Group Blog
All Blog
<<< ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน >>>









ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน”

เพราะการทำบุญของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

 บางคนก็ชอบช่วยเหลือคนยากคนจน

 บางคนก็ชอบช่วยเหลือคนพิกลพิการ

บางคนก็ชอบทำบุญกับพระ ทำบุญกับศาสนา

ก็ได้ทั้งนั้น อะไรที่ถูกกับจริตของเราก็ทำไป

 เมื่อทำไปเรื่อยๆ แล้วจิตจะมีความเคารพ

ในความรู้สึกของผู้อื่น เพราะเวลาทำอะไร

 เราก็อยากจะให้คนอื่นมีความสุข

 เวลาทำอะไรแล้วทำให้คนอื่นทุกข์

 เราก็จะไม่อยากจะทำ

จิตก็ไม่อยากจะเบียดเบียนผู้อื่น

ไม่อยากจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ไม่อยากจะลักทรัพย์

 ไม่อยากจะประพฤติผิดประเวณี

 ไม่อยากจะพูดปดมดเท็จ

โกหกหลอกลวงใครทั้งนั้น

 เมื่อจิตมีความรู้สึกอย่างนี้แล้ว

ก็จะตั้งอยู่ในศีล จะไม่ค่อยวุ่นวาย

 เวลาไหว้พระสวดมนต์ทำสมาธิก็จะง่าย

เพราะได้สร้างฐานไว้แล้ว

 แต่ถ้ายังวุ่นวายอยู่กับเงินทอง

 ยังเสียดายเงินเสียดายทอง

 ยังอยากจะได้เงินได้ทองมากขึ้น

 ก็จะไม่สนใจกับความรู้สึกของคนอื่น

เวลาอยากจะได้อะไร จะไม่คำนึงว่า

คนอื่นจะเดือดร้อนหรือไม่

ขอให้ได้ในสิ่งที่ต้องการก็แล้วกัน

เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัวนั่นเอง

 แต่คนทำบุญให้ทาน จะเป็นคนเสียสละ

เห็นแก่ผู้อื่น คนที่ไม่ทำบุญทำทาน

จะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว มักจะไม่สนใจ

กับความรู้สึกของผู้อื่น อยากจะได้อะไร

อยากจะทำอะไร ก็จะเอามา

ทำไป โดยไม่สนใจต่อความรู้สึกของผู้อื่น

 อาจจะทำร้ายร่างกาย

 ทำลายชีวิตของผู้อื่นก็ได้

 เอาทรัพย์ของผู้อื่นมาก็ได้

ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาของผู้อื่นก็ได้

 ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่นก็ได้

เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการ

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เวลานั่งภาวนา

จะภาวนาไม่ได้ จิตจะวุ่นวายอยู่กับเรื่องต่างๆ

 ยิ่งไปทำอะไรให้ผู้อื่นเดือดเนื้อร้อนใจ

ก็จะเดือดร้อนตามไปด้วย

ยิ่งทำให้การทำจิตให้สงบยิ่งยากขึ้นไปใหญ่

 ต้องใช้กำลัง ๒ เท่า

 คนที่มีศีลใช้เพียงเท่าเดียวก็ทำให้สงบได้

 คนที่มีความรุ่มร้อนใจ ที่เกิดจาก

การกระทำผิดศีลผิดธรรม

ต้องใช้กำลังมากกว่า

จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำจิตให้สงบได้

 เพราะใช้กำลังเท่าเดียว

ก็ยังยากแสนยากอยู่แล้ว

 ถ้าต้องใช้กำลัง ๒ เท่า ๓ เท่า

ก็จะทำไม่ได้เลย แต่คนพวกนี้ไม่สนใจ

เรื่องศีลเรื่องธรรมอยู่แล้ว เพราะบูชาเงิน

 บูชาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นพระเจ้า

 แม้จะมีความสุขชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็ยังพอใจ

 แต่เวลาทุกข์กับสิ่งเหล่านี้กลับมองไม่เห็นกัน

ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้เดินตามถูกต้องหมดแล้ว

 ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ ปัญญา

วิมุตติหลุดพ้น

ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ทรงมาสอน

ครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆสาวกกี่ท่าน

จะมาสอนธรรมะ ก็สอนแบบเดียวกันทั้งนั้น

 นี่เป็นธรรมะหลัก ธรรมะที่เกี่ยวกับจิตใจ

ส่วนธรรมะที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น ก็ทรงสอน

 เช่นให้มีความกตัญญูกตเวทีกับผู้มีพระคุณ

 มีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่

มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

เป็นเรื่องที่เราใช้ในชีวิตประจำวันของเรา

เวลาที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น

แต่ถ้าอยู่ตามลำพังปฏิบัติเพื่อจิตใจ

ก็พวกทานศีลภาวนาเป็นหลัก ขอให้ทำกันเถิด

 ส่วนใหญ่จะให้ทานรักษาศีลกัน

 แต่ยังไม่ภาวนากัน

 ได้ภาวนากันมากน้อยเพียงไหน

แล้วได้ทำเป็นกิจวัตรประจำบ้างไหม.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

กัณฑ์ที่ ๒๓๔ (จุลธรรมนำใจ ๓)

วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙

“ความอยากไม่มีขอบเขต”







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 30 มีนาคม 2560
Last Update : 30 มีนาคม 2560 6:27:22 น.
Counter : 1081 Pageviews.

1 comment
<<< คุณค่าของกรรมฐาน >>>










"คุณค่าของกรรมฐาน"

ใจต้องการกรรมฐาน

เพชรแท้ของใจ คือ กรรมฐาน

 คือ พุทโธ คือ อาการ ๓๒ คือมรณานุสติ

 นี่แหละคือเพชรของใจ

ถ้าได้เพชรของใจแล้ว ใจจะมีความสุขมาก

พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเรามาสร้างกรรมฐานกัน

 เอากรรมฐานกัน อย่าไปเอาลาภ ยศ สรรเสริญ

 หรืออย่าไปเอารูป เสียง กลิ่น รส โผสฐัพพะ

 เพราะมันจะทำให้เราเครียดกัน

จะทำให้เราทุกข์กัน ไม่ได้ทำให้เราสุขหรอก

 สุขเดี๋ยวเดียวแล้วก็มาเครียดกับมัน มาทุกข์กับมัน

ได้อะไรมาแล้วต้องทุกข์กับสิ่งที่เราได้มา

 ถ้าไม่มีก็ไม่มีทุกข์ ได้ของก็ต้องทุกข์กับของ

 เดี๋ยวเกิดมันหายไปก็ทุกข์แล้ว

 เผลอไปวางไว้ที่ไหนใครหยิบไปก่อนนี้

พอไม่เจอปั๊บนี่ โอ้ยใจวุ่นแล้ว

 ลืมกระเป๋าไว้ที่ไหนลืมกระเป๋าไว้ในห้องน้ำ

พอกลับไปอีกที อ้าวกระเป๋าหายไปแล้ว

 ทุกข์หรือไม่ทุกข์ ของในกระเป๋า

ก็ต้องไปทำใหม่หมด บัตรประชาชน ใบขับขี่

 บัตรเครดิต บัตรอะไรต่างๆ

 หายไปทีนึงเหนื่อยไหม กว่าจะได้มาใหม่

 มาอยู่แบบไม่มีไม่ได้เหรอ

 เวลาเกิดมาก็ไม่มีอะไรมา ไม่มีบัตรเครดิตมา

 ไม่มีใบขับขี่มา ไม่มีอะไรติดตัวมา

เวลาไปก็ไม่มีอะไรติดตัวไป

 เอาอะไรไปไม่ได้ หน้าที่ของเรามาที่นี่

 เพื่อมาเอากรรมฐานไป

นานๆ จะมีกรรมฐานให้พวกเราเอาไปสักที

 ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีพระธรรมคำสอน

 ไม่มีพระอริยสงฆ์สาวกนี้ เราจะไม่มีกรรมฐาน

 เพราะไม่มีใครเห็นคุณค่าของกรรมฐาน

เหมือนกับพระพุทธเจ้า

เหมือนกับพระอริยสงฆ์สาวก

 เพราะท่านเห็นคุณค่า

ที่ท่านได้รับประโยชน์จากกรรมฐาน

ทำให้ใจของท่านนี้หลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆ

ทำให้ใจของท่านมีแต่ความสุขตลอดเวลา

 ท่านจึงได้เอากรรมฐานมาให้กับพวกเรา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 มีนาคม 2560
Last Update : 28 มีนาคม 2560 5:27:58 น.
Counter : 893 Pageviews.

