เคล็ดลับ : รักษาอาการตกหมอน



- อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอให้อยู่นิ่ง ๆ
จากนั้นให้นำกระเป๋าน้ำร้อนมาวางบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่กดแล้วเจ็บ ประมาณ
20-30 นาที และกดนวดบริเวณคอเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว อาการจะค่อย ๆ
ดีขึ้น ระวังอย่าให้น้ำร้อนมากเกินไป



- ถ้าไม่ประคบ
ก็อาจรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวลดอาการเจ็บปวด
ควรใช้ยาอย่างถูกวิธี เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงสูง



ถ้าไม่
ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรักษาให้ถูกต้อง







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 12:50:51 น.
Counter : 295 Pageviews.  

วิธีดูแลสุขภาพของคนชอบคุยโทรศัพท์ นาน



เวลาที่คุย
โทรศัพท์นาน ๆ แล้วเคยสังเกตหรือไม่ว่าเกิดอะไรผิดปกติบ้าง
เพราะสมัยนี้การคุยโทรศัพท์นาน ๆ
เป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับวัยรุ่นยุคนี้ไปเสียแล้ว
โดยที่ไม่เคยคำนึงว่าการบริโภคการสื่อสารมากเกินไป นอกจากจะส่งผลให้
เกิดพฤติกรรมอันเคยชิน และบางทียังส่งผลต่อสุขลักษณะอนามัยด้วย
โดยส่วนมากจะมีอาการร้อนหู หรือมีเลือดผสมหนองไหลออกมาจากหูเลยทีเดียว...


สาเหตุของอาการ
นั้น มาจากการคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน

ซึ่งเมื่อเกิดอาการแล้ว ตัวเรายังคงแคะ หรือเกาก็จะทำให้ผิวหนังเป็นแผล
ดังนั้นเชื้อโรคต่าง ๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น
ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์
ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย
อาจทำให้เกิดเนื้องอกขึ้นมาได้ในที่สุด

วิธี
ป้องกันก็ง่ายมาก โดยหันมาใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน
เนื่องจากจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
จากนั้นให้นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง
เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค


ทั้งนี้ ยังมีเหตุจากหูฟังด้วย
จากการใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง
ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู
แล้วถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจนผิดคลื่นตลอดเวลา
ก็แสดงว่าเริ่มมีอาการประสาทรับเสียงเสื่อม


นอกจากนี้หูฟังที่
ใช้ยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค
ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้อีกด้วย

ทางที่ดีควรเปิดเพลงในเครื่องเล่น ด้วยระดับความดังแค่ครึ่งเดียว
ไม่ควรเปิดดังจนเกินไป และควรเลือกสถานที่
รวมทั้งเวลาในการฟังเพลงให้เหมาะสม เพื่อให้หูได้หยุดพักบ้าง
และเหนือสิ่งอื่นใด ควรหลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น
เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้
ทั้งยังต้องหมั่นดูแลทำความสะอาดหูฟังอยู่เป็นประจำอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม
เราควรที่จะใช้โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเพลงเอ็มพี 3 ฯลฯ ให้เหมาะสม
ไม่มากจนเกินไป และดูแลสุขลักษณะให้ดีเป็นพิเศษ
เพื่อปิดกั้นช่องทางของโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
และเพื่อสุขภาพที่ดีของเราตลอดไป




แหล่งที่มา : Woman's Story





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 12:47:56 น.
Counter : 325 Pageviews.  

อาหารคลายร้อน
































"ข้าวแช่"
เมนูโบราณกินคู่หน้าร้อน


       อันที่จริง
ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การกิน "ข้าวแช่" เป็นอย่างยิ่ง
ที่กินแล้วช่วยให้ชื่นฉ่ำคอ เย็นกาย สบายท้อง ชื่นใจกับกลิ่นหอมๆ
ของดอกมะลิลอย กินกับเครื่องเคียงสารพัดอย่าง
ที่กินแล้วช่วยให้อิ่มท้องแถมกินแล้วช่วยคลายร้อนได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว

       ว่า
กันว่าข้าวแช่เป็นอาหารโบราณ
ที่มาจากชาวมอญที่ทำกันในวันสงกรานต์เพื่อถวายพระและนำไปให้ผู้เฒ่าผู้แก่
ที่เคารพนับถือ และต่อมาข้าวแช่ได้เข้าไปเป็นอาหารในวัง
เป็นที่นิยมกันสืบทอดมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 จึงเรียกกันว่า "ข้าวแช่ชาววัง" และนิยมกินกันในช่วงหน้า
ร้อนมาจนถึงปัจจุบันนี้

และการกินข้าวแช่ก็มีข้อแนะนำกันสักนิด คือ
อย่าตักกับข้าวที่เป็นเครื่องเคียงต่างๆ มาใส่ในชามข้าวแช่
ควรตักเครื่องเคียงกินเป็นคำเสียก่อนแล้วค่อยตักข้าวกินตาม
เพราะไม่อย่างนั้นไขมันจากเครื่องเคียงจะลอยเป็นแผ่นอยู่บนข้าว ดูไม่น่า





















หอมหวานมันกับ
"ข้าวเหนียวมะม่วง"

       เมื่อฤดูร้อนมา
ถึง อีกหนึ่งของกินไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ "ข้าว
เหนียวมะม่วง"
 ซึ่งกลายเป็นของกินคู่หน้าร้อนที่ชวนกินไป
เสียแล้ว เพราะเมื่อยามที่ได้กินมะม่วงสุกหอม กับข้าวเหนียวมูนนุ่มๆ
ราดน้ำกะทิหอมหวานมัน เป็นอะไรที่เลิศลิ้นเสียเหลือเกิน

       แล้ว
การกินข้าวเหนียวมะม่วงให้อร่อยนั้น
นอกจากจะต้องมีข้าวเหนียวมูนที่อร่อยหอมหวานมุนนุ่มลิ้นแล้ว
การเลือกมะม่วงที่นำมากินคู่กับข้าวเหนียวนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งมะม่วงที่นิยมนำมากินนั้นก็มีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ "มะม่วงอกร่อง" ลักษณะมีขนาดผลค่อนข้าง
เล็ก รูปทรงผลค่อนข้างแบน ตรงส่วนท้องเป็นทางยาวจนเห็นได้ชัด มีเสี้ยนน้อย
เมื่อแก่จัดผลสุกเต็มที่ จะมีผิวของเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง
มีกลิ่นหอม เนื้อมะม่วงจะสีเหลืองเนียนละเอียด รสหวานจัด และอีกพันธุ์คือ "มะม่วงน้ำดอกไม้" มีลักษณะผลขนาดใหญ่
ผลอ้วนเกือบกลม หัวใหญ่ปลายแหลม ผลค่อนข้างยาว เนื้อมาก เมล็ดเล็ก มีผิวบาง
เมื่อผลสุกจะมีผิวสีเหลือง มีกลิ่นหอม เนื้อละเอียดมีเสี้ยนน้อย
รสหวานนุ่มกินอร่อยลิ้น























"ไอศกรีม" หวานเย็น คลายร้อนชื่นใจ

"ไอศกรีม" หรือ "ไอติม" เป็น
ของกินเย็นๆ หน้าร้อน ที่ไม่ว่าเด็กหรือว่าผู้ใหญ่
หากเห็นไอศกรีมเป็นไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาไอศกรีมกินกันให้อร่อยคลายร้อนเป็น
ทุกรายไป
หลายคนที่ชอบกินไอศกรีมจะรู้กันบ้างหรือเปล่าว่าไอศกรีมนั้นมีที่มาที่ไป
อย่างไร?? เราไปสืบเสาะหาข้อมูลได้ความมาว่า

