Group Blog
All Blog
### การบำบัดทุกข์บำรุงสุขตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ###









“การบำบัดทุกข์บำรุงสุข

ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า”

วันเวลานั้นเป็นของที่ไม่แน่นอน

 ชีวิตของเราก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

 มีการเกิดย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

 เวลาที่ร่างกายจะดับไปนั้น

ก็ไม่มีใครสามารถไปกำหนดได้

 ว่าจะเป็นวันนั้นเป็นวันนี้

 ดังนั้นจึงไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท

 คือไม่ควรจะผัดวันประกันพรุ่ง

อย่าคิดว่าชีวิตของเรานี้จะเป็นอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ

 อย่าไปคิดว่าเราจะมีเวลาประกอบกิจ

ที่พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้

ให้ประกอบได้เมื่อไรก็ได้

เพราะว่าเราอยู่ภายใต้กฎของอนิจจัง

ร่างกายอยู่ภายใต้กฎของความไม่แน่นอน

 ผู้ฉลาดจึงไม่ประมาท จึงรีบขวายขวาย

ประกอบกิจที่พึ่งจะกระทำให้เสร็จสิ้นไป

 เพราะเมื่อกิจนี้เสร็จสิ้นแล้วก็จะไม่มีกิจอื่นใด

 ที่จะต้องทำอีกต่อไป เพราะไม่มีปัญหา

 เพราะไม่มีสิ่งที่จะทำให้

ต้องมาทำอะไรอีกต่อไป

สิ่งที่เราตอนนี้ยังต้องทำกันอยู่เรื่อย ๆ

ก็คือการบำบัดทุกข์บำรุงสุข

 แต่บำบัดทุกข์บำรุงสุขของเรานี้

ไม่ได้เป็นไปตามแนวทาง

ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินมา

 และทรงสั่งสอนให้บำเพ็ญกัน

 การบำบัดทุกข์บำรุงสุข ของพวกเรา

 จึงเป็นการบำบัดสุข บำรุงทุกข์เสียมากกว่า

คือ ความทุกข์ของเรากลับมีเพิ่มมากขึ้นไป

 ความสุขของเรากลับมีน้อยลงไป

 ถ้าเราเปรียบเทียบสมัยที่เราเป็นเด็ก

กับสมัยที่เราเป็นผู้ใหญ่ เราจะเห็นว่า

สมัย ที่เราเป็นเด็กนี้ความทุกข์ของเราไม่มาก

 ความสุขของเราจะมีมากกว่า

 แต่พอเราเจริญเติบโตขึ้นมามากขึ้นๆ

 เรามีความสามารถที่จะเดินไปในทางผิดมากขึ้น

 เราจึงสร้างความทุกข์ให้กับเรามากขึ้น

 รักษาความสุขให้น้อยลงไป

สมัยเด็กๆ เราทุกข์อยู่กับเรื่องอะไร

 ก็ทุกข์อยู่กับเรื่องของเล็กๆ น้อยๆ

 เช่นของเล่นของอะไรไปวันหนึ่งๆ

 แต่ไม่มีทุกข์อย่างที่เรามีกันอยู่ในทุกวันนี้

เพราะว่าความอยากของเรา

ในสมัยที่เป็นเด็กๆ

กับความอยากของเราในสมัยนี้

มีความแตกต่างกันมาก

ความอยากของเราในสมัยเด็กๆนี้

ไม่ต้องใช้อะไรมาก เพื่อตอบสนอง

เพียงได้กินขนม ได้กินของ

ที่อยากจะรับประทาน

อย่างสองอย่างก็มีความสุขแล้ว

 แต่ความอยากของเราตอนนี้

มันมีมากกว่าการกินขนมอย่างสองอย่าง

 มันมีความอยากอะไรมากมายก่ายกอง

 จึงทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา

มากมายก่ายกอง เพราะเราไม่ได้บำเพ็ญ

ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนให้บำเพ็ญ

แนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้บำเพ็ญ

ก็คือ การลดละความอยากให้น้อยลงไป

ไม่ใช่ให้เพิ่มมีมากขึ้นไป

นี่คือการบำเพ็ญของพวกเรา

 การบำบัดทุกข์บำรุงสุขของพวกเรา

กลับกลายเป็นการบำบัดสุขบำรุงทุกข์กัน

 เนื่องจากเราไม่ลดละความอยาก

ความต้องการต่างๆ กัน แต่กลับเพิ่ม

ความอยาก ความต้องการให้มีมากขึ้น

 สมัยเด็กๆ มีเงินวันละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท

ก็ดีอกดีใจ มีความสุข

สมัยนี้มีเงินวันละ ๑๐๐ - ๒๐๐ ก็ยังไม่มีความสุข

 มีความทุกข์เพราะไม่พอ

วันละ ๑,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ก็ยังไม่พอ

 อย่างน้อยวันละ หมื่นสองหมื่น

 หรือแสนสองแสน ถึงจะรู้สึกว่าพอ

ทำไมมันจึงต้องการมากมายขนาดนั้น

 ก็เพราะว่าเราเริ่มรู้มาก

 เริ่มรู้เรื่องของต่างๆ มีมากในโลกนี้

 แล้วของต่างๆในโลกนี้ก็มีราคาที่มาก

สมัยเด็กๆ เราไม่รู้จักของต่างๆ

 เราก็เลยไม่มีความต้องการของต่างๆ

 อะไรมากมาย ของที่อยากจะได้ก็คือ

 ของเล่นของกินอะไรเล็กๆ น้อยๆ

 ราคาไม่กี่สตางค์

พอเราโตขึ้นมาเราเริ่มเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

รู้จักสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็เลยทำให้

เกิดความอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้เพิ่มมากขึ้น

 จึงทำให้การที่จะต้องตอบสนอง

ความอยากนั้นหนักมากขึ้นๆ

การที่จะได้สิ่งที่เราจะตอบสนอง

ความอยาก ของเรานี้

ก็ต้องได้มาด้วยความยากเย็น

 เพราะเราก็ต้องทำมาหากินหาเงินหาทอง

เพื่อที่จะได้นำเอามา

ซื้อสิ่งต่างๆที่เราอยากได้กัน

แล้วก็ถ้าไปซื้อแบบในลักษณะ

ซื้อแบบเงินผ่อน อันนี้ก็ยิ่งจะทำให้

เกิดความทุกข์เพิ่มมากขึ้น

 เพราะจะซื้อของมามากกว่า

ที่เราจะมีกำลังที่จะจ่ายได้

หรือจ่ายได้แบบก็ไม่มีโอกาสที่ผิดพลาด

คือรายได้ของเรานี้

จะไม่มีหดหรือไม่มีวันหยุด ถ้ารายได้เราหด

หรือรายได้เราหยุดไปเมื่อไหร่

 ตอนนั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นมา

 เพราะจะไม่สามารถจ่ายหนี้ที่เราไปสร้างไว้ได้

 ตอนนั้นก็จะเดือดร้อนทางจิตใจ

 เพราะไม่อยากจะสูญเสีย สิ่งที่ซื้อมาไป

 ก็จะทำให้ต้องดิ้นรนเพิ่มมากขึ้น

ทำงานหนักขึ้นไป เวลาที่จะพักผ่อน

เวลาที่จะมาทำประโยชน์

 ทางด้านจิตใจก็จะมีน้อยลงไป

ถ้าไม่พอก็อาจจะต้องทำด้วยวิธีทุจริต

ทำผิดกฎหมายบ้าง ทำผิดศีลธรรมบ้าง

 ก็จะสร้างความทุกข์สร้างโทษให้แก่จิตใจ

 เพิ่มมากขึ้นไป อันนี้เป็นเพราะว่า

ไม่ควบคุมความอยาก ไม่ลดละความอยาก

ปล่อยให้ความอยากนี้มีความเจริญเติบโต

เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นเอง

เพราะว่าไม่ได้สนใจที่จะปฏิบัติตาม

ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้

 ถ้าสนใจที่จะปฏิบัติแล้ว

