ่

         มีสารต้านมะเร็ง เช่น
ทาไลด์และโพลีอเซทิลีน ทำให้สารก่อมะเร็งหมดฤทธิ์
โดยเฉพาะที่เกิดจากบุหรี่มีฤทธิ์ ลดการสร้างอสุจิ ช่วยคุมกำเนิด
ลดอัตราการตั้งภรรภ์
บางคนอาจแก้ได้หากกินก่อนหรือหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก





ถั่ว
เหลือง

         มีสารต้านมะเร็งในปริมาณค่อนข้างสูง
ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งที่เนื่องมาจากฮอร์โมน เช่น
มะเร็งเต้านม นอกจากนี้
ถั่วเหลือมีสารคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงไปแข่งกับฮอร์โมนในร่างกาย
เข้าสู่เซลล์โดยจับกับหน่วยรับบนเซลล์ที่เดียวกัน
แต่สารนี้เมื่อส่งสัญญาให้เซลล์เจริญเติบโตนั้นมีเพียง 1 ใน 1,000 เท่านั้น
ทำให้เซลล์เจริญเติบโตน้อยลงลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก
และป้องกันการเกิดมะเร็งสำหรับผู้ช่วย ช่วยลดการเกิดมะเร็งที่ระบบสืบพันธุ์
อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม





ชาเขียว
        

ใบชาเขียวได้มาจากการนำยอดใบชาสดผ่านกระบวนการอบเพื่อลดความชื่นโดยไม่ผ่าน
การหมักจึงมีสารกลุ่ม Polyphenol
เหลืออยู่จำนวนมากสารนี้ต่อต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินอี 20 เท่า
และมากกว่าวิตามินซีถึง 500 เท่า

        
ใบชาเขียวมีสารพอลิฟินอลซึ่งเปนสารแอนติออกซิแดนท์ที่มีบทบาทในการป้องกัน
โรค มะเร็ง งานวิจัยจากสถาบันวิจัยแห่งชาติญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่า
สารเคทีซิน (catechin)
ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในแทนนินของชาเชียวสามารถลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็ง
ได้ ดื่มชาเขียววันละ 4 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
ชาแก่ทำให้ท้องผูกดื่มก่อนนอนอาจทำให้ไม่หลับ
ชงชาไว้นานจะมีแทนนินออกมามากทำให้มีรสฝาดไม่น่าดื่ม
ปริมาณเหมาะสมจะช่วยย่อยอาหารควรใช้น้ำเดือดใส่ในใบชา 1 ช้อนชา ตั้งทิ้งไว้
3 – 5 นาทีก่อนดื่ม






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:27:29 น.
Counter : 2053 Pageviews.  

6 ช่วงเวลาอันตราย ของหัวใจ




"รถติดไหมคะ?" อาจไม่ใช่แค่บทสนทนาสั้น ๆ ที่ไร้ความหมาย
การที่คุณติดอยู่บนถนนกับการจราจรที่เป็นอัมพาต
จะทำให้ความดันโลหิตของคุณเพิ่มขึ้น และเสี่ยงหัวใจวายมากขึ้นถึง 3 เท่า
แต่ถนนหนทางไม่ใช่ปัญหาเดียวของโรคหัวใจเท่านั้น ยัง
มีสถานการณ์หรือช่วงเวลาอื่น ๆ ที่หัวใจของคุณแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ยิ่งถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีประวัติโรคหัวใจมาก่อน
ต้องระวังไว้ก่อนในเหตุการณ์ต่อไปนี้


1. ยามเช้า
        
นักวิจัยจากฮาร์วาร์ดประเมินว่า
ในยามอรุณเบิกฟ้าความเสี่ยงหัวใจวายจะเพิ่มขึ้น 40% ทำไมน่ะหรือ?
เพราะในขณะที่คุณตื่นนอน
ร่างกายจะหลั่งสารทั้งอะดรีนาลีนและฮอร์โมนความเครียดอื่น ๆ
ทำให้ความดันโลหิตพุ่งขึ้นสูง และต้องการออกซิเจนมากขึ้น นอกจากนี้
ด้วยความที่คุณขาดน้ำ เลือดจึงข้นและสูบฉีดลำบาก ซึ่งทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นภาระแก่หัวใจทั้งสิ้น

กัน
ไว้ก่อน :
ตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อเอาไว้บ้าง
คุณจะได้กดเลื่อนปลุกแล้วค่อย ๆ ตื่นส่วนคนที่ชอบออกกำลังตอนเช้า
อย่าลืมวอร์มอัพให้เข้าที่ เพื่อลดความเครียดต่อหัวใจ
สุดท้ายคนที่กินยาลดความดันโลหิตควรจะกินยาก่อนนอน
เช้าขึ้นมายาจะออกฤทธิ์ดีค่ะ

2.
เช้าวันจันทร์...อันตราย!

