Group Blog
All Blog
+++ วันพระในยุคปัจจุบัน +++









"วันพระในยุคปัจจุบัน"

ถ้าเราขยับขึ้นอีกระดับหนึ่ง

จากศีล ๕ ไปสู่ศีล ๘

คนที่มีศีล ๘ ก็จะมีความสุข

เพิ่มมากขึ้นกว่าคนที่มีศีล ๕

เพราะว่าคนที่มีศีล ๘ นี้จะอยู่เฉยๆ

อยู่คนเดียวได้

ไม่ต้องหลับนอนกับแฟนก็ได้

 คนที่ศีล ๕ นี้ ยังอยู่คนเดียวไม่ได้

ยังต้องร่วมหลับนอนกับแฟนอยู่

 คนที่ถือศีล ๘ นี้ จะเว้นจากการ

หลับนอนกับแฟนของตน

 แล้วก็จะอดอาหารเย็นได้

ไม่ต้องกินอาหารเย็นก็อยู่ได้

ส่วนคนที่ถือศีล ๕ นี้

จะอดอาหารเย็นไม่ไหว

พอไม่ได้กินอาหารเย็นก็จะเดือดร้อน

แต่คนที่ถือศีล ๘ ได้ก็จะไม่เดือดร้อน

เวลาไม่มีอาหารเย็นรับประทาน

 คนที่ถือศีล ๘ นี้

ไม่ต้องไปเที่ยวที่ไหนก็ได้

ไม่ต้องไปงานเลี้ยงต่างๆ

ไม่ต้องไปดูมหรสพ

ไปดูร้องรำทำเพลงอะไรต่างๆ

 ไม่ต้องแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวยๆงามๆ

 ไม่ต้องแต่งหน้าทาปาก

ทำเผ้าทำผมก็มีความสุขได้ 

แต่คนที่ถือศีล ๘ ไม่ได้นี้

จะต้องออกไปเที่ยวกัน

ไปดูหนังดูละครไปร้องรำทำเพลงกัน

 ต้องไปแต่งเนื้อแต่งตัวแต่งหน้าทาปาก

ทำเผ้าทำผมทำอะไรต่างๆ

 เพื่อให้มีความรู้สึกมีความสุข

แต่มันก็เป็นความสุขเดี๋ยวเดียว

พอกลับมาบ้านก็ต้องล้างหน้าล้างตา

อาบน้ำอาบท่า

การแต่งเนื้อแต่งตัวก็หมดไปแล้ว

ถ้าไม่ได้ออกไปเที่ยวในโอกาสต่อไป

ก็รู้สึกเหงาว้าเหว่อยู่บ้านไม่ได้

อยู่เฉยๆ อยู่คนเดียวไม่ได้

 แต่คนที่ถือศีล ๘ นี้

อยู่คนเดียวได้อย่างสบาย

ไม่ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวก็ได้

ไม่ต้องมีเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ ใส่

ก็ไม่เดือดร้อนไม่ได้ทำเผ้าทำผม

ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

 ไปไหนมาไหนก็ไปอย่างสบายใจ

ไม่ต้องแต่งหน้าทาปาก

ไม่ต้องทำเผ้าทำผม

ไม่ต้องหาเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ ไว้สวมใส่

 ใส่เสื้อผ้าแบบเรียบง่ายได้

เพื่อปกปิดร่างกายก็พอ 

นี่คือความแตกต่าง

ของผู้ที่มีศีล ๘ กับผู้ที่ไม่มีศีล ๘

ผู้ที่มีศีล ๘ นี้จะมีความร่มเย็นเป็นสุข

สบายอกสบายใจมากกว่า

ผู้ที่ไม่ได้ถือศีล ๘

อยู่คนเดียวนอนคนเดียวได้

อดอาหารเย็นได้

ไม่ได้ดูหนังดูละครไม่ได้ไปเที่ยว

 ไปงานเลี้ยงต่างๆ ได้

ไม่รู้สึกเสียดายเสียใจ

คนที่ไม่ได้ไปงานเลี้ยงนี้

บางทีก็เสียใจ

เวลามีคนเขาจัดงานเลี้ยงแล้ว

ไม่ได้เชิญเราไป

เราก็จะรู้สึกน้อยใจเสียใจ

ถ้าเราอยากจะไป

แต่ถ้าเราถือศีล ๘ นี้เราก็ไม่ไป

 เขาเชิญเราก็ไม่ไปอยู่แล้ว

 ถึงแม้เขาจะเชิญเราหรือไม่เชิญเรา

 เราก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

งานวันเกิดของเรา

 เราก็ไม่ต้องจัดก็ได้

จัดไปทำไมจัดไปเสียเงินเสียทองเปล่าๆ

 วันเกิดมันก็เป็นวันอีกวันหนึ่ง

มันก็ไม่ต่างจากเมื่อวาน

หรือวันนี้พรุ่งนี้

เราเพียงแต่มาสมมุติ

ว่ามันเป็นวันเกิดของเรา

 เราจึงต้องจัดงาน

 แต่ถ้าเราถือศีล ๘

 เราก็ไม่ต้องจัดงานกัน

สบายไม่ต้องเดือดร้อน

ไม่ต้องมาวุ่นวาย

กับการเตรียมข้าวเตรียมของ

วุ่นวายกับการไปเชิญแขกคนนั้นคนนี้

มางานของเรา

แล้วถ้าเขาไม่มาเราก็เสียใจอีก

นี่คือรสแห่งธรรมที่ชนะรสทั้งปวง

ถ้ามีศีล ๘ กับการไม่ถือศีล ๘ นี้

จะมีผลต่างกัน

 เราจะอยู่อย่างสบายมากขึ้น

โดยที่ไม่ต้องมีอะไร

มาบำรุงบำเรอเราจะอยู่เฉยๆ ได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.............................

ธรรมะบนเขา
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

"วันพระในยุคปัจจุบัน"







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2560 22:31:28 น.
Counter : 620 Pageviews.

0 comment
+++ โอกาสที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นของง่าย +++










"โอกาสที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์

ไม่ใช่เป็นของง่าย"

