Group Blog
All Blog
<<< ตัวที่เป็นปัญหาคือใจ >>>











"ตัวที่เป็นปัญหาคือใจ"

วิธีกินของพระท่านกินเพื่ออยู่

ไม่ได้กินเพื่อตัวของท่าน กินเพื่อคนใช้

 เลี้ยงคนใช้ เลี้ยงคนรับใช้ บางท่านไม่ได้กิน

 อาหารของท่านก็คือความสงบ

ถ้าใจสงบแล้วมันไม่หิว มันไม่หิวอาหาร

 ให้มันอดข้าว มันก็อดได้

 พระพุทธเจ้าอดข้าวได้ตั้ง ๔๙ วันเพราะใจไม่หิว

ร่างกายนี้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

แต่ใจไม่เดือดร้อน ใจสงบ

 เพียงแต่ว่ายังไม่สงบแบบถาวร

สงบแบบยังมีความทุกข์อยู่

 เพราะว่ามันยังไม่ได้กำจัดตัวกิเลส

 ท่านก็เลยหยุดเลิกอดอาหาร

อดอาหารใจก็ยังทุกข์อยู่ ใจก็ยังอยากกินอยู่

 ก็เลยยังไม่ใช่ทาง อดอาหารเฉยๆ ไม่ใช่ทาง

 ต้องมาอดความอยาก ต้องหยุดความอยาก

 ร่างกายจะตายแล้วมันก็ยังมีความอยากอยู่

 ก็เลยแทนที่จะไปทรมานร่างกาย

ก็เลิกทรมานร่างกาย

 มารู้ว่าตัวที่เป็นปัญหาคือใจ

 คือความอยากที่มีอยู่ในใจ

เวลาเกิดความอยากขึ้นมานี้หิวเลย

 โยมกินข้าวอิ่มๆ นี้เดี๋ยวเห็นขนมขึ้นมาก็หิวแล้ว

 ทั้งๆ ที่ท้องมันแน่นอยู่อย่างนี้ก็ยังอยากกินอยู่

 แล้วถ้าไม่ได้กินก็หงุดหงิดไม่สบายใจ

 ร่างกายมันถึงพองขึ้นมาเป็นตุ่มไปทุกวันนี้

 แล้วก็ไปโทษว่าเป็นยีนส์เป็นอะไรทำไม

 มันเป็นตัณหาความอยากทั้งนั้นแหละ

บางคนก็ไปโทษเป็นดีเอ็นเออันโน้นไป

ถ้าหยุดความอยากได้ไม่มีวันอ้วนหรอก

 ถ้าเรามาทำใจให้สงบได้แล้ว

เราก็ไม่ต้องใช้ร่างกาย

 ไม่มีร่างกายก็ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน

 ไม่ต้องกลับมามีร่างกายอันใหม่

 ถ้าเรายังต้องใช้ร่างกายนี้อยู่

หลังจากกายนี้ตายไป

 เราก็กลับมาเกิดใหม่

 กลับมาทรมานใหม่มาทุกข์ใหม่

 มาดิ้นรนหากินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกัน

 หาเงินหาทองมาซื้อความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน

แล้วก็มาทุกข์กับประกันชีวิต

ประกันภัยประกันสุขภาพ

มันก็กลับมาเจอปัญหาแบบเดิม

เจอความทุกข์แบบเดิม

 มันก็จะกลับมาอย่างนี้แหละ

 พวกเรากลับมาเกิดมาไม่รู้กี่ล้านรอบแล้ว.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมมะบนเขา

วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 มีนาคม 2560
Last Update : 15 มีนาคม 2560 10:47:02 น.
Counter : 789 Pageviews.