ก็จะสามารถ ที่จะควบคุมความอยากต่างๆ

 ให้อยู่ในกรอบของความพอดี

หรืออยู่ในกรอบของการไม่มีเลยก็ได้

 เบื้องต้นเราก็ต้องพยายามใช้

ให้พอเหมาะกับฐานะของเรา

อย่าไปใช้ตามความอยากของเรา

 เราหามาได้เท่าไร เราควรที่จะเเบ่ง

รายได้ของเราเป็นส่วนๆ ไป

รายได้ที่จะต้องใช้กับส่วนที่จำเป็น

เช่น ปัจจัย ๔ เราก็แบ่งเอาไว้

รายได้ที่เราจะต้องเก็บเอาไว้ในอนาคต

 เผื่อเวลาที่มีการตกงานหรือว่าขาดรายได้

 ไม่สามารถหารายได้

 เช่นอาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือออกจากงาน

ก็จะได้อาศัยเงินที่สะสมเก็บไว้นี้มาจุนเจือต่อ

 แล้วก็ต้องแบ่งไว้ อีกส่วนหนึ่ง

เพื่อมาเป็นการลดละของความอยาก

 คือแทนที่จะเอาเงินที่เหลือนี้

ไปใช้ตามความอยาก

 เราก็เอาเงินที่เหลือจากการที่เราแบ่งไว้

ให้แก่สิ่งที่จำเป็นนั้น มาใช้

ในการทำลายความอยากหรือลดความอยาก

 เช่นเรามี ๑๐๐ ส่วน เราแบ่งไว้ ๗๐

สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น

และเงินสะสมไว้ในอนาคต

 เรามีเหลืออยู่ ๓๐ ส่วนเราก็เอาเงิน ๓๐ ส่วนนี้

มาหยุดความอยากันดีกว่า

 อย่าเอามาสร้างความอยาก

 ถ้าเราเอาเงิน ๓๐ ส่วนนี้

มาซื้อของตามความอยาก

 หรือซื้อของที่ไม่จำเป็น

ซื้อของฟุ่มเฟือยซื้อความสุข

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันก็จะทำให้

ความอยากในสิ่งเหล่านี้มีเพิ่มมากขึ้น

ถ้าเราอยากจะลดความอยาก

ในสิ่งเหล่านี้เราก็เอาเงิน ๓๐ ส่วนนี้

มาทำบุญให้ทาน มาแบ่งปัน

ให้แก่ ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก

 ผู้ที่อดยากขาดแคลนเจ็บไข้ได้ป่วย

 ผู้ที่ต้องพึ่งพาอาศัย

ความช่วยเหลือจากผู้อื่น

 เราเอาเงินนี้มาทำทานกัน

ถ้าเราทำทานในส่วนนี้ได้

 เราก็จะควบคุมความอยาก

ที่เรามีอยู่นี้ไม่ให้เจริญเติบโตขึ้นมา

 อย่างน้อยเราก็บังคับไว้

ให้มันอยู่ในระดับเดิม

ทุกครั้งที่อยากจะซื้อขนมนมเนย

ที่ไม่จำเป็นที่รับประทานแล้ว

 แทนที่จะเป็นประโยชน์กับร่างกาย

กลับเป็นโทษกับร่างกาย

ให้ร่างกายมีน้ำหนักเพิ่มเกินไป

 ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา

ทำให้รูปร่างกลายเป็นตุ่มไป

อันนี้เราก็เอาเงินนี้

มาซื้ออาหารให้ผู้อื่น

 ซื้อขนมนมเนยให้แก่ผู้อื่น

เห็นคนที่เขาไม่เคยได้รับประทาน

ขนมนมเนยอะไรต่างๆ ก็ซื้อไปให้เขากิน

เช่นเอาอาหารไปเลี้ยงตามบ้านคนชรา

 ตามบ้านเด็กพิการทางสมอง ทางร่างกาย

 ช่วยเหลือแบ่งปันความสุข ให้แก่ผู้อื่น

 เราจะสามารถที่จะลดละความอยาก

คือตัวที่จะสร้างปัญหาให้กับเรานี้

ไม่ให้มีกำลังเพิ่มมากขึ้น

และในขณะเดียวกันก็ทำให้

เรามีความสุขอีกแบบหนึ่ง

คือความสุขใจที่เกิดจาก

การชนะความอยากนี่เอง

เวลาเราอยากได้อะไรแล้ว

เราเปลี่ยนใจไม่อยากได้

ใจของเราจะมีความสุขมากกว่า

เวลาที่เราได้ในสิ่งที่เราอยากได้

เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะมีความสุข

จากสิ่งที่เราได้มา

 แต่เป็นความสุขเดี๋ยวเดียว

และเดี๋ยวก็จะเกิดความอยากขึ้นมาใหม่

 ที่มีกำลังแรงกว่าเก่าทำให้ความสุขที่ได้

จากการได้สิ่งที่ได้มานั้นหายไป

 แล้วก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาใหม่

 ทุกข์ในขณะที่อยากได้

 และทุกข์ในขณะที่ไม่ได้ดังใจ

 แต่ถ้าเราเปลี่ยนการใช้เงินส่วนนี้

มาให้กับการทำลาย

หรือลดละความอยากต่างๆ

ความอยากของเราก็จะเบาบางลงไป

 แล้วความสุขความสบายใจ

ก็จะมีเพิ่มมากขึ้น

นี่คือวิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

 ที่ทรงสอนให้ทำทานนี่เอง ทานก็คือการให้

ให้เอาเงินส่วนที่เราไม่จำเป็น

 จะต้องอาศัยนี้มาทำทาน

มาลดตัณหาความอยาก

แล้วก็มาสร้างความสุขใจอิ่มใจ

ที่เกิดจากความให้อันนี้ อันนี้เป็นขั้นแรก

อยู่ที่การที่เราจะตัดกำลังของความอยาก

 ที่เป็นตัวสร้างความทุกข์ให้กับเรา

 แล้วความทุกข์ของเรานี้จะเบาบางลงไป

 ความสุขของเราจะมีเพิ่มมากขึ้น

นี่คือเรียกว่าวิธีบำบัดทุกข์บำรุงสุข

 ที่ถูกตามหลักของความเป็นจริง

 ดับความทุกข์ได้จริงๆ

บำบัดความทุกข์ได้จริง

 บำรุงความสุขได้จริง ๆ

 เช่นคนที่ใช้เงินซื้อสุรามาดื่มอย่างนี้

 ถ้าไม่เอาเงินนี้มาซื้อสุรามาอื่ม

 เอาเงินนี้มาซื้ออาหารไปให้แก่ผู้ที่

เขาอดยากขาดแคลน

ก็จะได้ประโยชน์หลายทางด้วยกัน

 ทางร่างกายก็คือไม่ต้องรับสารพิษเข้าไป

 อายุก็จะไม่สั้นลงไป

 โรคภัยไข้เจ็บก็จะน้อยลงไป

ถ้าทางจิตใจไม่วุ่นวายใจ

เวลาที่อยากจะดื่มสุราแล้วไม่ได้ดื่ม

 หรือเวลาดื่มแล้วก็ไปสร้างโทษ

ไปสร้างเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมา

 เนื่องจากเวลามึนเมาแล้ว

ก็ไม่สามารถที่จะควบคุม การกระทำ

การพูดได้ ผู้ที่ดื่มสุรายาเมานี้มักจะไป

ทำเหตุไปทำเรื่องที่เสียหายตามมา

 แต่ถ้าไม่ได้ดื่มสุรานี้ก็จะไม่มีปัญหาตามมา

อันนี้ก็เกิดจากการที่รู้จักใช้เงินที่หามาได้

ด้วยความลำบากยากเย็น

ไปในทางที่ถูกที่ควร

ไปในทางของการบำบัด ทุกข์บำรุงสุข

อย่างแท้จริง ถ้าเอาเงินนี้มาซื้อสุราดื่ม

ก็จะเป็นการบำบัดสุขบำรุงทุกข์

จะสร้างความทุกข์ ให้มีเพิ่มมากขึ้น

คนที่ติดสุรานี้มีปัญหา

มักจะไปทำผิดกฎหมาย

 ดื่มสุราแล้วก็เมาแล้วก็ยังไปขับรถ

 พอไปขับรถก็เกิดอุบัติเหตุเสียชื่อเสียงไปหมด

บางคนมีสถานภาพที่สูงส่ง

แต่พอปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์

ว่าเมาแล้วขับเท่านี้

ก็กลายเป็นคนไม่มีหน้าไม่มีตาไป

 ไม่มีคนเขาให้ความเคารพนับถืออีก

 อันนี้แหละคือการที่เราจะสามารถทำให้

ชีวิตของเรามีความทุกข์น้อยลง

มีความสุขเพิ่มมากขึ้น

 ด้วยการทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 คือรายได้ที่เราหามาได้นี้