"ไอศกรีม" (Ice Cream)
คนทั่วไปมักคิดว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากตะวันตก แต่จริง ๆ
แล้วกำเนิดในประเทศจีนนี่เอง เกิดจากการนำหิมะบนยอดเขามาผสมกับนํ้าผลไม้
และกินในขณะที่หิมะยังไม่ทันละลายดี จนปลายศตวรรษที่ 13
มาร์โคโปโลเดินทางไปจีนและชื่นชอบ
จึงนำสูตรกลับไปอิตาลีและมีการเติมนมลงไปกลายเป็นสูตรของเขาโดยเฉพาะ
และแพร่หลายไปในอิตาลี ฝรั่งเศสและข้ามไปอังกฤษ
คนอิตาลีถือว่าตนเองเป็นต้นตำรับไอศกรีมแบบที่นำมาปั่นให้เย็นจนแข็ง
เรียกว่าเจลาติน (Gelatin) แล้วแพร่หลายไปในฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 16
ข้ามไปอเมริกา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกันมาก


สำหรับในเมืองไทยไอศกรีมเข้ามาช่วงไหนไม่มีหลักฐานแน่ชัด
แต่คาดว่าคงมาหลังสมัย ร.5 ซึ่งมีการผลิตนํ้าแข็งกินเอง ไอศกรีมตอนนั้น
ทำจากนํ้าหวานหรือนํ้าผลไม้นำไปปั่นเย็นจนแข็ง ไม่มีนมหรือครีมผสมด้วย
เรียกว่า "ไอติม" ใช้แรงคน
ในการปั่น
























"ลอดช่อง" ลองแล้วจะรัก

       ของ
หวานที่มีชื่อเสียงและเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่งต้อง "ลอดช่อง"งานนี้เราไม่เกี่ยงร้าน
ว่าจะเป็นลอดช่องไทยหรือลอดช่องสิงคโปร์ขอเพียงอร่อยดับร้อนเป็นใช้ได้

       ก่อน
อื่นขอพาไปรู้จักความแตกต่างของลอดช่องสองประเภทนี้ก่อน
ลอดช่องสิงคโปร์นั้น แท้จริงแล้วต้นกำเนิดไม่ได้มาจากประเทศสิงคโปร์
แต่ต้นกำเนิดอยู่ในประเทศไทยนี่เอง แตกต่างจากลอดช่องไทยตรงที่
ใช้แป้งมันสำปะหลังมาปั้น และนวดให้เหนียว รับประทานกับกะทิสด และน้ำเชื่อม
น้ำแข็งป่น คำว่า สิงคโปร์ มาจาก บริเวณที่ตั้งร้านนี้ ที่เป็นเจ้าแรก
ในการทำ 
"ลอดช่อง
สิงคโปร์"

       เพราะเมื่อประมาณ 60
ปีก่อน ร้านนี้บังเอิญไปตั้งอยู่บริเวณ หน้าโรงภาพยนต์สิงคโปร์ (เดิม)
หรือโรงหนังเฉลิมบุรี บนถนนเยาวราช และเมื่อลูกค้าจะไปทาน ก็มักจะเรียกว่า "ไปทานลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์" สุด
ท้ายก็เรียกให้สั้นลงว่า "ลอดช่องสิงคโปร์" แทน

       ส่วน
ลอดช่องไทยเก่าแก่ขนาดพบข้อความปรากฏอยู่บนศิลาจารึก เอ่ยถึงชื่อขนมไทยไว้ 4
ชนิดนั่นก็คือ เม็ดแมงลัก ลอดช่อง ข้าวตอกและข้าวเหนียว
ซึ่งจะตักใส่มาในถ้วยโดยมีน้ำกะทิแยกมาไว้เติมต่างหาก
ใครอยากกินอะไรก็เลือกตักตามนั้น

        
บางตำราสันนิษฐานว่าอาจเกิดในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี
พ.ศ.2215-2220เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว หลังจากนวดข้าวหรือช่วยกันทำงานต่างๆ
เสร็จแล้วพวกผู้หญิงจะเตรียมขนมทั้ง 4 ชนิดนี้ไว้เลี้ยงหลังเลิกงานอยู่เสมอ
จนเรียกการเลี้ยงขนมแบบนี้ว่า ประเพณี 4 ถ้วย ขนมไทย ทั้ง 4
ชนิดนี้จะมีส่วนผสมหลักอยู่เพียง 3 อย่าง คือ แป้งข้าวเจ้า
กะทิและน้ำตาลเท่านั้น ขนมของคนไทยในยุคต่อๆ มาก็ยังคงมีส่วนผสมทั้ง 3
ส่วนนี้ประกอบอยู่ด้วยเสมอ






































Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 12:46:30 น.
Counter : 631 Pageviews.  

