Group Blog
All Blog
<<< คนตาดี >>>









"คนตาดี"

ใจของพวกเราที่กำลังหาความสุขกันอยู่นี้

 ยังมองไม่เห็นความสุขว่าอยู่ตรงไหนกัน

เราก็เลยไปหาความทุกข์กัน

โดยคิดว่ามันเป็นความสุข

ทุกวันนี้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์กัน

 มีใครไม่มีความทุกข์บ้าง

พวกเรามีความทุกข์ทั้งๆ ที่เราคิดว่า

เรากำลังไปหาความสุขกัน

เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราไปหานั้นมันเป็นความทุกข์

 เรากลับไปคิดว่ามันเป็นความสุข เราจึงทุกข์กัน

ถ้าเราไม่มีคนตาดีอย่างพระพุทธ

พระธรรม พระสงฆ์มาบอกพวกเรา เราจะไม่รู้กัน

 ถึงแม้บอกแล้วพวกเราก็ยัง

ไม่อยากจะทำตามคนตาดีบอก เพราะยังไม่เชื่อ

 หรือว่ายังไม่ทุกข์จริงๆ ถ้ายังไม่เจอความทุกข์

แบบสุดๆ แบบโหดๆ แบบอยากจะฆ่าตัวตาย

 ถ้าเจอความทุกข์แบบนั้นแล้วถึงจะเชื่อคนตาดี

 ถึงจะปฏิบัติตามที่คนตาดีสอนให้ปฏิบัติ

 แต่ถ้าทุกข์แบบสลับไปกับความสุข

สามวันดีสี่วันไข้

 สามวันทุกข์สี่วันสุข ก็ยังพอถูไถไปกับมัน

 ก็เลยไม่ค่อยเชื่อคนตาดีกัน

 ก็เลยต้องติดอยู่กับความทุกข์ไปเรื่อยๆ

สิ่งที่พวกเรากำลังทุกข์กันคืออะไร

 ก็ลาภ ยศ สรรเสริญ

 กับ รูป เสียง กลิ่น รสต่างๆ

ที่พวกเราคิดว่าเป็นความสุข

ลาภคืออะไร ลาภก็คือทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองต่างๆ

 ยศคืออะไร ยศก็คือตำแหน่งต่างๆ

ตำแหน่งเช่นเป็นนายกรัฐมนตรี

เป็นประธานาธิบดี เป็นรัฐมนตรี เป็นสส

 เป็นอธิบดี เป็นผู้ว่า เป็นอะไรต่างๆ เหล่านี้

 เรียกว่ายศ หรือถ้าเป็นทหารตำรวจ

 ก็มีนายร้อย นายพัน นายพล

ตำแหน่งต่างๆเหล่านี้เราเรียกว่ายศ

 แล้วก็เราก็ติดคำสรรเสริญเย็นยอ

ชอบคำสรรเสริญเยินยอ

 เพราะเวลาได้ยินใครเขายกย่องสรรเสริญแล้วดีใจ

 ยิ้ม ใครชมว่าเราสวยหน่อย โหยิ้มไปทั้งวัน

มีความสุขกับสิ่งเหล่านี้ แล้วเราก็มีความสุข

กับรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ เวลาเราเห็นรูปที่เราชอบ