1 comment
<<< ความเคยชิน >>>










"ความเคยชิน"

คนเราถึงแม้จะเกิดมาจากพ่อแม่คนเดียวกัน

พอโตขึ้นมาก็มีความแตกต่างกัน

 บางคนก็จะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า

บางคนก็กลายเป็นโจรไป

ไม่ได้มาจากพ่อจากแม่

 เพราะพ่อแม่ก็สอนให้ลูกเป็นคนดีเหมือนกัน

 แต่กรรมของเขาเป็นตัวที่ผลักดันให้เขา

ไปในทิศทางที่เขาได้สะสมมา

ถ้าสะสมในทิศทางที่ไม่ดี

ก็จะผลักให้เขาไปทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อไป

 เพราะเป็นความเคยชิน ทำแล้วง่าย

 เหมือนคนที่ถนัดมือซ้ายก็จะใช้มือซ้าย

 คนที่ถนัดมือขวาก็จะใช้มือขวา แต่เปลี่ยนได้

ถ้าเห็นว่าไม่ถูกไม่เกิดประโยชน์

ถ้าเห็นว่าใช้มือซ้ายแล้วสู้คนใช้มือขวาไม่ได้

ก็หัดใช้มือขวาไป ไหม่ๆ จะรู้สึกไม่ถนัด

 พอใช้ไปเรื่อยๆ ก็จะถนัด

 เช่นเดียวกับการทำความดีหรือความชั่ว

 คนที่เคยทำความชั่วมาจะทำความชั่วง่าย

พูดโกหกนี้จะเร็ว สะดวก หยิบข้าวของๆ คนอื่น

โดยไม่ขออนุญาตก่อน จะทำได้ง่าย

ทำได้รวดเร็ว ถ้ามารู้ในภายหลังว่าไม่ดีไม่เจริญ

อยากจะเป็นคนดี อยากจะเจริญ

ก็ต้องฝึกนิสัยใหม่ เวลาพูดอะไร

ก็ต้องระมัดระวัง มีสติมีปัญญาคอยกลั่นกรอง

ว่าสิ่งที่จะพูดนั้นถูกผิดอย่างไร จริงหรือเท็จ

 ถ้าพูดความจริงไม่ได้ ก็พูดเรื่องอื่นแทน

หรือไม่พูดเลยจะได้ไม่ต้องพูดปด

 ข้าวของๆ คนอื่นก็เช่นเดียวกัน ไม่ถือวิสาสะ

ถ้าอยากได้ก็ต้องคิดก่อนว่าของนี้มีเจ้าของ

 ถ้าอยากได้ก็ต้องขออนุญาตก่อน

ทำให้ถูกต้อง ฝึกทำได้ ต่อไปก็จะเป็นนิสัย

 ก็จะทำง่าย ดังมีคำพูดว่า คนดีทำดีง่าย

 คนชั่วทำดียาก คุณดีทำชั่วยาก

คนชั่วทำชั่วง่าย เพราะความเคยชิน

 ถ้าเคยชินกับการทำชั่ว ย่อมทำชั่วง่าย

ถ้าเคยชินกับการทำความดี ย่อมทำดีง่าย

ชีวิตของเราก็อยู่ตรงนี้เอง อยู่ที่ทำดีละบาป

 กำจัดโลภโกรธหลงที่เป็นต้นเหตุ

ของความวุ่นวาย ของความทุกข์

 ของความชั่วทั้งหลาย ถ้ารู้ว่ายังทำดีไม่ครบ

 ก็พยายามทำให้ครบ ถ้ารู้ว่ายังทำบาปอยู่

ก็ต้องพยายามตัด ถ้ารู้ว่ายังมีโลภโกรธหลงอยู่

ก็ต้องพยายามกำจัด.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................

กัณฑ์ที่ ๓๓๒ (จุลธรรมนำใจ ๑๐)

"คู่มือปฎิบัติธรรม"

วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๐






ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 27 มีนาคม 2560
Last Update : 27 มีนาคม 2560 6:24:02 น.
Counter : 948 Pageviews.