0 comment
<<< ปัญญาสอนใจ >>>










“ปัญญาสอนใจ”

ต้องทำไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวมันก็จะชำนาญขึ้น

 ตอนต้นก็แบบล้มลุกคุลุกคลานไป ทำไป

ต่อไปมันก็จะชำนาญขึ้นไวขึ้น

 แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น แต่กำลังนี้สำคัญ กำลังใจ

 คือ ความหยุดใจนี้ต้องมีกำลังหยุดใจหยุดกิเลส

 บางทีเรามีปัญญาแต่เราใช้มันแล้วก็หยุดมันไม่ได้

เพราะเรามีกำลังน้อย กำลังของใจก็คือสมาธิ

ถ้าเรานั่งสมาธิบ่อยนั่งได้นานมันจะมีกำลังใจมาก

 เวลาใช้ปัญญาพิจารณาว่าเป็นไตรลักษณ์

 เป็นอสุภะ เราก็จะหยุดความอยากได้

แต่ถ้าเราไม่มีกำลังไม่มีสมาธิ

ถึงแม้เราจะรู้ว่ามันเป็นไตรลักษณ์เป็นอสุภะ

แต่ความอยากมันก็ยังมีกำลังเหนือกว่า

 มันก็ยังทำให้เราทุกข์ทำให้เราอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

 อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 ฉะนั้นพยายามฝึกนั่งสมาธิให้มากๆ

 สมาธินี้เป็นกุญแจดอกสำคัญ

สู่การใช้ปัญญาตัดกิเลส

การใช้ปัญญาดับความทุกข์ต่างๆ

ปัญญาจะดับความทุกข์ได้อย่างถาวร

ส่วนสมาธิจะดับได้เพียงชั่วคราว

 ดับได้ในขณะที่เราเข้าไปในสมาธิ

เวลาเรานั่งสมาธิใจสงบนี้

ความทุกข์ทั้งหลายหายไปหมด

 ความอยากทั้งหลายหายไปหมด

แต่พอเราออกจากสมาธิมา

เดี๋ยวเราเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เห็นคนนั้นคนนี้

ได้ยินสิ่งนั้นสิ่งนี้ความอยากก็จะผุดขึ้นมาแล้ว

 ความไม่สบายใจต่างๆ ก็จะผุดขึ้นมา

ถ้าเราใช้ปัญญาแล้วเรายังสู้ความอยากไม่ได้

ก็แสดงว่ากำลังเรายังไม่พอ

 แต่ถ้าเราใช้ปัญญาแล้วเราหยุดความอยากได้

 เห็นว่ามันเป็นทุกข์ เห็นว่ามันไม่เที่ยง

 เห็นว่ามันไม่ไช่ของเรา

 แล้วเราก็หยุดความอยากในสิ่งนั้นได้

ก็แสดงว่าเรามีกำลังพอ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องเบา

 มันเรื่องไม่หนักกิเลสมันไม่แรง

 ความอยากมันไม่หนักมันไม่รุนแรง มันก็แก้ได้

 แต่ถ้าไปเจอความอยากที่มันรุนแรง

 อยากได้มากๆ อย่างนี้บางทีมันก็แก้ไม่ได้

ก็ต้องพยายามทำสมาธิให้มากขึ้น

สมาธิกับปัญญานี้มันเป็นของคู่กัน

เป็นของที่สนับสนุนกัน สมาธิก็สนับสนุน

ให้การใช้ปัญญานี้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 ปัญญาก็เป็นเครื่องมือ

