Group Blog
All Blog
### ความรักตัวกลัวตาย ###









“ความรักตัวกลัวตาย”

เรื่องความกลัวตายนี่ ลองไปพิสูจน์ดู

 ถ้าไม่เห็นว่าความรักตัวกลัวตาย

มันเป็นโทษมากกว่าความตาย

 เราก็จะไม่ปล่อย แต่ถ้าเห็นว่า

 ขณะนี้เราทุกข์เหลือเกิน เราทรมานเหลือเกิน

 เพราะความกลัวสิ่งต่างๆ เราก็จะปล่อย

เวลาไปอยู่ในที่มีภัยรอบด้าน

 ถึงแม้ภัยจริงๆยังมาไม่ถึงตัว

แต่ความกลัวมาถึงตัวก่อนแล้ว

เราจะเห็นว่าความกลัว

นี่มีโทษมากกว่าภัยรอบด้าน

 ถ้ายอมตายความกลัวที่มีอยู่ในใจ

จะหายไปหมดเลย จะเกิดความสงบ

ความสบายความสุขขึ้นมา

ท่ามกลางภัยต่างๆที่ล้อมรอบ

 ที่กลับไม่เป็นภัย เหมือนกับภัยที่อยู่ในใจ

 คือความรักตัวกลัวตายนี่เอง

เราจะไม่เห็นความรักตัวกลัวตายนี้

 ถ้าไม่ไปอยู่ในสถานที่ที่มีภัยรอบด้าน

เพราะมันจะไม่ออกมา อย่างที่เราอยู่ตรงนี้

 ความรักตัวกลัวตายมันไม่ออกมา

 แต่ถ้าเกิดมีใครโยนงูพิษ

เข้ามาใส่ในศาลาสักตัว

 ดูใครจะกระโดดหนีก่อนใคร

มันถึงจะออกมา

ถ้ากระโดดหนีไม่ได้จะทำอย่างไร

 ถ้าถูกผูกมัดไว้ให้นั่งอยู่เฉยๆ

จิตใจจะดิ้นอย่างไร

 ถ้าจิตใจปลงได้มันก็ไม่ดิ้น

 เพราะเห็นว่ามันทุกข์เหลือเกิน

ที่ไปกลัวความตาย ยอมตายดีกว่า

 ยอมตายแล้วกลับไม่ทุกข์ ถ้าเห็นอย่างนี้

ก็จะสามารถทำลายความรักตัวกลัวตายได้

 เป็นความหลงอย่างหนึ่ง

ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว

ก็จะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วร่างกายก็ต้องตายอยู่ดี

ร่างกายเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งที่เราได้มา

 ครอบครอง แต่เราไปหลงว่าเป็นตัวเราของเรา

 เพราะมันติดอยู่กับใจ

ตั้งแต่วันที่คลอดออกจากท้องแม่

ตั้งแต่วันที่จิตใจเริ่มตื่นขึ้นมารับรู้มาเห็นร่างกาย

 ก็ถูกความหลงหลอกว่าเป็นตัวเราของเรา

แล้วก็ไม่มีใครบอกว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

 ถ้าสมมุติว่าพ่อแม่เป็นพระพุทธเจ้า

เป็นพระอรหันต์นี่ ท่านก็จะสามารถสอน

ตั้งแต่ลูกเริ่มรู้เดียงสาว่า

ร่างกายนี้ไม่ใช่ของลูกนะ

ตัวลูกที่แท้จริงไม่ใช่ร่างกายนี้

ตัวลูกก็คือดวงวิญญาณ

ที่มาครอบครองร่างกายนี้ คือตัวรู้ คือตัวใจ

 ร่างกายนี้จะเป็นอะไรไปก็ไม่ต้องไปเสียดาย

 มันจะแก่จะเจ็บจะตายก็ให้มันเป็นไป

 มันไม่ใช่ตัวเราของเรา มันต้องไปอยู่ดี

 ถ้าเรายอมให้มันไป ไม่ยึดไม่ติดกับมัน

 เราจะอยู่อย่างมีความสุขไปตลอด

จะไม่มีความทุกข์กับความเป็นไปของร่างกาย

 ร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไร

 จะแก่จะเจ็บไข้ได้ป่วย

จะมีพิษภัยอะไรต่างๆมาทำลาย จะรู้สึกเฉยๆ

 จะสามารถไปได้ทุกแห่งทุกหน

ที่คนทั่วไปจะไม่กล้าไปกัน

เช่นไปในป่าช้า ไปในป่าลึก

ถ้ามีคนสอนตั้งแต่เริ่มเป็นเด็กมานี่

มันก็จะซึมซาบเข้าไปในใจ

ทีนี้เด็กจะรับได้ไม่ได้ก็อยู่ที่กิเลสของเด็ก

 ว่ามีแรงมากหรือน้อย ถ้าน้อยมันรับได้ง่าย

ปัญหาก็จบได้ง่าย ถ้ารับได้ยาก

ก็ต้องคอยสอนอยู่เรื่อยๆ

ต้องให้ไปประสบกับเหตุการณ์จริงๆ

ให้เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ

 ที่ไปหลงยึดติดว่าเป็นตัวเราของเรา

 มันมีโทษมากกว่าการปล่อยวาง

 ยอมรับความจริงว่ามันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา

 ถ้ามันจะจากไป จะเป็นอะไรไป ก็ให้มันไป

ให้มันเป็นไป แล้วจะเห็นความสุขความสงบ

ที่เกิดจากการยอมรับนี้ ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว

 ต่อไปก็จะสามารถใช้การปล่อยวางนี้

ไปใช้กับสิ่งอื่นได้ ถ้าปล่อยร่างกายนี้ได้แล้ว

 ส่วนอื่นๆภายนอกก็ต้องปล่อยได้หมด

 เพราะมีความสำคัญรองลงมาจากร่างกาย

 เพราะไม่มีอะไรจะมีค่ายิ่งกว่าร่างกาย

ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียงลำดับความสำคัญ

ไว้ดังต่อไปนี้คือ ทรัพย์ อวัยวะ แล้วก็ชีวิต

 ชีวิตเราให้น้ำหนักมากที่สุด มากกว่าอวัยวะ

 ถ้าต้องตัดแขนตัดขาก็ยอม ถ้ายังอยู่ได้

 ต้องผ่าตัดก็ยอมผ่า เพื่อรักษาชีวิตไว้

เพราะเรารักชีวิตมากกว่า

แล้วก็ทรงสอนให้รักธรรมมากกว่าชีวิต

ธรรมก็คือความสงบของใจ

ถ้าอยากจะให้ใจสงบ ให้มีความสุขใจ

 ก็ต้องละได้แม้กระทั่งชีวิต

เพราะชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา

 ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ละไม่ได้ มันละได้

เพียงแต่เราไปหลงยึดติดมันเอง

แต่ใจนี่เราละไม่ได้ ต่อให้เราอยากจะละมัน

 ก็ละไม่ได้ เพราะมันเป็นของเรา

 มันเป็นตัวเราที่แท้จริง มันอยู่กับเราไปตลอด

 แต่เราไม่รู้ใจของเรา เราไปหลงว่า

เราคือร่างกาย เราก็เลยทุกข์วุ่นวาย

กับร่างกาย ที่จะต้องจากเราไป

 ส่วนที่ไม่จากเราไปก็คือใจ

 มันอยู่กับเราไปตลอด

ตัวรู้มันอยู่กับเราไปตลอด แต่เราไม่รู้ใจ

ไม่มีใครสอนว่าใจของเราเป็นอย่างไร

ถ้าไม่ภาวนาเราจะไม่เห็นใจ

 เพราะถูกความหลงหลอก

ให้ไปดูสิ่งต่างๆภายนอก ไม่ให้กลับมาดูตัวใจ

ตัวใจก็เป็นเหมือนอีกจักรวาลหนึ่ง

 จักรวาลภายนอกก็คือ

ที่เราเห็นด้วยตาของเรานี้

 เช่นดวงดาวต่างๆ หลับตาดูซิ

เราจะเห็นอีกจักรวาลหนึ่ง จักรวาลภายใน

เวลานั่งภาวนา ถ้าไม่รับรู้ทางอายตนะเลย

 แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่รับรู้ เราจะเห็นว่า

ใจนี้เป็นอีกจักรวาลหนึ่ง

อันนี้แหละที่เป็นไตรภพ มันอยู่ในนี้

นรกสวรรค์ก็อยู่ในจักรวาลภายในนี้

แต่เรามองไม่เห็นกัน

 ที่เขาว่านั่งภาวนาแล้ว

ไปเห็นนรกเห็นสวรรค์

 ก็เห็นอย่างนี้ เวลาที่ใจรุ่มร้อน

เราก็ไปนรกแล้ว

 เวลาที่ใจสงบเย็นเราก็ไปสวรรค์แล้ว

 มีความสุขเราก็ไปสวรรค์แล้ว

 แต่เป็นความสุขที่เกิดจากทำความดี

ไม่ใช่ความสุขจากการไปเที่ยว

นั่นเป็นนรกที่เคลือบด้วยสวรรค์

มันเป็นสวรรค์เดี๋ยวเดียว

พอกลับมาบ้านก็กลายเป็นนรกทันที

บ้านจึงเป็นสถานที่ไม่น่าอยู่เลย

 ทั้งๆที่บ้านควรจะเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุด

 กลับเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อ

 ที่จะต้องหนีออกไปอยู่เรื่อยๆ

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ

เพื่อให้เข้าสู่จักรวาลภายใน

 ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า

สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ

 พระอริยเจ้าพระพุทธเจ้าก็อยู่ในใจของเรานี่

 เป็นของเราอย่างแท้จริง

สวรรค์ก็เป็นของเรา นรกก็เป็นของเรา

 เราสร้างมันขึ้นมาเอง

ถ้าทำบาปทำกรรมทำสิ่งที่ไม่ดี

 เราก็สร้างนรกขึ้นมาภายในใจของเรา

ทำความดีเราก็สร้างสวรรค์ขึ้นมาในใจ

 ภาวนาเราก็สร้างนิพพานขึ้นมาภายในใจ

อยู่ในใจนี้ ใจเป็นจักรวาล

ที่กว้างใหญ่ไพศาล

 แต่มองไม่เห็นเพราะไม่หลับตากัน

 เวลาหลับตาก็หลับแบบไม่มีสติกัน

 ถ้าหลับแบบมีสติก็ต้องหลับแบบภาวนา

 จะได้เห็นนรกเห็นสวรรค์

เห็นเทพเห็นอะไรต่างๆ

เห็นมรรคผลนิพพาน อยู่ในใจนี้ทั้งหมด

 ไม่ได้อยู่ที่ไหน ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว

ก็ไม่ต้องไปอินเดีย

ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้า

พระธรรมพระสงฆ์ที่ไหน

ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

กัณฑ์ที่ ๓๘๐ วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑

 (จุลธรรมนำใจ ๑๓)

“ไปถูกทาง”





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 05 ธันวาคม 2559
Last Update : 5 ธันวาคม 2559 11:24:03 น.
Counter : 957 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