อ้วน!ระวัง “ไขมันคั่งในตับ”
โรคของคนอ้วน ส่วนมากเราจะรู้จักกันแต่โรคเบาหวาน หัวใจหลอดเลือด และความดันโลหิตสูง ขณะที่หลายคนคงยังไม่ทราบว่า คนที่มีลักษณะ อ้วนลงพุงยังก่อให้เกิด "ภาวะไขมันคั่งในตับ" ได้โดยที่โรคนี้จะไม่แสดงอาการเตือนใด ๆ จนกระทั่งตับอักเสบและดำเนินโรคไปสู่ระยะตับแข็ง ตับวาย มะเร็งตับและเสียชีวิตในที่สุด
พญ.พนิดา ทองอุทัยศรีอายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิทให้ความรู้ว่าตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากอวัยวะหนึ่งของร่างกายมี หน้าที่เป็นแหล่งสะสมพลังงาน กำจัดสารพิษ ช่วยสร้างน้ำดีและโปรตีนที่สำคัญ ๆ ของร่างกาย ช่วยย่อยไขมัน โดยธรรมชาติตับของเราจะมีสีน้ำตาลแดง หากตับมีภาวะความเสี่ยงที่มีไขมันสะสมจะเริ่มกลายเป็นสีขาว เนื่องจากมีไขมันคั่งอยู่ในตับ!
ชนิดของโรคไขมันสะสมในตับแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆคือ ผู้ที่มีไขมันพอกตับโดยไม่มีสาเหตุหรือที่เกี่ยวข้องกับภาวะที่เป็นปัจจัย เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด(Metabolic Syndrome)หรือ มีภาวะดื้อต่ออินซูลินได้แก่โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เราเรียกไขมันสะสมในตับกลุ่มนี้ว่า"ไขมันคั่งในตับ" (Nonalcoholic Fatty Liver Disease หรือ NAFLD) ส่วนกลุ่มที่สอง พวกที่มีสาเหตุหรือกลุ่มไขมันสะสมในตับจากสาเหตุต่าง ๆ ที่พบบ่อยคือ การดื่มสุรารับประทานยา เช่น สเตียรอยด์,Amiodarone, Tamoxifen ฯลฯ ไวรัสตับอักเสบบีและซีโรคภูมิแพ้ การให้สารอาหารทางหลอดเลือด ภาวะที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทางพันธุกรรมบางอย่างและการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมาก ๆ
ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นไขมันคั่งในตับมักอยู่ในกลุ่มแรกมีเกณฑ์การวินิจฉัย คือ ต้องมีความผิดปกติอย่างน้อย 3 ใน5 ข้อดังต่อไปนี้ ได้แก่ 1.อ้วนลงพุง 2.ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากกว่า 150 มก./ดล.3.ระดับไขมันเอช-ดีแอล (HDL) คอ เลสเตอรอลในผู้ชายน้อยกว่า 40 มก./ดล.และผู้หญิงน้อยกว่า 50 มก./ดล.4.ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือทานยาลดความดันโลหิตอยู่และ 5.ระดับน้ำตาลขณะอดอาหารมากกว่า 110 มก./ดล.
อย่างไรก็ตามไขมัน เกิดจากแหล่งสะสมทั่วร่างกาย 3 แหล่งใหญ่ ๆ ได้แก่ ไขมันใต้ผิวหนังเช่นที่ตะโพก ต้นแขน และต้นขาไขมันที่ล่อง ลอยอยู่ในหลอดเลือดถ้ามีมากทำให้เกิดโรคไขมันในหลอด เลือดสูงและโรคเมตาบอลิกอื่น ๆ และไขมันอยู่ในท้องหรือเรียกว่า"โอเมนตัม" เป็นไขมันที่อันตรายมากกว่าไขมันที่อยู่ตามชั้นผิวหนังเพราะทำให้เกิดภาวะ ดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งอินซูลินเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ตับอ่อนของเราสร้างออกมาเพื่อควบคุม ระดับน้ำตาลในร่างกาย และควบคุมการเผาผลาญพลังงานหรือไขมันในร่างกาย คนที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือมีฮอร์โมนอินซูลินออกมา แต่ร่างกายไม่ตอบสนอง ดังนั้นคนที่อ้วนลงพุงหรือมีไขมันสะสมที่หน้าท้องมาก ๆ จะปล่อยสารบางอย่างออกมาทำให้ฮอร์โมนอินซูลินไม่ทำงานจึงมีความเสี่ยงเป็น เบาหวานมากกว่าคนอื่น โดยปกติร่างกายเผาผลาญไขมันต่าง ๆ จากเนื้อเยื่อนอกตับสามารถผ่านเข้าไปในตับได้แต่ตับก็มีขบวนการป้องกันไม่ ให้ไขมันสะสมแต่ต้องอาศัยฮอร์โมนอินซูลิน เมื่อไขมันเข้าไปเนื้อตับ บางส่วนตับจะส่งไขมันตัวนี้เข้าไปสลายให้เป็นพลังงานให้เราสามารถทำกิจวัตร ประจำวันได้ และไขมันส่วนที่เกินตับจะขับออกสู่กระแสเลือดได้แต่ถ้าเมื่อใดมีภาวะดื้อ อินซูลินขึ้นมาทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ มีการสลายไขมันออกมามากขึ้น เมื่อไขมันในเลือดมีมากก็เข้าสู่ตับมากขึ้น ในระยะแรกคนไข้อาจจะไม่มีอาการใด ๆ แต่บางรายอาจมีอาการปวดแน่นชายโครงด้านขวาหรืออาจตรวจอัลตราซาวด์เจอว่าตับ ขาวผิดปกติและตรวจเลือดก็อาจจะปกติทางการแพทย์เรียกว่า ไขมันสะสมอยู่เฉย ๆ แต่เวลาผ่านไปถ้าไขมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆตับจะมีการอักเสบขึ้นมาเพราะว่าไขมันตัวนี้จะปล่อยสารบางอย่างทำให้เกิดการ อักเสบของตับ เมื่อเวลานานเข้าจะดำเนินโรคไปสู่โรคตับแข็งโดยที่เราไม่ต้องดื่มเหล้า หรือไม่ได้เป็นไวรัสตับ
ส่วนใหญ่ถ้ามีไขมันพอกที่ตับอย่างเดียวอาการจะคงที่ แต่ส่วนที่ยังคุมเบาหวานไม่ได้ ยังอ้วนอยู่หรือยังไม่ออกกำลังกายและทานพวกอาหารหวานหรืออาหารมันอยู่ ก็จะเข้าสู่ระยะการอักเสบของตับ ซึ่งระยะนี้ถ้าเราไหวตัวทันประมาณ 65-75 เปอร์เซ็นต์จะรักษาได้ทันและอาจจะดีขึ้น แต่ถ้าไหวตัวไม่ทันประมาณ 9-20 เปอร์เซ็นต์จะมีการดำเนินโรคไปเป็นตับแข็ง ทั้งนี้เมื่อเข้าสู่ระยะตับแข็งประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์อาจจะทำให้เกิดมะเร็งตับตามมาด้วย
พญ.พนิดาแนะนำถึงวิธีการรักษาและการป้องกันว่า ควรทำควบคู่ไปด้วยกัน การรักษาและการป้องกันวิธีที่ 1 คือ การควบคุมอาหารวิธีที่ 2 คนที่เป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินถ้าเราสามารถลดน้ำหนักได้ก็จะดีขึ้นโดยการ ลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือ การคุมอาหารและการออกกำลังกายแนะนำว่าให้ออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาทีต่อวัน หรืออาทิตย์หนึ่งอย่างน้อยประมาณ 3-5 วันจะช่วยได้มาก
ในรายที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินซึ่งคนที่อ้วนคือผู้ชายที่มีเส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้วขึ้นไปส่วนผู้หญิงมากกว่า 32 นิ้วขึ้นไป คนกลุ่มนี้นอกจากจะควบคุมปริมาณอาหารไม่ให้มากเกินไปและยังมีข้อจำกัดอีกว่า ไม่ควรลดน้ำหนักเร็วเกินไป เพราะจะเป็นการสลายไขมันข้างนอกที่เร็วเกินไปอาจจะทำให้ไขมันข้างนอกยิ่งพรู เข้าตับมากขึ้น อาจทำให้เสียชีวิตได้จึงควรลดไม่เกิน 1-2 กก. ต่อเดือน ทั้งนี้การกินอาหารที่ดีที่สุดคือรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้านกรรมวิธีการทำก็ไม่ควรผัดหรือทอดบ่อยเกินไปหันไปใช้วิธีต้ม แกง ปิ้ง นึ่ง ย่างแทน
ส่วนใครที่ยังไม่อ้วนอย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องเช่น ทานอาหารที่มีไขมัน แป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป หรือการดำเนินชีวิตประจำวันแบบไม่ออกกำลังกายเลยทราบหรือไม่ว่าคุณกำลังอยู่ ในภาวะเสี่ยงเป็นไขมันคั่งในตับได้เช่นกัน
Free TextEditor
Create Date : 08 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 9:43:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1260 Pageviews. |
|
|