 เห็นรูปสวยงาม เราก็มีความสุข

 เวลาได้ยินเสียงไพเราะก็มีความสุข

เวลาได้ลิ้มรส รสที่ถูกใจก็มีความสุข

เวลาได้ดมกลิ่น กลิ่นหอมก็มีความสุข

นี่คือสิ่งที่หากัน เพราะเราคิดว่า

มันให้ความสุขกับเรา

 แต่เรากลับต้องมาทุกข์กับสิ่งเหล่านี้

 โดยที่เราไม่รู้สึกตัว เพราะอะไร

 เพราะเวลาสิ่งเหล่านี้มันเปลี่ยนไป

 เวลาที่มันเสื่อมไป หายไปหรือหมดไป

เช่นสมบัติข้าวของเงินทอง

 เวลาได้มานี้ดีอกดีใจกัน แต่พอเวลามันหมด

นี่ก็เสียอกเสียใจกัน บางทียังไม่ทันหมด

เพียงแต่คิดว่ามันจะหมดก็ไม่สบายใจแล้ว

 มีความวิตกมีความกังวลต่างๆ ขึ้นมา

ความวิตกกังวลก็เป็นความทุกข์อีกอย่างหนึ่ง

 เวลาที่สูญเสียก็เป็นความทุกข์อีกอย่างหนึ่ง

 นี่คือเรื่องของลาภ คือทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองต่างๆ

นอกจากจะให้ความสุขกับเราแล้ว

มันก็สามารถที่จะพลิกกลับมา

ให้ความทุกข์กับเราได้โดยที่เราไม่รู้สึกตัว

 เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเกิดขึ้น

 วันดีคืนดีมันก็หายไปได้หมดไป

ได้สิ้นเนื้อประดาตัวได้

เช่นเดียวกับยศกับตำแหน่งต่างๆ

เดี๋ยวก็มีการเปลี่ยนแปลงมีการปลดกัน

 มีขึ้นมีลง มีเลื่อนขึ้นมีเลื่อนลงกัน

เวลาขึ้นก็ดีใจ แต่เวลาลงก็เสียใจ

เช่นเดียวกับสรรเสริญ

 เวลาคนที่เคยสรรเสริญเรา

 เขากลับมาว่าเรากลับมาตำหนิเรา

 เราก็จะเสียอกเสียใจ

หรือเขาไม่ชมเราไม่สรรเสริญเรา เราก็เสียใจ

ถ้าเขาเคยแต่ชม เคยแต่สรรเสริญ

พอเขาไม่ชม เขาอยู่เฉยๆ ไม่พูดอะไร

เราก็เริ่มวิตกกังวลแล้วว่าเป็นอะไรไป

ทำไมไม่สรรเสริญไม่ชื่นชมเหมือนเมื่อก่อนนี้

 เช่นเดียวกับรูปที่เราดูที่เราเห็น

ถ้าเราไปเห็นรูปไม่สวยเราก็ไม่สบายใจ

ได้ยินเสียงที่ไม่ไพเราะก็ไม่สบายใจ

 ได้ดมกลิ่นเหม็นก็ไม่สบายใจ

ได้ลิ้มรสที่ไม่ถูกใจก็ไม่สบายใจ

 ได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ผ่านทางร่างกาย

ที่มันไม่ถูกใจก็ไม่สบายใจ

นี่คือของเหล่านี้มันไม่ใช่

จะให้แต่ความสุขกับเราเพียงอย่างเดียว

มันสามารถพลิกเป็นความทุกข์ให้กับเราได้

 ที่เราทุกข์กันก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันพลิกไป

 มันเปลี่ยนไป มันหมดไป

แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

เพราะตั้งแต่เกิดมาเราก็ถูกสอน

ให้หาความสุขแบบนี้กัน

ไม่มีใครสอนให้ไปหาความสุขแบบอื่นกัน

 เพราะไม่มีใครรู้ว่ามีความสุขแบบอื่นหรือไม่

 พวกเราก็เลยต้องพบกับความสุขแบบนี้กัน

 สุกๆ ดิบๆ สามวันดีสี่วันไข้ สามวันสุขสี่วันทุกข์

 เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไปจนวันตาย

แล้วก็ตายแล้วก็ยังไม่จบ

 ตายแล้วก็ยังกลับมาเกิดใหม่อีก

 กลับมามีร่างกาย

 เพื่อที่จะได้หาลาภ ยศ สรรเสริญ

หารูป เสียง กลิ่น รสต่างๆ อย่างนี้อีก.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 เมษายน 2560
Last Update : 7 เมษายน 2560 9:17:07 น.
Counter : 664 Pageviews.