ที่จะใช้ทำลายกิเลสอย่างถาวร

 สมาธิเองไม่สามารถที่กำจัดกิเลสได้อย่างถาวร

 เพียงแต่กดมันไว้

ท่านบอกว่าเหมือนกับหินทับหญ้า

เวลาเราเอาหินไปทับหญ้า

 หญ้ามันก็งอกขึ้นมาไม่ได้

 พอเรายกหินออกไป

เดี๋ยวหญ้ามันก็งอกเงยขึ้นมาใหม่

 เพราะว่ามันยังไม่ตาย รากมันยังอยู่ในดิน

ถ้าอยากจะให้หญ้าตายไม่งอกขึ้นมา

เราก็ถอนรากถอนโคนมันขึ้นมา

 แต่สมาธินี้ไม่ได้เป็นตัวที่จะถอนรากถอนโคน

ของกิเลสตันหาเหมือนกับหญ้า

 หินไม่สามารถถอนรากถอนโคนของหญ้า

 หินเพียงแต่ทับหญ้าเอาไว้ สมาธิก็ทับกิเลสไว้

 เพราะสมาธิไม่มีความสามารถ

ที่จะถอนรากถอนโคนของกิเลสได้

เหมือนกับหินไม่มีความสามารถ

ที่จะถอนรากถอนโคนของต้นหญ้าได้

 คนที่จะต้องถอนก็คือคน

ที่อยากจะถอนรากของหญ้าขึ้นมา

 ปัญญานี่แหละ

คือผู้ที่จะเป็นคนถอนรากของกิเลส

 กิเลสเหมือนต้นหญ้า

ส่วนรากของกิเลสนี้ก็คือความหลง

ความหลงนี้เป็นรากของกิเลส

ถ้าอยากจะให้กิเลสตาย

ก็ต้องถอนรากของกิเลสขึ้นมา

 ผู้ที่จะถอนรากของกิเลสได้ก็คือปัญญา

 เพราะรากของกิเลสก็คือความหลง

 ความเห็นผิดเป็นชอบนั่นเอง

เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

 เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

 เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเราว่าเป็นของเรา

เราจึงต้องเอาปัญญามาสอนใจ

เพื่อมาแก้ความหลง เวลาเห็นอะไร

ต้องเห็นว่ามันเป็นทุกข์ไม่ใช่เป็นสุข

เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่เที่ยง

 เวลาได้อะไรมา ใหม่ๆ มันก็สุข

 แต่เดี๋ยวซักระยะหนึ่งมันก็เปลี่ยนไป

มันเสื่อมไป มันเสียไป

ความสุขนั้นก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

 มันไม่เป็นของเรา

เราไม่สามารถไปสั่งมันไปบังคับมัน

ให้มันเป็นไปตามความต้องการของเราได้

 เวลามันจะเปลี่ยนมันก็จะเปลี่ยน

 เวลามันจะเสื่อมมันก็เสื่อม เวลาจะเสียมันก็เสีย

 เวลามันจะจากเราไปมันก็จะจากเราไป

นี่คือความรู้ที่เราไม่มีกัน

 เราไม่มองแบบไตรลักษณ์

 เรามองเพียงแต่เห็นว่าดี อยากได้ ชอบ

 ได้มาแล้วมีความสุข จะเห็นเพียงเท่านี้

จะไม่เห็นว่ามันเสื่อมมันต้องเปลี่ยน

แล้วเราไปบังคับไปห้ามมันไม่ได้

 เวลาที่เขาเปลี่ยนไปเวลาที่เขาเสื่อมไป

นี่เป็นปัญญา ปัญญาที่จะสอนใจ

ไม่ให้หลงกับสิ่งต่างๆ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 มีนาคม 2560
Last Update : 11 มีนาคม 2560 9:52:10 น.
Counter : 849 Pageviews.

0 comment
<<< จะสงบต้องอยู่กับเรื่องเดียว >>>












"จะสงบต้องอยู่กับเรื่องเดียว"