ลองพิจารณาดูว่า

ระหว่างมีเงินทองมากมายก่ายกอง

กับมีธรรมะน้ัน เราควรจะเลือกสิ่งใด

 มีเงินทองมากขนาดไหน

 ก็ยังต้องร้องห่มร้องไห้

 ยังต้องเศร้าโศกเสียใจ

 ยังต้องหวาดกลัวกับภัยต่างๆ

 เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย

 แต่ถ้ามีพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าอยู่ในใจแล้ว

 จะไม่มีความกังวล ไม่มีความหวาดกลัว

กับเรื่องอะไรทั้งสิ้น

 จิตใจสามารถเผชิญกับสิ่งต่างๆ ได้

อย่างไม่หวั่นไหว

จะเป็นจะตายก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

นี่คือสิ่งที่เราสามารถเลือกได้

เพราะเรามีโอกาสที่ดีที่เลิศแล้ว

ได้พบกับพระพุทธศาสนา

ก็เป็นสิ่งที่ยากอย่างมาก

ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าอันประเสริฐ

และมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ได้

 เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของง่ายเลย

 จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้

โอกาสที่ดีอย่างนี้หลุดลอยไป

เพราะถ้าเราตายไปแล้ว

เราไม่รู้ว่าจะได้กลับมา

เกิดเป็นมนุษย์อีกเมื่อไหร่

เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ได้แต่ละครั้งนี้

มันเป็นของยากเย็นมาก

เมื่อเปรียบเทียบกับการไปเกิด

ในภพอื่นชาติอื่นเพราะมีเหตุ

ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน

 เช่นการจะเกิดเป็นมนุษย์

จะต้องไม่ทำบาปทำกรรมมาก่อน

ต้องมีศีล ๕ ต้องรักษาศีล ๕ ไว้ได้

และเมื่อมีศีลแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า

จะได้เกิดทันที อาจจะต้องไปรอคิว

 เพราะการเกิดของมนุษย์นี้

 เกิดได้เพียงทีละคนเดียวเท่านั้น

 มนุษย์เรานี้ไม่เหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น

ที่ออกลูกเป็นฝูง

มนุษย์เรานี้ออกได้เพียงทีละคน

และคนหนึ่งก็มีลูกไม่มาก

 ยิ่งในสมัยนี้มีการควบคุมที่กำเนิด

ยิ่งทำให้การเกิดเป็นมนุษย์นี้

ยากยิ่งขึ้นไปใหญ่

 เพราะมนุษย์บางคน

ก็ไม่อยากจะมีลูกเลย

 หรือมีก็มีเพียงคนเดียวหรือสองคนเท่านั้น

ไม่เหมือนกับสัตว์ต่างๆที่เขาออกลูกเป็นฝูง

ดังนั้น โอกาสที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์

จึงไม่ใช่เป็นของง่าย ต้องมีศีล

แล้วต้องมาคอยเข้าคิวรอจังหวะที่มีโอกาส

มีคนเขาตั้งท้องขึ้นมา

ถึงจะได้เข้าไปอยู่ในท้องของมนุษย์ได้

 แล้วก็ไม่ใช่มีเราคนเดียวที่รอคิวนี้อยู่

มีคนอื่นอีกหลายคนด้วยกัน

ที่เขาก็รอคิวที่จะมาเกิด

เป็นมนุษย์เหมือนกัน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

............................

ธรรมะในศาลา เล่ม ๑

"สิ่งหายาก ๔ ประการ"








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2560 22:15:11 น.
Counter : 803 Pageviews.

0 comment
### อวิชชาครอบงำ ###








"อวิชชาครอบงำ"

ใจของคนที่ไม่มีสมาธิ

มันจะถูกความหลงโมหะอวิชชาครอบงำ

จะให้เห็นกลับตาลปัตร

เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง

 เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข

 เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ของเราว่าเป็นของเรา

มันก็เลยเกิดความอยากได้

สิ่งต่างๆ มาครอบครอง

แต่คนที่นั่งสมาธิ

แล้วเวลาจิตออกจากสมาธิใหม่ๆ นี้

มันจะมองเห็นความจริง จะเห็นว่า

ร่างกาย แก่ เจ็บ ตาย เห็นชัดเลย

เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง

 มีเกิดมีดับ มีได้มีเสีย มีมามีไป

 เวลาได้มาก็สูข เวลาเสียไปก็ทุกข์

 ก็เลยเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องทุกข์

 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีวันดับ

อย่างที่พระพุทธเจ้าแสดง “อนิจจัง”

ให้กับพระปัญจวัคคีย์ครั้งแรกนี่

๑ ในพระปัญจวัคคีย์ก็เข้าใจเลย อ๋อ

 สิ่งใดมีการเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา

ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา

 จิตของพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ นี้

เขามีสมาธิกันแล้ว

 เพียงแต่ว่าเขามองไม่เป็นเท่านั้นเอง

 เขาไม่มีปัญญาที่จะมองเห็นทุกอย่าง

ว่ามันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่มีตัวตน

มีพระพุทธเจ้าทรงฉลาด

ทรงพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง

ก็เห็นว่ามันไม่เที่ยง

เวลามันไม่เที่ยงเวลามันดับ

มันก็ทำให้เราทุกข์

แล้วมันจะเป็นของเราได้อย่างไร

 เวลามันดับมันก็ไปมันก็จากเราไปแล้ว

 ก็เลยเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ต้องใช้ปัญญาคอยสอนเตือนใจ

เวลาไปหลงอยากได้อะไร

ให้ถามดูมันเที่ยงไม่เที่ยง

 มันสุขหรือทุกข์กันแน่

มันเป็นของเราไปตลอดหรือเปล่า

 เราไปสั่งมันไปควบคุมบังคับมัน

ให้มันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้หรือเปล่า

 อันนี้ก็เป็นปัญญา อันนี้ไม่มีใครรู้

ปัญญาอันนี้ต้องรอให้พระพุทธเจ้ามาบอก

 ถ้าไม่บอกทุกคนก็จะมองเห็นว่า

ทุกอย่างเที่ยงทุกอย่างเป็นสุข

ลาภยศสรรเสริญนี้เที่ยง

ได้มาแล้วต้องเป็นของเราไปจนวันตาย.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2560 9:47:08 น.
Counter : 876 Pageviews.