0 comment
<<< เรากำลังก่อภพก่อชาติ หรือเรากำลังทำลายภพชาติ >>>










"เรากำลังก่อภพก่อชาติ

 หรือ เรากำลังทำลายภพชาติ"

เราจึงต้องคอยถามตัวเราเองอยู่เรื่อยๆ

 ว่าวันเวลาผ่านไปๆ เรากำลังทำอะไรกันอยู่

 เรากำลังก่อภพก่อชาติ

หรือเรากำลังทำลายภพชาติ

ด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนากัน

หรือว่าเรากำลังไปหาลาภ ยศ สรรเสริญ

 หรือไปหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน

 อันนี้เป็นป้ายบอกทาง ที่จะบอกว่า

เรากำลังไปสู่พระนิพพาน

หรือเรากำลังไปสู่การเวียนว่ายตายเกิด

ที่ไม่มีวันสิ้นสุด

อยู่ที่การกระทำของเราในปัจจุบันนี้

ทุกคนสามารถไปพระนิพพานได้

 ไม่ว่าจะเป็นหญิงเป็นชาย

เป็นนักบวชหรือไม่เป็นนักบวช

 เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวประเด็น

ที่จะมากำหนดว่าจะไปนิพพานได้หรือไม่ 

ตัวที่จะกำหนดก็คือว่ามีทาน มีศีล

 มีภาวนาอยู่ในใจหรือไม่

ถ้าไม่มี สร้างขึ้นมาได้หรือไม่

ถ้าสามารถสร้างทานขึ้นมาได้

สร้างศีลขึ้นมาได้ สร้างภาวนาขึ้นมาได้

 ก็ไปนิพพานได้

พระสาวกของพระพุทธเจ้านี้

 มีทุกเพศทุกวัย

 มีทั้งหญิง มีทั้งชาย มีทั้งนักบวช

มีทั้งฆราวาสผู้ครองเรือน

มีทั้งเด็กมีทั้งผู้ใหญ่

 มีทั้งชนชาติจากประเทศต่างๆ ไม่จำกัด

 สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่า

จะไปได้หรือไม่ได้

 ตัวที่จะบ่งชี้ว่าไปได้หรือไม่ได้

 ก็คือทาน ศีล ภาวนา

 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้พวกเรามาบำเพ็ญกันนั่นเอง

ดังนั้น เราจึงต้องคอยหมั่นถาม

ตัวเราเองอยู่เรื่อยๆ ว่า วันเวลาผ่านไปๆ

 เรากำลังทำอะไรกันอยู่

 เรากำลังแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ

หรือหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 หรือเรากำลังหาทาน ศีล ภาวนา 

ถ้าเรากำลังหาลาภ ยศ สรรเสริญ

หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 เรากำลังหาภพชาติกัน

เรากำลังสร้างภพสร้างชาติ

สร้างการเวียนว่ายตายเกิดกัน

ถ้าเราหาทาน หาศีล หาภาวนากัน

 เรากำลังทำลายภพชาติ

เรากำลังยุติการเวียนว่ายตายเกิด

 เรากำลังเดินทางไปสู่พระนิพพานกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๐

"จุดหมายปลายทาง"






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 มีนาคม 2560
Last Update : 26 มีนาคม 2560 10:03:33 น.
Counter : 738 Pageviews.

0 comment
<<< หัวโขน >>>










"หัวโขน"