เราบังคับใจให้เราอยู่ในกรอบของการปฎิบัติ

 ถึงแม้จะอยู่ในกรอบแล้ว ถ้ายังใจลอยอยู่

คิดถึงบ้านคิดถึงแฟนอยู่ ยังคิดถึงลูกอยู่

ยังคิดถึงสมบัติข้าวของเงินทองอยู่

ต่อให้เดินจงกรม สิบชั่วโมง

 นั่งสมาธิสิบชั่วโมง ใจก็จะไม่มีวันสงบ

จะสงบต้องอยู่กับเรื่องเดียว

 อยู่กับพุทโธพุทโธอย่างเดียว

 หรืออยู่กับการงานที่เรากำลังทำอยู่

 อย่าคุยกันเวลามาทำงานร่วมกันอย่าคุยกัน

 ทำเหมือนโกรธกันเกลียดกัน

 มาทำงานแบบไม่ต้องมาทักทายกัน

ถามสารทุกข์สุกดิบกัน

 อันนั้นเรื่องของทางโลก

 เรื่องของทางธรรมนี้

เราไม่ต้องการถามเรื่องสารทุกข์สุกดิบ

 เรารู้แล้วทุกคนทุกข์ ถึงมาอยู่ที่นี่

ไม่ต้องถามหรอกสุขหรือไม่สุข

 ทุกข์ทั้งนั้นแหละถึงมา

 มาเพื่อมาดับความทุกข์กัน

วิธีดับความทุกข์ก็คืออย่าคุยกัน

ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง

ทำเสร็จก็แยกกันไปทำหน้าที่ส่วนตัวต่อไป

 แล้วรับรองได้ว่าจิตจะเจริญก้าวหน้า

 นั่งสมาธิไม่นาน จิตก็จะสงบได้

พอจิตสงบ ก็ดึงให้มันมาคิดทางปัญญาได้

 ถ้าจิตไม่สงบ กิเลสมันไม่ยอม

ให้ดึงมาคิดทางปัญญา

 มันจะชอบดึงให้ไปคิดถึง

เรื่องนั้นเรื่องนี้ คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้

มันจะไม่ให้มาคิดถึงเรื่องไตรลักษณ์

 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 ไม่ให้มาคิดถึงเรื่องอสุภะ

วันนี้คิดถึงเรื่องอสุภะกันหรือยัง

ตั้งแต่ตื่นมานี้ คิดแต่เรื่อง

ทำกับข้าวถวายพระ (หัวเราะ)

 คิดแต่เรื่องโน้นเรื่องนี้ เพราะจิตมันไม่สงบ

 แล้วเราไม่มีความตั้งใจจะดึงมันมาคิด

สงบแล้วถ้าไม่ดึงมันมาคิด

มันก็ไม่คิดเหมือนกัน อย่าไปคิดว่า

มีสมาธิแล้วมันจะมาทางปัญญาโดยอัตโนมัติ

มันไม่มา มันเพียงแต่จะทำให้ง่ายขึ้น

 เวลามีสมาธิแล้วไม่มีแรงต้าน

 ถ้าไม่มีสมาธินี้กิเลสมันจะต้าน

ดึงมาคิดทางปัญญานี้คิดได้คำสองคำ

ก็กลับไปแล้ว มันดึงกลับไป

 กิเลสมันจะดึงกลับไป ต้องให้มีสมาธิก่อน

 กิเลสมันจะได้ไม่มีแรงที่จะดึงไปทางกิเลส

 พอเราคิดทางปัญญา

มันก็จะอยู่กับเรื่องทางปัญญาไปได้นาน

ที่ต้องคิดเพราะว่าเราจะได้ไม่ลืม

ต้องคิดอยู่บ่อยๆ แต่เรามักจะลืมกัน

 พอไม่คิดถึงมันก็คิดว่าไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย

 ก็โลภกันใหญ่ อยากได้โน่นอยากได้นี่

 อยากทำโน่นอยากทำนี่

ทั้งๆที่รู้ว่าเกิดมาแล้วต้อง แก่ เจ็บ ตาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 มีนาคม 2560
Last Update : 10 มีนาคม 2560 20:05:02 น.
Counter : 776 Pageviews.

1 comment
<<< จะมีสมาธิได้ต้องมีสติก่อน >>>









“จะมีสมาธิได้ก็ต้องมีสติก่อน”