1 comment
### ของยืมเขามาสักวันหนึ่งก็ต้องคืนเขาไป ###










"ของยืมเขามาเดี๋ยววันนึงก็ต้องคืนเขาไป"

ทางโลกเขาจะสอนเพียงทางด้านเดียว

สอนวิธีหาเงินหาทอง

 วิธีหาลาภยศตำแหน่ง

 วิธีหาสรรเสริญหาความสุขต่างๆ

 ทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ทางโลกสอนเพียงวิธีหาเท่านั้นเอง

แต่ทางโลกไม่ได้สอนวิธีปล่อย

หรือวิธีคืนของที่เราหามาได้

เพราะของที่เราหามาได้นั้น

มันไม่ได้เป็นของเรา

 เดี๋ยวเวลาเราจากโลกนี้ไป

เราก็ต้องคืนของทุกอย่างที่เราหามาได้ไป

 ถ้าเราคืนไม่เป็นปล่อยไม่เป็น

เราก็จะทุกข์มาก เวลาคนที่จะตายนี้

เขาจะทุกข์กันมาก เพราะเขาปล่อยไม่เป็น

 คืนของไม่เป็น ไปยืมของเขามาแล้ว

 พอถึงเวลาจะคืน คืนไม่เป็น ปล่อยไม่เป็น

 ไม่ยอมคืน ไม่ยอมปล่อย

ก็เลยเกิดความทุกข์กันขึ้นมา

แต่ถ้าได้มาศึกษาทางธรรม

 ศึกษาทางการปล่อยวาง

 ศึกษาการคืนข้าวของต่างๆ

คืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มา

 สิ่งที่เราได้มาสิ่งแรกก็คือร่างกาย

 เวลาที่เรามาเกิดที่เราได้อะไรมาก่อน

 ออกมาจากท้องแม่ใหม่ๆ

 ก็มีร่างกายที่มีอาการ ๓๒

 มีขน ผม เล็บ ฟัน หนัง

 เนื้อ เอ็น กระดูกเป็นต้น

 นี่คือสมบัติชิ้นแรกที่เราได้กัน

 เวลาที่เรามาเกิดในโลกนี้แล้ว

พ่อแม่ก็เลี้ยงดูเรา ให้อาหารให้อะไรต่างๆ

 พอเราโตเขาส่งให้เราไปเรียนหนังสือ

ให้เราไปหาวิชาความรู้

เรียนจบเราก็ไปทำงาน ไปสมัครงาน

เอาปริญญาไปยื่นให้เขา

ได้ปริญญาตรีโทเอก เขาก็จะหางานให้

เหมาะกับปริญญา

ปริญญาตรีก็ได้เงินเดือนระดับหนึ่ง

 ปริญญาโทก็ได้อีกระดับหนึ่ง

 ปริญญาเอกก็ได้อีกระดับหนึ่ง

พอได้เงินมาทีนี้เราก็มาซื้อ

สิ่งที่เราอยากได้

 ซื้อข้าวซื้อของ ซื้อบ้านซื้อรถ

 ซื้อเสื้อผ้าซื้อเครื่องใช้ไม้สอย

แล้วก็ไปซื้อคู่ครอง

ไปซื้อสามีไปซื้อภรรยา ต่อมาก็ไปซื้อลูก

ได้ลูกมาก็ต้องไปซื้ออาหารมาเลี้ยงลูก

 ก็เหมือนกับซื้อลูก ได้ภรรยาได้สามีมา

ก็ต้องซื้ออาหารซื้ออะไรมาเลี้ยงกัน

เรารู้จักวิธีหากัน ทุกคนหากันได้

 หาลาภ ยศ สรรเสริญ หาความสุข

ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

เพียงแต่ว่าใครจะเก่งกว่ากันเท่านั้น

คนที่หาเก่งก็รวยเป็นใหญ่เป็นโต

 ถ้าคนหาไม่เก่งก็ไม่ใหญ่ไม่โต

ไม่รวยพออยู่พอกินไปวันๆ

 แต่ทุกคนไม่รู้ว่าของต่างๆ ที่หามาได้นี้

 ไม่ได้เป็นของเรา เป็นของยืมเขามา

เดี๋ยววันหนึ่งต้องคืนเขาไป

 ร่างกายนี้เดี๋ยวเราก็ต้องคืนเขาไป

ร่างกายเวลาไม่หายใจ