ยามเคร่งเครียดชายหญิงมักคิดสวนทาง
































บุรุษเพศจะพยายามหนีห่างจากสังคม
แต่ผู้หญิงกลับหันเข้าหาสังคม
บางคนอาจจะเข้าไปเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์...


นัก
จิตวิทยาสหรัฐฯค้นพบว่า ผู้ชายกับผู้หญิง
จะประพฤติสวนทางกันเมื่อยามเครียด

โดยสตรีจะพยายามผูกมิตรกับคนต่างๆ หรือไม่ก็หันเข้าหาเครือข่ายทางสังคม
แต่ฝ่ายบุรุษเพศกลับทำตัวเป็นคนหนีห่างโลก

ทีมนักจิตวิทยาของมหา
วิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ได้พบในการศึกษาว่า เพศทั้งสองเมื่อเวลาเครียด ต่างจะประพฤติสวนทางกัน

นัก
วิทยาศาสตร์เคยบอกไว้ก่อนหน้าว่า คนเราเมื่อเกิดเครียดขึ้นมา เช่น
ต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าหนักๆ เรามักจะทำอยู่ 2 ทาง คือไม่สู้ ก็หนี แต่บัดนี้นักจิตวิทยาพบว่า
เป็นแต่เฉพาะกับผู้ชายเท่านั้น


บุรุษเพศจะพยายามหนีห่างจากสังคม
แต่ผู้หญิงกลับหันเข้าหาสังคม

บางคนอาจจะเข้าไปเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ด้วยซ้ำ.




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย
รัฐ





Free TextEditor































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 12:28:35 น.
Counter : 307 Pageviews.  

9 โรคร้ายออฟฟิศเกิร์ลพึงระวัง

































ความไม่มีโรคเป็นลาภ
อันประเสริฐ ถือเป็นสัจจธรรมที่มีคนบางส่วนตระหนัก
แต่ก็ยังมีอีกบางส่วนที่ยังไม่รู้ซึ้ง จนกว่าจะล้มเจ็บป่วยนั่นแล



ดัง
นั้นการสามารถป้องกันความเจ็บป่วยไว้ได้ ย่อมจะดีกว่าแน่นอน
เพราะคนป่วยต่อให้ร่ำรวยแค่ไหนก็คงหาความสุขได้ยาก จริงไหมคะ


สรรมาหาเล่า..ขอเตือนสาว
หนุ่มออฟฟิศไว้แต่ตรงนี้เลยนะคะว่าอย่าละเลยปัญหาสุขภาพ
หรือนึกว่าอยู่ในห้องแอร์ปลอดภัยกว่า..มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ว่าภัยร้ายชาวออฟฟิศมีอะไรบ้าง



1.ยิ่ง
เครียดยิ่งร่วง ยิ่งร่วง = = " โอยยิ่งเครียด


แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่คุณ
อาจไม่เคยคิด นั่นก็คือการขาดแสงอาทิตย์?
จริงหรือ??
สังเกตหรือไม่ส่วนใหญ่แล้วพนักงานฯ
จะไม่ค่อยได้รับแสงแดดในยามเช้า แดดในยามเช้าจะช่วยให้เราสังเคราะห์วิตามิน
K ที่จำเป็นต่อร่างกายรวมถึงหนังศีรษะด้วย



2. อาการปวดหัว, ไมเกรน, อัลไซเมอร์, เบลอเป็นกิจวัตร


สาเหตุก็คงทราบโดยทั่วไปด้วยว่าเกิดจากความเครียด
แต่สาเหตุอีกประการที่น่าสนใจคือ การรับประทาน
ท่านที่มีอาการดังกล่าวทานสิ่งเหล่านี้หรือไม่ แอลกอฮอล์ คาร์เฟอีน (กาแฟ
น้ำอัดลม ยาชูกำลัง) อาหารไขมันสูง
อาหารประเภทเนื้อสัตว์ 90% ของอาหารหลัก