สติเป็นตัวที่จะดึงใจให้เข้าสู่สมาธิ

สมาธิคือความนิ่งความสงบของใจ

 ใจไม่นิ่งเพราะว่าใจไม่มีเบรก

หยุดความคิด เราเลยต้องใช้สติหยุด

พอเราพุทโธพุทโธนี่

แสดงว่าเรากำลังเจริญสติ

 พอเราพุทโธพุทโธ

เราก็จะไม่ไปคิดเรื่องอื่น

พอเราไม่ไปคิดเรื่องอื่น

เดี๋ยวเวลานั่งเฉยๆ ใจก็จะสงบ

 แต่ถ้าเรานั่งแล้วคิดอยู่เรื่อยๆ

 นั่งไปเท่าไหร่ก็ไม่สงบ

จะทำใจให้สงบเป็นสมาธิได้นี้ต้องนั่ง

 ถ้าเดินจงกลมนี้มันยังไม่สงบเต็มที่

มันสงบครึ่งหนึ่ง ทุกอย่างต้องนิ่งหมด

กายนี้ต้องนิ่ง นั่งหลับตา

แล้วก็พุทโธพุทโธไป

 แล้วเดี๋ยวพอมันตกหลุมสู่ความสงบปั๊บ

ทุกอย่างก็หยุดหมด

 พุทโธนี่มันเป็นเหมือนตัว

ที่คอยต้อนใจนี้เข้าไปในหลุม

เหมือนเวลาเราตีกอล์ฟเราตีมัน

เพื่อที่จะให้มันเข้าไปในหลุมใช่ไหม

ใจเราก็เหมือนกันเหมือนลูกกอล์ฟ

มันชอบกลิ้งไปกลิ้งมา เราก็ต้องใช้สตินี้

ต้อนมันเข้าไปให้มันลงหลุม

พอมันเข้าไปในหลุมปั๊บ

มันก็นิ่งสงบเป็นสมาธิขึ้นมา

 เป็นขณิกะ เป็นอัปปนาสมาธิ

 “ขณิกะ” ก็สงบชั่วคราว

เข้าไปปุ๊บแล้วเดี๋ยวก็ดึงออกมา

 เพราะว่ากำลังของสติยังมีไม่มากพอ

 กิเลสมันยังดันออกมา

กิเลสมันจะดึงให้ใจเรา

ออกมาทางตาหูจมูกลิ้นกาย

เวลาเรานั่งสมาธิด้วยพุทโธ

 พุทโธจะดึงใจ

ให้ออกจากตาหูจมูกลิ้นกาย

 ถ้ากำลังมีมากมันก็สามารถ

ดึงให้เข้าไปในหลุมของสมาธิได้

ถ้ามีกำลังมากมันก็จะอยู่ได้นาน

ถ้ามีกำลังน้อยก็อาจจะเข้าไปปุ๊บ

แล้วก็ออกมา ถ้าเข้าไปปุ๊บแล้วออกมา

ก็เรียกว่าขณิกะสมาธิ

ถ้าเข้าไปแล้วนิ่งแช่อยู่ได้นาน

ก็เรียกว่าอัปปนาสมาธิ

อันนี้ก็เป็นขั้นแรกของการปฎิบัติ

ขั้นที่สองก็คือขั้นวิปัสสนา ขั้นปัญญา

หลังจากที่เราได้สมาธิแล้ว

เราก็ต้องใช้สมาธินี้มาสนับสนุนปัญญา

เป้าหมายของการมีปัญญาเพื่ออะไร

 เพื่อทำลายความหลง

ความหลงที่หลอกให้เรา

ไปเห็นผิดเป็นชอบ

 เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

เหมือนกับสมัยก่อนคนที่ไม่มีการศึกษา

เขาจะคิดว่าโลกนี้แบนใช่ไหม

แต่พอเขาได้ไปศึกษามาเขาจะรู้ว่า

โลกนี้ไม่แบน โลกนี้กลม ฉันใด

อย่างตอนนี้เราก็ไปคิดว่าของต่างๆ

ที่เรามีอยู่ในโลกนี้เป็นความสุขกัน

รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ

 เราจะไปเห็นว่ามันเป็นความสุข

คืออยากได้กันอยากได้ลาภยศสรรเสริญ

 อยากได้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน

 แต่เราไม่เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งเหล่านี้

 เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มีเกิดก็ต้องมีดับ

มีเจริญก็มีเสื่อม เวลาเสื่อมรู้สึกยังไง

 เวลาเงินหมดนี้ เวลาแฟนจากเราไปนี้

ทิ้งเรานี้ เรียกว่า