แสดงว่าเราคืนเขาแล้ว เขามาเอาคืนแล้ว

 สัปเหร่อมาขอรับไปแล้ว

 ใครเป็นเจ้าของร่างกาย ก็คือธรรมชาติ

 ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ๔

 ร่างกายของเรานี้ทำมาจากธาตุ ๔

 ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วพอถึงเวลา

ก็ต้องคืนเขาไป จะยินดีหรือไม่ยินดี

จะยอมหรือไม่ยอมเขาไม่สนใจแล้ว

เหมือนคนที่มายึดบ้านของเรา

 ยึดรถที่เราไปซื้อแล้วเราไม่มีเงินจ่ายเขา

ไม่มีเงินผ่อน เพราะขาดผ่อน

เขาก็มายึด ร่างกายของเรา

ก็เหมือนกับของที่เราไปซื้อมา

หรือไปยืมเขามาไปเช่าเขามา

 พอถึงเวลาเขาก็จะมาเอาคืนไป

 สมบัติก็เหมือนกัน ลาภ ยศ สรรเสริญ

 เงินทองตำแหน่งประกาศเกียรติคุณต่างๆ

 การยกย่องสรรเสริญเยินยอ

และความสุขที่เราไปได้จากการเสพ

รูป เสียง กลิ่น รสต่างๆ

เดี๋ยวสักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป

เงินทองนี้ถ้าเราไม่รู้จักรักษา

ก็อาจจะหมดได้ล้มละลายได้

ตำแหน่งถ้าเราทำงานไม่ถูก

ก็อาจถูกเขาปลดได้

การสรรเสริญถ้าเราทำไม่ถูกทำไม่ดี

เขาก็ไม่สรรเสริญเขาก็จะตำหนิติเตียน

ประณามเรา แล้วรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ

ที่เราเสพ ถ้าเราไม่มีเงินก็ไปซื้อมาไม่ได้

 อยากจะดูหนังก็ไม่มีเงินซื้อหนังมาดู

อยากจะฟังเพลง

ก็ไม่มีเงินไปซื้อแผ่นมาฟัง

 อยากจะไปเที่ยวก็ไม่มีเงินไปเที่ยว

 อันนี้คือความไม่แน่นอนของสิ่งต่างๆ

ที่เราหามากันได้

ภรรยาของเราสามีของเราลูกของเรา

 วันดีคืนดีก็จะจากเราไปก็ได้

 สามีอาจจะไปมีแฟนใหม่ก็ได้

ภรรยาอาจจะไปมีแฟนใหม่ก็ได้

 หรืออาจจะตายไปก็ได้

ทางโลกเขาไม่สอนวิธีคืนของเหล่านี้

 ให้คืนอย่างไรให้ปล่อยอย่างไร

 เพราะเวลาที่เราต้องคืน

เวลาที่เราต้องปล่อย

 เราเลยต้องร้องห่มร้องไห้กัน มีความทุกข์กัน

แต่ถ้าเราได้มาศึกษาทางธรรมะ

ได้ยินคำสอนของพระพุทธเจ้า

 พระพุทธเจ้าจะสอนให้เรารู้จักวิธีปล่อย

 คือสอนว่าทุกอย่างในโลกนี้

มันไม่ได้เป็นของเรา เป็นของชั่วคราว

 เวลาเรามา เรามาตัวเปล่าๆ

เราไม่มีอะไรติดตัวมา

ร่างกายนี้ก็ของพ่อแม่ให้เรามา

 แล้วของต่างๆ เราก็หากันมา

ด้วยการไปเรียนวิชาต่างๆ แล้วก็ไปทำงาน

หาเงินไปซื้อของต่างๆ มา

 แล้วเดี๋ยวเวลาตายไป

เราก็ต้องคืนทุกอย่างไป

 ร่างกายนี้ก็เอาไปไม่ได้

ข้าวของเงินทอง สามีภรรยา

บุตรธิดาอะไรต่างๆ ที่เรามีนี้ ก็จะเอาไปไม่ได้

 ท่านบอกว่าเรามาตัวเปล่าๆ

 แล้วเวลาเราไปเราก็ไปตัวเปล่าๆ

เวลาเราไปทีเราทุกข์กันเพราะ

