Group Blog
All Blog
### มรรคผลนิพพาน ###










 

“มรรคผลนิพพาน”

การที่จะให้ใจของเรานี้

ออกมรรคออกผลออกนิพพานนี้

เราต้องภาวนา ต้องปลีกวิเวก

ต้องไปปฏิบัติอยู่ตามลำพัง

 ต่อสู้กับกิเลสทุกลมหายใจเข้า-ออก

 กิเลสมันจะคอยดึงใจเรา

ไปคิดทางโลภ โกรธ หลงเสมอ

เราจึงต้องใช้สติธรรมคอยดึงมันกลับมา

 ดึงกลับมาไม่ให้มันดึงเราไป

ทางความโลภ ความอยาก

 ความโกรธ ความหลง

ใช้พุทโธๆดึงไว้ ถ้ามีพุทโธๆดึงไว้

 มันจะไม่สามารถที่จะไปโลภ ไปอยาก

กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ หรือไปโกรธ

กับคนนั้นกับคนนี้ได้ หรือไปวิตก

กับเรื่องนั้นหรือเรื่องนี้ได้

 ถ้าเรามีสติ มีพุทโธดึงมันมา

 พอเรามีเวลานั่งได้เราก็นั่งเลย

เพราะจะทำให้จิตนิ่ง

สงบเต็มที่นี้ต้องนั่งเฉยๆ

ถ้าร่างกายยังทำอะไรอยู่นี้ จิตจะนิ่งไม่ได้

  เพราะจิตเป็นตัวทำให้ร่างกาย

ทำอะไรต่างๆนั่นเอง

ถ้าอยากให้จิตรวมเป็นสมาธิ

ก็ต้องนั่งหลับตา แล้วก็ใช้พุทโธ

ดึงจิตไว้อย่าปล่อยให้มันไปตาม

กำลังของกิเลสตัณหาต่างๆ

 หรือจะใช้การดูลมหายใจเข้า-ออกก็ได้

 แล้วแต่จะถนัด

บางคนก็พุทโธไปอย่างเดียว

ไม่ได้ดูลม บางคนก็ดูลมอย่างเดียว

ไม่ได้พุทโธ บางคนก็ใช้ ๒ อย่างปนกัน

 พุทเข้า โธออกนี้ได้ทั้งนั้นแล้วแต่จะถนัด

ข้อสำคัญก็อย่าให้ไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้

อย่าให้ไปโลภไปอยากกับสิ่งนั้นสิ่งนี้

อย่าให้ไปวิตกกังวลกับคนนั้นคนนี้

ให้อยู่กับพุทโธไป ให้อยู่กับลมหายใจไป

 แล้วจิตมันก็จะรวมได้

เวลาจิตรวมแล้วก็จะพบกับ

ความสุขของพระนิพพาน

แต่เป็นพระนิพพานชั่วคราว

เพราะว่ากิเลสตัณหา

 ยังไม่ได้ตายไปจากใจ

 เพียงแต่ถูกระงับไว้ถูกกดไว้

เหมือนหินทับหญ้า หินทับหญ้าไว้

หญ้าไม่ตาย แต่หญ้าก็ไม่งอก งอกไม่ได้

 แต่เวลายกหินออกปั๊บ

เดี๋ยวหญ้าก็งอกขึ้นมาใหม่

 ถ้าอยากจะให้หญ้าตาย

ก็ต้องถอนรากมันออกมาจากดิน

 ถ้าถอนรากมันแล้วมันก็จะตาย

มันจะไม่งอกอีกต่อไป

รากเหง้าของกิเลสตัณหา

ก็คือความหลงนี่เอง ความหลงที่คิดว่า

การทำตามความโลภ ความอยากนี้

จะทำให้เรา มีความสุขกัน

 เราเลยต้องถอนรากเหง้า

ของความโง่ด้วยปัญญา

ว่าการทำตามความอยาก ทำตามความโลภ

 ความโกรธ ความหลงนี้

เป็นการสร้างความทุกข์ให้กับใจ

ไม่ใช่เป็นการสร้างความสุขให้กับใจ

 การสร้างความสุข ให้กับใจก็คือ

การไม่ทำตามความโลภ

 ไม่ทำตามความอยากต่างๆ

 อันนี้เราต้องใช้ปัญญา

ถ้าเราอยากจะกำจัด กิเลสตัณหา

ให้มันตายอย่างถาวร

สมาธิหรือสตินี้กดเอาไว้เท่านั้นเอง

พอออกจากสมาธิมา พอปล่อยให้คิด

 ปรุงเเต่งปั๊บมันก็จะคิดไปในทางกิเลส

มันก็จะโผล่ขึ้นมาทันที เดี๋ยวก็โลภ

อยากได้สิ่งนั้นอยากได้สิ่งนี้ขึ้นมา

 พอโลภปั๊บก็ต้องใช้ปัญญา

ว่าสิ่งที่ได้มามันเป็นทุกข์นะ

 เพราะว่ามันเปลี่ยนได้นะ

วันนี้ตอนที่ได้มามันดี

เดี๋ยวไม่กี่วันมันไม่ดีก็ได้นะ

ของที่ซื้อมาใหม่ๆ มันก็ดี

ใช้ไปไม่กี่วันเดี๋ยวมันเสียขึ้นมาก็ได้