0 comment
<<< อยู่ไม่สุข >>>








อยู่ไม่สุข



ความสุขนั้นเป็นยอดปรารถนาของทุกคน

 ไม่มีใครที่ไม่วาดหวังชีวิตอันผาสุก

 แต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่

กลับรู้จักความสุขน้อยมาก

กล่าวคือ มักเห็นว่าความสุข

เกิดจากวัตถุสิ่งเสพเท่านั้น

 ต่อเมื่อได้เสพได้ครอบครองจึงมีความสุข

 เงินจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของชีวิต

แท้จริงแล้วยังมีความสุขที่ประเสริฐกว่านั้นอีก

 เช่น ความสุขที่เกิดจากใจอันสงบ

ความสุขจากความภาคภูมิใจ

เมื่อได้ทำความดี

 รวมทั้งความสุขเมื่อได้ละวาง

ความสุขประเภทหลังนั้นเกิดขึ้นได้

โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุสิ่งเสพ แม้มีน้อย

 ไม่ร่ำรวย ก็มีความสุขได้

 เป็นสุขที่พบได้กลางใจเรา

 เป็นเพราะมองไม่เห็นความสุขดังกล่าว

 ผู้คนจึงพากันดั้นด้นแสวงหาความสุขที่อยู่นอกตัว

 แต่ไม่ว่าจะมีหรือได้มากเท่าไร

ก็ไม่พบความสุขที่แท้

ต่อเมื่อหยุดแสวงหาสิ่งภายนอก

 หันกลับมามองตน วางใจให้ถูก ดูแลใจให้ดี

 ก็จะพบความสุขอันประเสริฐได้ไม่ยาก

เป็นความสุขที่สัมผัสได้แม้ประสบกับ

ความเจ็บป่วย พลัดพราก หรือยากไร้.

พระไพศาล วิสาโล









ขอบคุณที่มา fb. ข้อธรรมคำสอน พระไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 06 เมษายน 2560
Last Update : 6 เมษายน 2560 10:30:01 น.
Counter : 632 Pageviews.

0 comment
<<< ควบคุมบังคับใจให้เข้าสู่ความสงบ >>>









"ควบคุมบังคับใจให้เข้าสู่ความสงบ"