 เราไม่ยอมไปแบบตัวเปล่าๆ

 เราอยากจะเอาทุกอย่าง

ที่เป็นของเราไปด้วย แต่เราเอาไปไม่ได้

นี่คือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากพระพุทธเจ้า

 พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

พวกเราเกิดมาแล้วต้อง แก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

 ต้องพลัดพรากจากกัน

 ล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย

ล่วงพ้นการพลัดพรากจากกันไปไม่ได้

 แต่พวกเราสามารถที่จะแก่เจ็บตาย

พลัดพรากจากกันได้อย่างไม่มีความทุกข์

ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ

 ถ้าเราคอยสอนใจเตือนใจเราอยู่เรื่อยๆ

ว่า ของทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้

มันไม่ได้เป็นของเรา

เป็นเหมือนของที่เรายืมเขามา

 เวลาเราไปยืมของเขานี้

เราพร้อมที่จะคืนเจ้าของไหม

 พร้อมใช่ไหม เราไปยืมรถเขามาใช้

พอใช้เสร็จก็เอาไปคืนเขา

 เราก็ไม่เห็นได้เดือดร้อนอะไร

 ยืมหม้อข้าวเขามาใช้เสร็จก็ไปคืนเขา

 ถ้าเรายินดีจะคืนมันก็ไม่ทุกข์

แต่บางคนนี้ชอบยืมแล้วทำเป็นลืม

 ลืมว่าไปยืมเขามา ไม่ยอมคืน (หัวเราะ)

 พอเจ้าของมาทวงก็โกรธเจ้าของอีก

ไปว่าเขาหวงบ้าง ไปว่าเขาใจแคบบ้าง

แล้วทีเราไปเอาของของเขาแล้วไม่คืนกลับ

 ไม่ว่าตัวเองว่าเราเลว ไปขโมยของเขามา

ไปโกหกเขาว่ายืมของเขามา

 ยืมมาแล้วก็ไม่ยอมคืนเขา

 กลับไปว่าคนที่เขาให้เรายืมของ

หาว่าขาใจแคบ เราน่ะเลวกว่าเขา

 เราขโมยของเขามาด้วยการไปโกหก

 หลอกเขาว่าเรายืมของเขามา

 แท้จริงก็จะเก็บเอาไว้เป็นของเรา

 แล้วพอเขามาทวงคืนก็โกรธเสียใจ

แต่ถ้าเรารู้ว่าไม่ได้เป็นของเรา

 เรายืมเขามาเดี๋ยวเขาจะมาขอคืน

 เราก็ยกคืนเขาไปเท่านั้นเอง จะไม่ทุกข์เลย

 ของทุกอย่างที่เราหามาได้ในโลกนี้

ก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นของเรา

ร่างกายนี้ก็ไม่ได้เป็นของเรา

 เป็นของพ่อแม่ให้กับเรามา เป็นของขวัญ

 แล้วเดี๋ยวก็ต้องคืนเจ้าของเดิมไป

คืน ดิน น้ำ ลม ไฟ ไป.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................

สนทนาธรรมมะบนเขา
วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2560 11:00:07 น.
Counter : 1827 Pageviews.

0 comment
### ความหมายของสังฆทาน ###









"ความหมายของสังฆทาน"

ถาม : การบูชาชุดสังฆทาน

ผ้าไตรจีวรจากวัดด้วยเงินสด

 แล้วนำมาถวายซ้ำได้หรือไม่ครับ

สมควรหรือไม่ครับ

พระอาจารย์ : อันนี้มันก็แล้วแต่

จะว่ากัน (หัวเราะ)