ถึงแม้ว่าอาการอัลไซเมอร์จะเป็นอาการสมองเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ
แต่สาเหตุหลักๆ ของอาการสมองเสื่อมอื่นๆ ก็คือ การรับทานอาหารดังกล่าว
อีกสาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือการขาดการออกกำลังกาย โดยปรกติเราต้องออกกำลังกายประมาณ 10
ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย



3.อาการปวดตา น้ำตาแห้ง..เรตินาผิดปรกติ


นอกจากความเครียดแล้วก็เหตุใหญ่ๆ ก็คือ การนั่งหน้าจอเกินวันละ 6
ชั่วโมง และการเพ่งอยู่หน้าจอในที่มืด (ดูเวปอะไรหนอต้องเพ่งในที่มืด)
รวมทั้งการขาดวิตามิน A และ B -complex



4. อาการไซนัส เป็นหวัด คัดจมูก ภูมิแพ้


ก็วันๆ
จำศีลอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ถ้าเครื่องปรับอากาศเป็นรุ่นประหยัด
ไม่มีตัวกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ อาการเหล่านี้จะถามหาแน่นอน
ควรออกไปสูดอากาศข้างนอก...นอก กทม.บ้าง ปอดน้อยๆ
จะได้ไม่พังก่อนเวลาอันควร



5.ปาก...หมา
ไม่ใช่ๆ ปากเหม็นตะหาก


อันเนื่องมาจากความเครียด
แบคทีเรียจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาวะที่คุณเครียด และมีอาหาร
อาหารพวกกาแฟ แอลกอฮอล์ รวมทั้งการพูดจา
ที่น้อยกว่าปรกติ
ทำให้น้ำลาย...บูด...ดังนั้นปากจึงแห้งและแบคทีเรียก็จะย่อยน้ำลาย

และฟันฟางของท่านๆ แล้วปล่อยแก๊สออกมา



6. อาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดข้อ ปวดนิ้ว รูมาตอย รูมาติก 2
อย่างหลังไม่ใช่ฮับ


โดยมากเกิดจากอาการนั่งทำ
งานผิดท่าทาง นั่งเก้าอี้โต๊ะที่ไม่รองรับต่อการทำงาน แต่ท่านรู้หรือไม่
แม้ท่านนั่งถูกท่าแล้ว แต่หากนั่งเป็นเวลานานๆ ก็เมื่อย



7. อาการ....อ้วน...อ้วน...อ้วนก็อ้วน อ้วน อ้วน


นึกถึงลูกโป่ง
ถ้าเราใส่น้ำเข้าไปโดยเจาะรูให้มันออกน้อยๆ

มันก็บวมขึ้นๆๆๆ เช่นกัน ทุกวันเรากินอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ
มีพลังงานมากมายเข้าแต่ออกน้อยนิดมานก็อ้วนเป็นธรรมดา
โดยที่ยาลดความอ้วนยี่ห้อไหนก็ช่วยไม่ได้
ยกเว้นยานั้นจะทำให้ไขมันในตัวท่านเปลี่ยนเป็นพลังงานทั้งหมด



8.อาการโรคกระเพาะ กระเพาะคราก ท้องอืด ท้องเฟ้อ
เรอเหม็นเปรี้ยว


การกินอาหารแบบเร่งรีบ
ทำให้กระเพาะและระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ และการกินไม่เป็นเวลา
กินกาแฟ....



9.ริดสีดวง อ่านไม่ผิด ริด -
สี - ดวง


เกิดจากการที่ท่านนั่งกันวันหนึ่งๆ
กี่ชั่วโมงกัน ไหนจะ OT อีก
บั้นท้ายท่านก็รับการกดทับเส้นเลือดดำบริเวณปลายลำไส้ก็เกิดอาการเลือดคั่ง
บวมเป่งสิทีนี้ ยิ่งน้ำหนักมาก อาการก็เป็นไว ควรลุกเดินบ้าง.













ที่มา
ผู้หญิงนะคะ








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 30 เมษายน 2553    
Last Update : 30 เมษายน 2553 12:26:44 น.
Counter : 309 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.