การจะได้ความสุขทางใจนี้

จะต้องสละความสุขทางร่างกายไปนั่นเอง

 เหมือนกับที่เราต้องการจะเทเครื่องดื่มเข้าไปในถ้วย

 แล้วในถ้วยยังมีเครื่องดื่มเก่าอยู่

 เราต้องการเทเครื่องดื่มใหม่เข้าไป

 เราก็ต้องเททิ้งเครื่องดื่มเก่า

ที่มีอยู่ในถ้วยนั้นไปก่อน

แล้วเราถึงจะสามารถเทเครื่องดื่มใหม่เข้าไปได้

การที่จะเอาความสุขใหม่เข้าสู่ใจเรา

ก็ต้องเอาความสุขเก่าออกไป

ความสุขเก่าก็คือความสุขทางร่างกาย

 เราต้องเททิ้งไป เพื่อที่เราจะได้มีที่

ให้ความสุขใหม่เข้ามานั่นเอง

จึงจำเป็นที่จะต้องทิ้งความสุขเก่าไป

 ทิ้งความสุขทางร่างกายไป

 ทิ้งความสุขทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ

ทิ้งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายไป

 แล้วไปอยู่ในที่สงบสงัดวิเวก

 ห่างไกลจากความสุขทางร่างกายชนิดต่างๆ

เพื่อที่จะได้สร้างความสุขทางใจขึ้นมา

ความสุขทางใจนี้ ต้องอาศัยการอยู่ตามลำพัง

 ที่ห่างไกลจากลาภ ยศ สรรเสริญ

ห่างไกลจากความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

เช่น ตามป่าตามเขา

 ตามที่ไม่มีสิ่งที่จะมายั่วยวนกวนใจ

 สิ่งที่จะไม่มาดึงใจให้ไปหาความสุขทางร่างกาย

 แล้วก็จะต้องสร้างความสุขทางใจนี้ขึ้นมา

เพราะถึงแม้ว่าจะไปอยู่ห่างไกล

จากความสุขทางร่างกายแล้ว

ความสุขทางใจก็ยังไม่ปรากฎขึ้นมาเอง

 ความสุขทางใจจะปรากฎขึ้นมาได้

ก็ต้องมีการควบคุมบังคับใจ ให้เข้าสู่ความสงบ

 ให้ระงับความคิดปรุงแต่งต่างๆ

เพราะความคิดปรุงแต่งต่างๆ นี้

จะทำให้ใจไม่สงบนั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ





Create Date : 06 เมษายน 2560
Last Update : 6 เมษายน 2560 10:14:16 น.
Counter : 797 Pageviews.

0 comment
<<< บุญต้องทำอยู่ในโลกมนุษย์ >>>










"บุญต้องทำอยู่ในโลกของมนุษย์"

ช่วงนี้เป็นช่วงเช็งเม้ง เป็นธรรมเนียมของชาวจีน

ที่จะไปเคารพศพของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ก็เลยเอาอาหารไปให้กับคนที่ล่วงลับไปแล้ว