เป็นความเสื่อมของสิ่งต่างๆ

ที่เรามองไม่เห็นกัน

เพราะสิ่งที่เราคิดว่าให้ความสุขกับเรา

พอเสื่อมจากเราไปความสุขนั้น

ก็เลยกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

เราเลยต้องใช้ปัญญามาสอนใจ

ว่าของต่างๆ ที่เราคิดว่าเป็นความสุขนี้

มันเป็นความสุขปลอมนะ

เป็นความสุขชั่วคราว

เพราะว่าในอนาคตเขาจะต้อง

มีการพลัดพรากจากกันไป

พอเรารู้อย่างนี้

เราก็จะได้ไม่ไปอยากได้อะไร

 เราก็จะหยุดความอยากได้

ความอยากนี้เป็นต้นเหตุ

ที่ทำให้เราจะต้องดิ้นรนกัน

 เวียนว่ายตายเกิดกัน

ก็เพราะความอยากนี้

 พอเราใช้ปัญญามาแก้ความหลง

ที่ไปคิดว่ารูป เสียงกลิ่นรส

ลาภยศสรรเสริญนี้เป็นความสุข

 มาแก้บอกว่าเป็นความทุกข์

ต่อไปเราก็ไม่อยากได้รูปเสียงกลิ่นรส

 ไม่อยากได้ลาภยศสรรเสริญ

 เราอยู่เฉยๆ เราก็มีความสุขได้

 อยู่กับความสงบอยู่กับสมาธิดีกว่า

 แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิด

มามีร่างกายใหม่

ไม่ต้องมาแก่มาเจ็บมาตายใหม่

นี่คือปัญญาขั้นที่สอง

ขั้นแรกต้องฝึกทำสมาธิให้ได้ก่อน

เมื่อเราชำนาญแล้ว

เราค่อยไปทางปัญญา

 ตอนต้นอย่าไปทางปัญญา

ถ้าเรายังไม่ชำนาญ

 เพราะว่าเดี๋ยวจะเข้าสมาธิไม่ได้

 เพราะเวลาใช้ปัญญาต้องใช้ความคิด

 เพราะบางทีเราใช้ปัญญาไปแล้ว

มันจะฟุ้งได้ ฟุ้งแล้วเวลาจะให้มันสงบ

มันจะสงบไม่ได้ แต่ถ้าเรามีสติ

เราชำนาญทางเข้าสมาธิ

 เราต้องการจะเข้าสมาธิเมื่อไหร่

เราก็เข้าได้ อย่างนี้พอเราเห็นว่า

จิตเราเริ่มฟุ้งแล้วเราก็หยุดมัน

เข้าสมาธิไปได้ ฉะนั้นเบื้องต้น

ต้องฝึกสมาธิให้ชำนาญก่อน

ปัญญายังไม่ต้องกังวล

เหมือนหัดขับรถ
 ตอนต้นก็หัดขับรถ

อยู่แถวบ้านก่อนใช่ไหม

 แถวที่มันไม่มีรถวิ่งให้เราชำนาญก่อน

 ขับตามถนนที่ไม่มีรถวิ่งกัน

 แล้วพอเราชำนาญเรามั่นใจ

แล้วทีนี้เราค่อยไปออกถนนใหญ่

อันนี้ก็เหมือนกันตอนต้น

เราต้องรู้จักทำใจให้สงบ

สามารถหยุดใจได้ทุกเวลาที่เราต้องการ

 พอเราหยุดได้ตามที่เราต้องการแล้ว

เวลาเราออกไปแล้วเราไปเจอเหตุการณ์

ที่จะต้องทำให้เราหยุด

เช่นไปทุกข์กับเรื่องนั้นทุกข์กับเรื่องนี้

เราอย่างน้อยก็ยังหยุดมันไว้ก่อนได้

ถ้าเรายังไม่สามารถใช้ปัญญา

มาสอนให้เราปล่อยวางสิ่งที่เราทุกข์อยู่

เพราะเรายังหลงคิดว่ามันเป็นสุขอยู่

 บางทีทุกข์กับคุณนั้นแต่ก็ยังไปคิดว่า

เขาเป็นคนให้ความสุขกับเรา

 ก็เลยปล่อยเขาไม่ได้ตัดเขาไม่ได้

 ก็ยังต้องทนทุกข์อยู่กับเขาต่อไป

 แต่ถ้ามีปัญญาก็จะเห็นว่า

เนี่ยเราไปทุกข์กับเขา

เพราะเราไปหลงคิดว่า

เขาให้ความสุขกับเรา แล้วสุขที่ไหน

ตอนนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ

ก็เพราะเขานี่ เรายังจะไปหลงอีกเหรอ