ขอให้จำไว้นะว่าพวกเราเป็นตัวละคร

 ร่างกายนี้เป็นเหมือนหุ่นที่เรามาใช้เล่นละครกัน

หรืออย่างที่เขาเล่นโขนนั่น

 ร่างกายเรานี้ก็เป็นเหมือนหัวโขน

เอามาสวมใส่ทับใจเราอีกทีหนึ่ง

 ตัวแท้จริงของเราคือใจ

ทีนี้ใจเราไม่มีรูปร่างหน้าตา

ก็เลยต้องเอาหัวโขนคือร่างกายนี้

มาครอบมาคลุมไว้ จะได้รู้ว่านี่เป็นทศกัณฐ์

 หรือจะเป็นหนุมาน เป็นพระราม

ก็ร่างกายนี้แหละเป็นตัวละคร

ใจเรานี้เป็นตัวชักร่างกายเหมือนกับชักหุ่น

 เป็นผู้ที่สั่งให้ร่างกายนี้ทำอะไรต่างๆ

แล้วพอร่างกายนี้ตายไป เราก็ใช้ร่างกายนี้ไม่ได้

ก็แสดงว่าบทของเราจบ ละครเรื่องนี้จบ

 แต่เราก็ไม่เบื่อ ไปเล่นโรงใหม่ต่อ ย้ายโรง

เดี๋ยวก็ไปเกิดใหม่ แล้วก็ไปเริ่มใหม่

แล้วก็ไปวุ่นวายแบบนี้แหละ

เล่นมาไม่รู้กี่ล้านโรงแล้วไม่รู้กี่ล้านเรื่องแล้ว

ละครชีวิตของพวกเรานี่ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

 ที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด

ก็เวียนว่ายตายเกิดตามโรงละครต่างๆ

ตามโลกต่างๆ โลกอาจจะไม่เป็นโลกกลมๆ

 แบบนี้ก็ได้ โลกกลมๆ ใบอื่นก็น่าจะมีในจักรวาลนี้

 เราอาจจะมาจากโลกอื่นก็ได้

อาจจะมาจากโลกที่เจริญกว่าโลกเราก็ได้

 หรือล้าหลังกว่าโลกเราก็ได้ แต่ว่ามันก็เหมือนกัน

 เพราะว่าไปโลกไหนก็เจอตัวละครเหมือนกัน

ตัวรักตัวชังเหมือนกัน แล้วก็ไปรักไปชัง

ไปกลัวไปหลงกับเขา แล้วก็ดีใจเสียใจ

ไปกับสิ่งที่เราได้ไปสัมผัสรับรู้กัน

เล่นละครไปตามบทตามผู้กำกับสั่งให้เล่น

 เห็นไหมพอเขาตั้งเราเป็น ผอ.

 ทีนี้เราก็คิดว่าเราเป็น ผอ. จริงๆ ใช่ไหม

พอตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสก็คิดว่า

เป็นเจ้าอาวาสขึ้นมาจริงๆ เลย เล่นบทเต็มที่เลย

 แล้วเดี๋ยวเวลาเขาปลดปั๊บ หน้าก็จ๋อยละสิ

 เราไม่ได้เป็นเสียแล้ว ก็เวลาเขาตั้งเรา

ต้องคอยบอกเราว่าเราไม่ได้เป็น

เขาตั้งก็ปล่อยเขาตั้งไป เขาให้เราทำอะไรเราก็ทำไป

ตามหน้าที่ ทำเพื่อเงินเดือนก็พอ

ทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่อย่าไปหลง

กับตำแหน่งว่าเราเป็นโน่นเป็นนี่

 เราทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ทำตามหน้าที่ตามเนื้อผ้าไป แล้วก็คอยเตือนว่า

เดี๋ยวสักวันหนึ่งเขาก็ต้องปลดเรา ไม่ปลดก็โยกย้าย

 ไม่โยกย้ายก็เลื่อนตำแหน่ง มันก็มีแค่นี้แหละชีวิต

มันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ขึ้นๆ ลงๆ

 ถ้าไม่ยึดไม่ติด ถ้ารู้ว่าเป็นบทละคร

มันก็เล่นไปอย่างสบาย ไม่ซีเรียสไม่เครียดกับมัน

แต่เราไม่สบายเพราะเวลาเราชอบอะไร

 เราก็อยากได้อยากให้มันอยู่กับเรานานๆ

 แล้วเวลาที่มันไม่อยู่กับเรา เราก็เสียอกเสียใจ

 แล้วบางทีก็พยายามวิ่งเต้นกัน

 ต่อสู้กันเพื่อรักษาสิ่งที่เรารักสิ่งที่เราชอบ

ให้อยู่กับเราไปนานๆ ก็เลยทุกข์กันไง

ที่มันทุกข์ก็ทุกข์เพราะอย่างนี้

ทุกข์เพราะว่าเราต้องดิ้นรนกันต่อสู้กัน

ทั้งๆที่ เป็นของปลอมทั้งนั้น เป็นละคร

 เป็นของโลกละคร ไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 25 มีนาคม 2560
Last Update : 25 มีนาคม 2560 13:54:20 น.
Counter : 820 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