Group Blog
All Blog
<<< ปัญญาสอนใจ >>>










“ปัญญาสอนใจ”

ต้องทำไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวมันก็จะชำนาญขึ้น

 ตอนต้นก็แบบล้มลุกคุลุกคลานไป ทำไป

ต่อไปมันก็จะชำนาญขึ้นไวขึ้น

 แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น แต่กำลังนี้สำคัญ กำลังใจ

 คือ ความหยุดใจนี้ต้องมีกำลังหยุดใจหยุดกิเลส

 บางทีเรามีปัญญาแต่เราใช้มันแล้วก็หยุดมันไม่ได้

เพราะเรามีกำลังน้อย กำลังของใจก็คือสมาธิ

ถ้าเรานั่งสมาธิบ่อยนั่งได้นานมันจะมีกำลังใจมาก

 เวลาใช้ปัญญาพิจารณาว่าเป็นไตรลักษณ์

 เป็นอสุภะ เราก็จะหยุดความอยากได้

แต่ถ้าเราไม่มีกำลังไม่มีสมาธิ

ถึงแม้เราจะรู้ว่ามันเป็นไตรลักษณ์เป็นอสุภะ

แต่ความอยากมันก็ยังมีกำลังเหนือกว่า

 มันก็ยังทำให้เราทุกข์ทำให้เราอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

 อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 ฉะนั้นพยายามฝึกนั่งสมาธิให้มากๆ

 สมาธินี้เป็นกุญแจดอกสำคัญ

สู่การใช้ปัญญาตัดกิเลส

การใช้ปัญญาดับความทุกข์ต่างๆ

ปัญญาจะดับความทุกข์ได้อย่างถาวร

ส่วนสมาธิจะดับได้เพียงชั่วคราว

 ดับได้ในขณะที่เราเข้าไปในสมาธิ

เวลาเรานั่งสมาธิใจสงบนี้

ความทุกข์ทั้งหลายหายไปหมด

 ความอยากทั้งหลายหายไปหมด

แต่พอเราออกจากสมาธิมา

เดี๋ยวเราเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เห็นคนนั้นคนนี้

ได้ยินสิ่งนั้นสิ่งนี้ความอยากก็จะผุดขึ้นมาแล้ว

 ความไม่สบายใจต่างๆ ก็จะผุดขึ้นมา

ถ้าเราใช้ปัญญาแล้วเรายังสู้ความอยากไม่ได้

ก็แสดงว่ากำลังเรายังไม่พอ

 แต่ถ้าเราใช้ปัญญาแล้วเราหยุดความอยากได้

 เห็นว่ามันเป็นทุกข์ เห็นว่ามันไม่เที่ยง

 เห็นว่ามันไม่ไช่ของเรา

 แล้วเราก็หยุดความอยากในสิ่งนั้นได้

ก็แสดงว่าเรามีกำลังพอ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องเบา

 มันเรื่องไม่หนักกิเลสมันไม่แรง

 ความอยากมันไม่หนักมันไม่รุนแรง มันก็แก้ได้

 แต่ถ้าไปเจอความอยากที่มันรุนแรง

 อยากได้มากๆ อย่างนี้บางทีมันก็แก้ไม่ได้

ก็ต้องพยายามทำสมาธิให้มากขึ้น

สมาธิกับปัญญานี้มันเป็นของคู่กัน

เป็นของที่สนับสนุนกัน สมาธิก็สนับสนุน

ให้การใช้ปัญญานี้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 ปัญญาก็เป็นเครื่องมือ

ที่จะใช้ทำลายกิเลสอย่างถาวร

 สมาธิเองไม่สามารถที่กำจัดกิเลสได้อย่างถาวร

 เพียงแต่กดมันไว้

ท่านบอกว่าเหมือนกับหินทับหญ้า

เวลาเราเอาหินไปทับหญ้า

 หญ้ามันก็งอกขึ้นมาไม่ได้

 พอเรายกหินออกไป

เดี๋ยวหญ้ามันก็งอกเงยขึ้นมาใหม่

 เพราะว่ามันยังไม่ตาย รากมันยังอยู่ในดิน

ถ้าอยากจะให้หญ้าตายไม่งอกขึ้นมา

เราก็ถอนรากถอนโคนมันขึ้นมา

 แต่สมาธินี้ไม่ได้เป็นตัวที่จะถอนรากถอนโคน

ของกิเลสตันหาเหมือนกับหญ้า

 หินไม่สามารถถอนรากถอนโคนของหญ้า

 หินเพียงแต่ทับหญ้าเอาไว้ สมาธิก็ทับกิเลสไว้

 เพราะสมาธิไม่มีความสามารถ

ที่จะถอนรากถอนโคนของกิเลสได้

เหมือนกับหินไม่มีความสามารถ

ที่จะถอนรากถอนโคนของต้นหญ้าได้

 คนที่จะต้องถอนก็คือคน

ที่อยากจะถอนรากของหญ้าขึ้นมา

 ปัญญานี่แหละ

คือผู้ที่จะเป็นคนถอนรากของกิเลส

 กิเลสเหมือนต้นหญ้า

ส่วนรากของกิเลสนี้ก็คือความหลง

ความหลงนี้เป็นรากของกิเลส

ถ้าอยากจะให้กิเลสตาย

ก็ต้องถอนรากของกิเลสขึ้นมา

 ผู้ที่จะถอนรากของกิเลสได้ก็คือปัญญา

 เพราะรากของกิเลสก็คือความหลง

 ความเห็นผิดเป็นชอบนั่นเอง

เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข

 เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

 เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเราว่าเป็นของเรา

เราจึงต้องเอาปัญญามาสอนใจ

เพื่อมาแก้ความหลง เวลาเห็นอะไร

ต้องเห็นว่ามันเป็นทุกข์ไม่ใช่เป็นสุข

เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่เที่ยง

 เวลาได้อะไรมา ใหม่ๆ มันก็สุข

 แต่เดี๋ยวซักระยะหนึ่งมันก็เปลี่ยนไป

มันเสื่อมไป มันเสียไป

ความสุขนั้นก็กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา

 มันไม่เป็นของเรา

เราไม่สามารถไปสั่งมันไปบังคับมัน

ให้มันเป็นไปตามความต้องการของเราได้

 เวลามันจะเปลี่ยนมันก็จะเปลี่ยน

 เวลามันจะเสื่อมมันก็เสื่อม เวลาจะเสียมันก็เสีย

 เวลามันจะจากเราไปมันก็จะจากเราไป

นี่คือความรู้ที่เราไม่มีกัน

 เราไม่มองแบบไตรลักษณ์

 เรามองเพียงแต่เห็นว่าดี อยากได้ ชอบ

 ได้มาแล้วมีความสุข จะเห็นเพียงเท่านี้

จะไม่เห็นว่ามันเสื่อมมันต้องเปลี่ยน

แล้วเราไปบังคับไปห้ามมันไม่ได้

 เวลาที่เขาเปลี่ยนไปเวลาที่เขาเสื่อมไป

นี่เป็นปัญญา ปัญญาที่จะสอนใจ

ไม่ให้หลงกับสิ่งต่างๆ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 11 มีนาคม 2560
Last Update : 11 มีนาคม 2560 9:52:10 น.
Counter : 849 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