แต่คนที่ล่วงลับไปแล้วนี้เขาไม่มีร่างกาย

 แล้วอาหารนี้เป็นอาหารสำหรับร่างกายของเขา

แต่ร่างกายของเขาตอนนี้อยู่ในหลุมศพ

ที่ถูกฝังอยู่ในหลุมกินไม่ได้

ถ้าอยากจะให้คนตายนี้มีของกิน ก็ต้องให้บุญ

 บุญนี้เป็นอาหารของคนตาย

เพราะคนตายนี้ตายไปครึ่งเดียว

 ตายไปแค่ร่างกาย

 แต่กายทิพย์คือใจนี้ไม่ได้ตาย

กายทิพย์นี้ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

กายทิพย์นี้ยังต้องการอาหารอยู่

อาหารของกายทิพย์ก็คือบุญ

ถ้าเราอยากจะให้คนที่ตายไปแล้ว

เขามีอาหารรับประทาน

เราก็เอาอาหารที่เราไปไหว้ที่ศพนี่แหละ

 เอาไปทำบุญทำทาน

ถ้าเรากินอาหารที่เราเอาไปไหว้ศพ

 ศพคนตายก็ไม่ได้อะไร ได้แต่คนเป็น

คนเป็นที่ไปไหว้นั่นแหละ

ที่เอาอาหารไปให้คนตาย

 คนตายไม่ได้กินคนเป็นก็เลยกินแทนคนตาย

ถ้าอยากจะให้คนตายมีอาหารกินก็ต้องทำบุญ

 บุญนี้เป็นอาหารของกายทิพย์

แต่คนที่ตายไปนี้ไม่ได้หมายความว่า

ทุกคนต้องมารอรับอาหารรอรับบุญจากคนเป็น

 ขึ้นอยู่กับว่าตอนที่มีชีวิตอยู่นั้น

ได้ทำบุญหรือเปล่า

 ถ้าได้ทำบุญเป็นประจำ ก็จะมีบุญติดตัวไปมาก

 ก็จะเป็นเศรษฐีบุญ ถ้าเป็นเศรษฐีบุญ

ก็ไม่ต้องมารอรับบุญจากผู้อื่นที่ยังมีชีวิตอยู่

 แต่ถ้าขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ ทำบุญน้อย

หรือไม่ค่อยทำเลย มีเงินก็ไปเที่ยวกัน

 ไปซื้อของเล่นของฟุ่มเฟือยกัน

 แทนที่จะเอาไปทำบุญกัน แล้วก็ไม่รักษาศีล

 ทำบาปกัน ถ้าตายไปก็จะเป็นขอทาน

ขอทานบุญทางจิตวิญญาณ

 เพราะไม่มีบุญติดตัวไป

นี่พวกนี้แหละที่จะต้องมารอรับส่วนบุญ

 เพราะเขาไม่มีอาหารกิน เขาจะรู้สึกหิว

แล้วเขาไม่สามารถหาอาหารเองได้

เพราะในโลกทิพย์ไม่มีที่ทำบุญ

จะทำบุญนี้จะต้องทำอยู่ในโลกของมนุษย์.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 05 เมษายน 2560
Last Update : 5 เมษายน 2560 9:50:04 น.
Counter : 758 Pageviews.

1 comment
<<< เพ่งโทษ >>>










เพ่งโทษ


มีเจ้าของบ้านคนหนึ่ง กำแพงบ้านของเขา

ชอบมีคนมีขีดเขียนอยู่เรื่อย

 เช่น ประกาศศักดาว่า

วิทยาลัยนี้เป็นพ่อทุกสถาบันบ้าง

ด่าคนโน้นคนนี้บ้าง เจ้าของบ้านพยายามขอร้อง

เพื่อนบ้านในซอยว่าอย่าขีดเขียนก็ไม่ได้ผล

 อุตส่าห์ปักป้ายหน้ากำแพงว่า

ห้ามเขียนกำแพงก็ไม่มีคนสนใจ

 ห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง สุดท้ายด้วยความโมโห

แกก็เลยคว้ากระป่องสีไปที่กำแพง

 แล้วเขียนข้อความตัวโต ๆ บนกำแพงว่า

"ใครเขียนเป็นหมา"
.
ชายคนนั้งต้องการด่าคนที่เขียนกำแพง

 แต่ความที่ต้องการด่ามากก็เลยลืมไปว่า

ตัวเองกำลังด่าตัวเอง คนอื่นยังไม่ทันเป็นหมาเลย

ตัวเองกลับเป็นหมาไปเสียก่อนแล้ว นี่เพราะอะไร

เพราะไปคิดเล่นงานคนอื่นมากจนลืมมองตัว

 คนเรามักเป็นอย่างนี้
.
คนบางคนรำคาญคนที่ชอบโทรศัพท์ในโรงหนัง

 พยายามกระแอมก็ไม่ได้ผล

 หนักเข้าก็เลยตะโกนด่าว่า

 "ทำไมพูดเสียงดังวะ ไม่มีมารยาทเสียเลย

ไม่รู้หรือไงวะว่ารบกวนคนอื่น"

แต่ปรากฏว่าเสียงตะโกนด่าของเขา

รบกวนคนในโรงหนังมากกว่าคนใช้โทรศัพท์

ที่ตัวเองกำลังด่าเสียอีก
.
เห็นไหมว่าเวลาเราเพ่งโทษคนอื่น

เราเองอาจจะทำยิ่งกว่าเขาอีก

 เวลานึกอยากด่าใครจึงต้องหันมาดูตัวเองให้มาก ๆ

 เพราะเราอาจกำลังจะเป็นอย่างเขาก็ได้

 ความโกรธมันไม่เข้าใครออกใคร

 เพราะฉะนั้นสติจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

เราจะต้องกลับมาดูตัวเราเองเสมอ

รู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

 เวลาไม่ชอบใครเมื่อไร ให้เตรียมใจไว้เลย

ว่าเราอาจจะกำลังเป็นอย่างเขา หรือยิ่งกว่าเขาก็ได้
.

พระไพศาล วิสาโล




ขอบคุณที่มา fb. ข้อธรรมคำสอน พระไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ





Create Date : 04 เมษายน 2560
Last Update : 4 เมษายน 2560 11:09:33 น.
Counter : 1985 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