ถ้ามีปัญญามันก็จะบอกตัดไปเลย

อยู่คนเดียวดีกว่า มาอยู่กับสมาธิ

อยู่กับความสงบดีกว่า

ถ้าถึงขั้นปัญญาแล้ว

เราก็จะตัดความทุกข์ได้อย่างถาวร

ตัดความอยากได้อย่างถาวร

 แต่ถ้าขั้นสมาธินี้จะหยุดได้ชั่วคราว

เวลาเข้าไปในสมาธิ

 เวลาออกจากสมาธิมา

เดี๋ยวก็ไปทุกข์กับ

เรื่องนั้นเรื่องนี้คนนั้นคนนี้ต่อ

 แต่ถ้ามีปัญญา มันก็จะตัดการผูกพัน

ความหลงกับสิ่งต่างๆ เพราะจะเห็นว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 10 มีนาคม 2560
Last Update : 10 มีนาคม 2560 19:51:48 น.
Counter : 836 Pageviews.

0 comment
<<< ความสุขที่ดีกว่า >>>










"ความสุขที่ดีกว่า"

เราสามารถทำใจให้ไม่ทุกข์

ไม่สุขกับภาพที่เห็นได้

 เพียงแต่เราทำใจให้เฉยๆ ให้รู้เฉยๆ

 แล้วรับรู้เฉยๆ มันเป็นเพียงภาพ

 เหมือนดูหนัง เวลาเราดูหนัง

ทำไมเราต้องไปตื่นเต้นกับหนังนั้นด้วย

เพราะเราไม่มีสติ เราปล่อยให้ใจเรา

ติดไปกับเหตุการณ์

 แต่ถ้าเราบอกตัวเราเองว่า

เราเป็นเพียงคนดูเฉยๆ

 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะเป็นยังไง

มันก็ไม่มาเกี่ยวกับตัวเราสักหน่อย

 อย่างมากมันก็เกี่ยวกับแค่ร่างกาย

เช่นร่างกายไปอยู่ที่มีอันตราย

อย่างมากร่างกายก็ตายก็เจ็บตัวไป

แต่คนดูนี้ไม่ได้เจ็บตัวไปกับร่างกาย

 แต่คนดูไม่รู้ก็เลยไปตื่นเต้น

ตกใจไปกับร่างกาย ไปดีใจไปเสียใจ

กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทางร่างกาย

อันนี้เราต้องมาพิสูจน์มาแยกใจ

ออกจากร่างกายให้ได้

แล้วถ้าเราแยกได้นี้

เราจะได้สิ่งที่เราไม่มีในตอนนี้คือ

 ความสุขใจ

พอเรามีความสุขใจเราก็จะรู้ว่า

เราไม่ต้องมีร่างกายก็ได้

ตอนนี้เราไม่มีความสุขใจ

 เราก็เลยต้องใช้ร่างกาย

เป็นตัวหาความสุขมาให้กับใจแทน

 เราก็เลยพึ่งร่างกาย รักร่างกาย

 หวงร่างกาย

 ไม่อยากให้ร่างกายเป็นอะไรไป

 แต่ถ้าเรามีสมาธิมีความสุขใจ

เราก็ไม่ต้องพึ่งร่างกายก็ได้

ปล่อยร่างกายได้

 ร่างกายจะเป็นอะไรก็ไม่เป็นปัญหา

 เพราะเรามีความสุขได้

โดยที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

มาหาความสุขให้กับเรา

มีประโยชน์หลายอย่าง

จากการทำสมาธิ

 สมาธิสามารถทำให้เรา

แยกใจออกจากกายได้

แล้วจะทำให้เรามีความสุข

โดยที่เราไม่ต้องไปพึ่งร่างกาย

ถ้าเรามีความสุขใจแล้ว

 เราก็ไม่ต้องไปพึ่งร่างกาย

 ไม่ต้องไปเที่ยว ไม่ต้องไปกิน ไปดื่ม

 ไปเล่น ไปมีแฟน ไปมีอะไรต่างๆ

 เพราะเรามีความสุขที่ดีกว่า

อยู่ในใจเราแล้ว คือ ความสงบ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 มีนาคม 2560
Last Update : 3 มีนาคม 2560 14:57:42 น.
Counter : 907 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