         ใคร ๆ
ก็ขยาดวันจันทร์กันทั้งนั้น และวิทยาศาสตร์
ก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมวันจันทร์ถึงน่ากลัว
อาจเป็นเพราะเราทั้งเครียดและหดหู่กับการต้องกลับไปทำงาน
เช้าวันจันทร์จึงพ่วงสถิติหัวใจวายมากกว่าปกติถึง 20%

กันไว้ก่อน : รีแลกซ์ให้เต็มที่ในวันอาทิตย์
แต่อย่าเผลอนอนดึกนะจ๊ะ ถ้านอนดึกทั้งวันเสาร์-อาทิตย์
และต้องตื่นตั้งแต่ไก่โหในวันจันทร์
ร่างกายของคุณจะอ่อนล้าและผิดจังหวะชีวิตเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
อย่ากระนั้นเลยนอนหลับและตื่นนอนเป็นเวลาทุก ๆ วันดีกว่าค่ะ

3. หลังอิ่มท้องกับมื้อหนัก
        
คนที่เข้าใจผิดว่าบุพเฟต์มีไว้กินให้คุ้ม
คงไม่รู้ว่าหัวใจได้รับผลกระทบเร็วและแรงแค่ไหน!
มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า อาหารที่มีทั้งไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง
จะทำให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้ง่าย

กันไว้ก่อน : ถ้ายอมตามใจปากจริง ๆ
ก็ควรกินอาหารแต่ละหมู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ นอกจากนี้
แอสไพรินก็อาจช่วยป้องกันไม่ให้เลือดข้นได้ค่ะ

4. ระหว่างทำ "ธุระส่วนตัว"
        
คุณไม่อยากหัวใจวายในขณะที่อยู่ในห้องน้ำแน่ ๆ
แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริงค่ะ!
ความเกร็งระหว่างถ่ายหนักจะเพิ่มแรงกดดันภายในหน้าอก
ทำให้เลือดไหลกลับไปเลี้ยงหัวใจได้ช้าลง

กันไว้ก่อน : กินอาหารที่มีกากใยมาก ๆ
อย่าปล่อยให้ขาดน้ำ และหลีกเลี่ยงการเกร็งท้องนะจ๊ะ

5. ระหว่างออกกำลังหนัก ๆ
        
หัวใจวายอาจเกิดขึ้นได้เพราะผู้ป่วยไม่คุ้นเคยกับการออกแรง
พร้อมกับที่ฮอร์โมนความเครียดพุ่งสูงขึ้น
ทำให้ทั้งความดันโลหิตและอัตราชีพจรพุ่งทะลุเพดาน

  กันไว้ก่อน :
จริงอยู่ที่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเสมือนเกราะป้องกันหัวใจ แต่ค่อย ๆ
เพิ่มความหนักในการออกกำลังจะดีกว่านะ

6. เมื่อยืนพูดต่อหน้าคนอื่น
        
บางครั้งหัวใจของคุณอาจรู้สึกว่า
การพูดต่อหน้าคนจำนวนมากเหมือนกับการออกกำลังที่ไม่เคยชินก็ได้นะ
เมื่อความตื่นเต้นกระสับกระส่ายถึงขีดสุด ความดันโลหิต อัตราชีพจร
และระดับอะดรีนาลีนจะจับมือกันพุ่งทะลุเพดาน ทั้งสามอย่างนี้ล่ะ
ที่ทำให้ความวิตกกังวลในเรื่องที่ต้องพูดเป็นเรื่องที่สำคัญรอง ๆ ลงไปเลย

กันไว้ก่อน : บางคนเตรียมรับมือโดยการกินยากลุ่ม
Beta-Blocker ก่อนพูดสุนทรพจน์
ขึ้นเครื่องบินหรือทำอะไรก็ตามที่อาจสร้างความกังวลมากกว่าปกติ



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากLisa







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:24:12 น.
Counter : 632 Pageviews.  