 คือยุคนี้บางคนก็ขี้เกียจ ก็เลยเอาง่ายๆ

 อยากถวายสังฆทาน

และก็เข้าใจคำว่าสังฆทานผิดไป

คิดว่าคำว่าสังฆทานมันคือ

ของที่ใส่กระแป๋งเหลืองๆ อย่างนี้

แล้วก็ถวายพระก็เรียกว่าเป็นสังฆทาน

 อันนี้ก็ไม่ใช่แล้ว

ความหมายของสังฆทานก็คือ

 ถวายของให้กับส่วนกลางส่วนรวม

 ไม่ได้ถวายให้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใด

 ของที่จะถวายเป็นสังฆทานนี้

เทียนเล่มหนึ่งก็ถวายได้

ผ้าจีวรผืนหนึ่งก็ถวายได้

หรือเงินทองก็ถวายได้เลย

ไม่ต้องไปซื้อกระแป๋งมาเวียนกัน

ให้มันเป็นเหมือนกับการเล่นลิเกไป

ถวายเงินให้เป็นส่วนกลางของวัด

ไปเพื่อปฏิสังขรณ์ เพื่อจ่ายค่าน้ำค่าไฟ

หรืออะไรต่างๆ นาๆ

 ก็เรียกว่าเป็นสังฆทานแล้ว

คือเป็นการให้แก่ส่วนรวม

ถ้าให้แก่บุคคลนี้ เรียกว่าบุคลิกทาน

 ที่พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่า

การถวายสังฆทานมีประโยชน์กว่า

การถวายแก่บุคคล

เพราะบุคคลนี้มีอายุสั้น

ไม่เกิน ๘๐~๙๐ ปีก็ตาย

แต่ส่วนรวมนี้มันจะมีตัวตายตัวแทนกัน

 มีพระมาบวชกันอยู่เรื่อยๆ

พระแก่ตายไป

พระหนุ่มก็มีบวชเข้ามาใหม่

 ก็ยังจะมีวัดมีสงฆ์อยู่เรื่อยๆ

ให้มาทำหน้าที่ เป็นที่พึ่ง

ของศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย

 ถ้าเราไปพึ่งหลวงพ่อหลวงตาองค์เดียว

 เดี๋ยวท่านตายไปเราก็ไม่มีที่พึ่ง

อย่างพระพุทธเจ้า นี้

แม่ของพระพุทธเจ้า

ก็อยากถวายจีวรให้กับพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็บอกไปถวายเป็นสังฆทาน