 เราหามาเพื่อบำรุงชีวิตของเรา

คือปัจจัย ๔ ส่วนหนึ่ง

ถ้ามีเหลือเราก็เก็บไว้สำหรับ

การบำรุงชีวิตของเราในอนาคต

เผื่อวันที่เราไม่สามารถที่จะมีรายได้

 เราก็ยังจะมีรายได้นี้

มาดูแลรักษาชีวิตของเรา

 ส่วนที่เหลือนี้ก็อย่าเอาไปใช้

กับความอยากต่างๆ อยากดู อยากฟัง

 อยากดื่ม อยากรับประทาน

 อันนี้จะเป็นการสร้างความอยาก

 สร้างความทุกข์ให้มากขึ้น

 ไม่บำบัดความทุกข์ให้น้อยลงไป

 แต่จะสร้างความทุกข์ให้เพิ่มมากขึ้น

 สร้างปัญหาให้มากขึ้นไป

การทำทานจึงมีอานิสงส์อย่างนี้

 ประโยชน์ของการทำทานก็เพื่อ

เป็นการตัดความอยากนี้

แล้วก็จะทำให้เรานี้สามารถ

ก้าวขึ้นสู่การปฏิบัติขั้นที่สองได้

ก็คือการรักษาศีล การละเว้น

จากการทำบาป ๕ ประการ

ก็คือฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี

พูดปด เสพสุรายาเมา

การกระทำทั้ง ๕ ประการนี้

ถ้าทำไปแล้วจะเกิดโทษกับผู้กระทำ

ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

เช่นไปฆ่าผู้อื่น

ก็จะต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางไป

 ตายไปก็จะต้องไปเกิดในอบาย

เช่นเดียวกับการลักทรัพย์

ประพฤติผิดประเวณี

โกหกหลอกหลวง เสพสุรายาเมา

ดังนั้นผู้ที่มีใจบุญสุนทาน

ผู้ที่ทำทานอย่างสม่ำเสมอนี้

จะมีความรู้สึกที่จะไม่ชอบ

สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น

 เพราะมีความชอบกับการช่วยเหลือผู้อื่น

 การทำทานนี้เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น

 ช่วยให้ผู้อื่นมีความสุข

 จึงไม่อยากที่จะไปทำอะไรให้ผู้อื่นเดือดร้อน

ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา

 ผู้ที่ทำทานจึงรักษาศีล

ได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่ทำทาน

 อันนี้ก็เป็นการก้าวขึ้นสู่

การบำบัดทุกข์บำรุงสุขขั้นที่ ๒

เมื่อเราไม่ทำบาปแล้วเราก็จะไม่มีความทุกข์

เกิดจากการทำบาปนั่นเอง

เราจะไม่ทุกข์กับการฆ่า การลักทรัพย์

 การประพฤติผิดประเวณี

การโกหกหลอกหลวง การเสพสุรายาเมา

 อันนี้จะทำให้จิตใจของเรามีความสุขมากขึ้น

 มีความสบายมากขึ้นก็จะทำให้เรานี้

สามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นที่ ๓

ของการบำบัดทุกข์บำรุงสุขได้

 ก็คือทำให้เราสามารถเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อ

เพราะเราจะมีเวลาที่จะไปปลีกวิเวก

ไปบำเพ็ญการทำจิตใจให้สงบ

 การหยุดความอยากต่างๆ

 เพราะเราไม่ได้จำเป็นที่จะต้องทำงาน

แบบหามรุ่งหามค่ำ แบบ ๗ วัน ๗ คืน

 แบบไม่มีวันหยุดวันหย่อน

 เพราะเราไม่มีความจำเป็น

ที่จะต้องใช้เงินใช้จ่ายมาก

 เรามีสิ่งที่เรามีเงินทองพอที่จะเลี้ยงดูเราได้

 มีเงินทองพอที่จะเก็บเอาไว้

สำหรับวันข้างหน้าได้ เราก็เลยไม่จำเป็น

ที่จะต้องไปทำงานทำการมากมาย

เหมือนอย่างที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้

เราทำกันทุกวันนี้อยู่นี้ เพราะว่า

เราใช้เงินทองไปกับการหาความอยากนี้

เป็นส่วนใหญ่และเป็นส่วนที่มากด้วย

และเป็นส่วนที่หยุดไม่ได้

เพราะใช้แล้วมันติดเป็นนิสัย

 เช่นพอดื่มสุราแล้วก็เลิกดื่มไม่ได้

พอสูบบุหรี่แล้วก็เลิกสูบไม่ได้

พอเที่ยวกลางคืนแล้ว

ก็จะเลิกเที่ยวกลางคืนไม่ได้

 พอทำอะไรแล้วมันก็จะติดเป็นนิสัย

ทำให้ต้องใช้เงินใช้ทองมาก

 ก็เลยยังต้องทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ

๗ วัน ๗ คืนไม่มีวันหยุดวันหย่อน

เพื่อที่จะได้มีรายได้มาใช้

กับการซื้อข้าวซื้อของ

ใช้กับความอยากนั่นเอง

แต่ถ้าเราทำทานอย่างสม่ำเสมอ

 เราก็จะสามารถที่จะหยุดความอยากใช้เงิน

ไปกับความอยากต่างๆ ได้

 เราก็จะไม่ต้องเสียเวลากับการหาเงินหาทอง

 แบบไม่มีวันหยุดวันหย่อน

เรามีเวลาที่จะได้มาบำเพ็ญจิตภาวนา

มาทำการทำความสงบให้กับใจ

มาหยุดความอยากให้กับใจ

 เพราะการหยุดความอยากให้กับใจนี้

จะทำให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า

 ความสุขที่ได้จากการทำตามความอยากต่างๆ

อันนี้ก็จะเป็นขั้นที่ ๓ของการบำบัดทุกข์บำรุงสุข

ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้า

ทรงสั่งสอนให้บำเพ็ญกัน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.......................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๖

“ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน”






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 ธันวาคม 2559
Last Update : 17 ธันวาคม 2559 10:58:00 น.
Counter : 1146 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