แนะวิธีการเลือกหมอน




         
โรงพยาบาลกรุงเทพแนะวิธีการเลือกหมอนที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้การนอนหลับดี
ขึ้น และลดอาการปวดคอและหลังได้
เนื่องจากกระดูกสันหลังของคนเรามีลักษณะคล้ายกับตัว S
ที่ช่วงหน้าอกจะงอไปข้างหลัง ช่วงคอจะงอมาด้านหน้า
ทำให้เวลานอนคนเราจำเป็นต้องมีหมอนหนุนคอ เพื่อให้ได้โค้งงอไปตามธรรมชาติ

 
หมอนที่ดีควรนุ่มหนุนสบายเพื่อ รองรับศีรษะ หนุนตั้งแต่ต้นคอถึงศีรษะ
ความสูงของหมอนประมาณ 4-6 นิ้ว หากนอนหมอนเตี้ยและนุ่มเกินไป
เวลานอนหมอนจะยุบลงทำให้แรงดันในหลอดเลือดสูง
โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
เมื่อตื่นขึ้นมาจะเกิดอาการมึนศีรษะ หน้าและหนังตาบวม
อาจทำให้มีอาการเหมือนคนตกหมอน ปวดเคล็ดต้นคอ และหันลำบาก


         
ส่วนหมอนที่สูง และแข็งเกินไปจะทำให้ส่วนของศีรษะสัมผัสกับหมอนน้อย
บริเวณที่สัมผัสกับหมอนเลือดจะไหลเวียนไม่สะดวก และทำให้คอตั้งมากเกินไป
เลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวกซึ่งอาจทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อกระดูกต้นคอ
ทับหลอดเลือดและเส้นประสาทหรือเกิดอาการเป็นเฉพาะที่ เช่น ปวดต้นแขน

         
แพทย์แนะนำผู้ที่เป็นโรคหัวใจ และปอดว่าควรจะนอนหมอนสูงเพื่อให้หัวใจ
และปอดทำงานเบาขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่มีไข้สูงควรหาหมอนน้ำให้หนุน
เพื่อให้ความเย็น และช่วยลดความร้อนที่ศีรษะให้ดีขึ้น



         
อาการปวดคอเวลานอนยังขึ้นอยู่กับ ท่าการนอนด้วย ท่านอนที่ดีคือท่านอนหงาย
และใช้หมอนนิ่มและไม่สูง ให้มีการรองรับส่วนเว้าของกระดูกคอ
หน้าไม่เงยไปข้างหลัง
ถ้าชอบนอนตะแคงควรใช้หมอนที่ไม่สูงเกินไปและมีหมอนข้างอีกใบไว้ระหว่างขา
หรืออาจจะใช้ผ้าขนหนูม้วนหนุนข้อมือด้านที่ตะแคงก็ได้ ท่านอนตะแคงที่เหมาะสม
คือหมอนต้องสูงเท่ากับระดับความสูงจากไหล่มายังศีรษะโดยศีรษะต้องอยู่ในแนว
เดียวกับกึ่งกลางลำตัว





          อีกสาเหตุหนึ่ง คือนอน
ตกหมอนซึ่งมีอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ
ความจริงแล้ว
ไม่ได้เกิดจากการนอนตกหมอน
แต่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างสะบักอาจเป็น
ด้านเดียวหรือสองด้านก็ได้

วิธี
แก้ไขอย่างง่ายๆ ทำได้ 2 วิธี คือนวดโดยใช้นิ้วมือกดบริเวณที่ปวดแรงๆ
แช่ไว้นานๆ ประมาณ 2 อึดใจเพื่อไล่เลือด
และกรดที่คั่งในกล้ามเนื้อออกไปเพื่อให้เลือดได้สะดวก


         
อีกวิธีหนึ่งคือใช้ความร้อนจะใช้ กระเป๋าน้ำร้อน
ผ้าชุบน้ำร้อนหรือใช้ขวดใส่น้ำร้อนห่อผ้า วางบริเวณที่ปวด และคลึงเบาๆ
ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่อักเสบคลายตัวได้






Free TextEditor
































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:20:09 น.
Counter : 1248 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.