อย่ามาถวายเราพยายามสามครั้ง

พระพุทธเจ้าก็บอกสามครั้ง

แล้วก็บอกเหตุผลว่า

ถวายให้เป็นสังฆทาน

จะทำให้ศาสนาอยู่ได้ถึงห้าพันปี

 ถ้าถวายให้เราคนเดียวนี้

 อยู่ได้ ๘๐ ปีก็หมด

เพราะถ้าเราตายศาสนาก็หมด

 เพราะถ้าถวายให้เราคนเดียว

พระรูปอื่นไม่มีอะไรถวาย

เขาก็ไม่มาบวชกัน

บวชแล้วมันไม่มีจีวรใส่

ไม่มีอาหารกินก็อยู่ไม่ได้

ฉะนั้น เราต้องทำนุบำรุงส่วนรวม

 อย่าไปเจาะจงแต่เฉพาะบุคคล

เพราะว่าบุคคลพออายุหมดเขาก็หมดไป

 ถ้าเราทำนุบำรุงส่วนรวม

นี้ก็จะมีตัวตายตัวแทน

มาเติมมาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ

 สงฆ์ก็จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ

มีการบวชพระอยู่เรื่อยๆ

พระเก่าพระแก่ก็ตายไป

พระบวชใหม่ก็เจริญเติบโตขึ้นมา

เป็นพระเก่าพระแก่ต่อไป

มันก็มีการสืบทอดกันไปเรื่อยๆ

 ฉะนั้น การถวายของให้แก่ส่วนรวม

ที่เรียกว่าสังฆทาน อันนี้จึงเป็นประโยชน์

มากกว่าการถวายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง

ดังนั้น การถวายสังฆทานอันนี้

ไม่ได้อยู่ที่ของที่อยู่ในกระแป๋งสีเหลือง

 ของอะไรก็ได้ที่เป็นของสมควร

แก่สมณะบริโภคนี้

ถวายได้เป็นสังฆทานได้หมด

 เช่นศาลาหลังนี้ก็สร้างเสร็จ

 ก็ถวายให้เป็นของสังฆทานไป

ไม่ได้เป็นของพระรูปใดรูปหนึ่ง

มีไว้สำหรับทุกคนที่อยู่ในวัดนี้

มาใช้ทำกิจกรรมร่วมกันได้

 โบสถ์ เจดีย์ กุฎินี้ก็เป็นสังฆทานทั้งนั้น

 ฉะนั้น ของที่เราอยากจะถวายสังฆทาน

เราก็แจ้งไปกับทางวัดว่า

ขอถวายเป็นส่วนกลางไป ส่วนรวมไป

 ไม่ได้ถวายให้กับรูปใดรูปหนึ่ง

อันนี้ก็จะไปเป็นของส่วนกลางไป

ถ้าถวายให้เป็นของรูปใดรูปหนึ่ง

ท่านก็จะเอาไปใช้ตามอัธยาศัยของท่านได้

อันนี้ก็แล้วแต่ศรัทธา

 จะถวายเป็นสองรูปแบบก็ได้

ส่วนหนึ่งก็ให้กับบุคคล

 อีกส่วนหนึ่งก็ให้กับส่วนรวมก็ได้

นี่คือความหมายของสังฆทาน

 จึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปเอาเงิน

ซื้อสังฆทานจากวัดแล้ว

ก็เอามาถวายวัดอีกที

 มันก็อัฐยาย ซื้อขนมยาย

 ขายขนมยาย นี่แหละ

 มันก็วนไปเล่นยี่เกกันไปอย่างเดียว

ก็เอาเงินใส่ซองไปแล้วเขียนว่า

ขอถวายเป็นสังฆทานก็จบ

 แล้วมันก็ได้เหมือนกัน

แต่สังฆทานที่ส่วนใหญ่เราถวายกับพระนี้

มันไม่ได้เป็นสังฆทานหรอก

 เพราะว่าพระรูปไหนมารับ

ก็เป็นของพระรูปนั้นไป

เห็นไหม มันก็ไม่ได้เป็นสังฆทาน

 ถึงแม้มันจะเป็นกระแป๋งสีเหลืองๆ

ที่เราเรียกว่ากระแป๋งสังฆทาน

แต่ถวายจริงๆ มันก็เป็นของพระรูปนั้นไป

 แต่ถ้าตอนเช้าที่เรามาศาลาวัดญาณฯ

 แล้วเราเอากับข้าวกับปลาอาหารมาถวายนี้

 มันเป็นสังฆทาน

เพราะพระจะเก็บไว้กินคนเดียวไม่ได้

 รับแล้วก็ตักแบ่งกัน

องค์แรกตักหน่อยแล้วก็ส่งให้องค์ที่สอง

 องค์ที่สองก็ตักหน่อยแล้วก็เลื่อนไปเรื่อยๆ

 อย่างนี้แหละเรียกว่าสังฆทาน 

สังฆทานนี้จะเป็นอาหารสดอาหารแห้งก็ได้

 ส่วนใหญ่ควรจะเป็นอาหารสดจะดีกว่า

เพราะอาหารแห้งพระก็จะฉันไม่ได้

 ก็ต้องไปจ้างให้เขามาทำอีก

 รอให้ญาติโยมมาทำให้

ถ้าจะถวายอาหารให้ถวายอาหารสด

 อย่าไปเอามาม่าปลากระป๋องเลย

 เต็มไปหมดในวัดมีแต่มาม่า

 ปลากระป๋อง (หัวเราะ)

ผ้าก็ผืนนิดเดียวจะนุ่งจะห่มก็ไม่ได้

 เพราะถ้าผืนใหญ่มันแพง

จะประหยัดจะถวายให้ครบชุด

มีทั้งผ้า มีทั้งอาหาร มีปัจจัยสี่ครบหมด

 ก็เลยอย่างละนิดอย่างละหน่อย

 ใช้อะไรก็ไม่ได้สักอย่างเลย

ซื้อเอาอย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า

 ถ้าอยากจะถวายผ้า

ก็ซื้อผ้าไตรไปชุดหนึ่งเลย

อย่างอื่นไว้วันหลังก็ได้ เอาทีละอย่าง

 ถ้ามีทรัพย์น้อย วิธีที่จะมีทรัพย์มาก

ก็หัดทำบุญทุกวัน วิธีทำบุญทุกวันก็คือ

เอาเงินใส่กระปุกเงินทำบุญ

วันที่เราไม่ได้มาวัด

 เราก็เอาเงินใส่กระปุกเงิน

 ที่เราจะใส่บาตรแต่ไม่มีพระมาบิณฑบาตนี้

เราก็ใส่กระปุกไว้ แล้วพอถึงเวลาจะมาวัด

 โห!! มีเงินมาทำบุญเยอะ

จะซื้ออะไรก็ได้เยอะแยะเลย

แต่ถ้าไม่เก็บไว้เลยไม่ใส่กระปุกเลย

เอาไปเที่ยวหมดเอาไปกินหมด

พอถึงเวลาจะมาทำบุญก็ทำได้นิดเดียว.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

........................

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๐





ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 มกราคม 2560
Last Update : 22 มกราคม 2560 14:13:12 น.
Counter : 743 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