 พอเสียก็ใช้ไม่ได้ก็ต้องมาปวดหัว

กับการเอาไปซ่อม บางทีซ่อมแล้ว

 ซ่อมกี่ครั้งมันก็ยังเสียอยู่นั่นแหละ

ซ่อมแล้วกลับใช้ไม่ได้กี่วันก็เสียอีกแล้ว

 อย่างนี้มันก็ปวดหัวแล้ว

 แล้วถ้าหายไปหรือถ้าพังไป

ก็ยิ่งไปกันใหญ่

 นี่คือวิธีใช้ปัญญาให้เห็นว่า

ของทุกอย่างมันไม่เที่ยง

 มันทำให้เราทุกข์ให้เราวุ่นวายใจ

 เพราะเราจะต้องคอย มาซ่อม

มาดูแลรักษามัน

ต่อให้เราดูแลดีขนาดไหน

สักวันหนึ่งมันก็ต้องพังไป

 หรือไม่สักวันหนึ่ง เราก็ต้องจากมันไป

นี่คือใช้ปัญญาเพื่อที่จะทำลาย

ตัณหาความโลภ ความอยากต่างๆ

ที่จะทำให้จิตใจของเรานั้นวุ่นวาย

ที่ทำให้เรา มาเกิดแก่เจ็บตายกัน

ก็คือความอยากต่างๆ นี่เอง

 อยากในรูปเสียงกลิ่นรส

อยากมีนั่นอยากมีนี่อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่

 อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้นไม่ให้เป็นอย่างนี้

ความอยากต่างๆ เหล่านี้

มันจะทำให้จิตของเราต้องไปหาสิ่งต่างๆมา

 การจะหาสิ่งต่างๆ ได้ก็ต้องมีร่างกาย

พอร่างกายนี้ไม่มี ร่างกายนี้ตายไป

จิตก็ต้องไปหาร่างกายอันใหม่

 จิตก็เลยไปเกิดใหม่ พอเกิดใหม่ก็ต้อง

มาแก่ มาเจ็บ มาตายใหม่

 ต้องมาวุ่นวาย กับการเลี้ยงดู

เลี้ยงปากเลี้ยงท้องกัน นี่คือโทษ

ของการทำตามความอยากต่างๆ

 ให้เราเห็นว่ามันเป็นทุกข์ ไม่ใช่เป็นสุข

 สุขก็คือให้อยู่เฉยๆ ให้ระงับดับความอยาก

 ระงับดับความโลภ พุทโธๆไป

พอใจสงบ ความโลภหายไป ใจก็เบาสบาย

 ถ้าเราไม่ทำตามความอยากไปเรื่อยๆ

ต่อไปความอยากมันก็หมดกำลัง

ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นโทษเราจะไม่กล้าทำ

 ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำแล้ว

จะทำให้เราต้องทุกข์ เราจะไม่ทำกัน

แต่เราไม่รู้กัน เราคิดว่ามันเป็นสุขกัน

 จะมารู้ก็สายไปเสียแล้ว แต่ก็ไม่เข็ด

 เดี๋ยวพอหายทุกข์แล้วก็ไปหามาใหม่

นี่ก็คือวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้จิตใจของเรา

เข้าสู่พระนิพพานต้องทำกันไปเป็นขั้นเป็นตอน

เพราะมันเป็นสิ่งที่ สนับสนุนกัน

เหมือนขั้นบันได เราเดินบันไดนี้

เราต้องก้าวจากขั้นที่ ๑ ไปสู่ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓

ไม่มีใครกระโดดขึ้น ไปขั้นที่ ๔ ขั้นที่ ๕ เลย

 เพราะมันเป็นไปไม่ได้ มันยาก

มันต้องก้าวไปทีละก้าว

 ท่านถึงสอนให้เรา มีความกตัญญูกตเวที

เป็นพื้นฐานของความดี

จะทำให้เรามีความเสียสละ

จะทำให้เราอยากจะทำความดีกัน

พอเรามีความอยากทำความดีมีฉันทะ วิริยะ

 เราก็จะทำทานกันตามที่พระพุทธเจ้าสอน

ทำทานกัน รักษาศีล ๕ กันไปก่อน

แล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาเช้า-เย็นไป

ซ้อมไว้ก่อน หัดไว้ก่อน

 เพราะเวลาเริ่มต้นนี้เรายังมีภารกิจ

การงานต่างๆ ที่ยังต้องทำอยู่

แต่ถ้าเราเป็นคนที่ว่างงานไม่มีภารกิจอะไรนี้

เราก็ไปภาวนาได้เลย ไปบวชเลย

ไปอยู่วัดเลย ไปศึกษากับครูบาอาจารย์เลย

 แต่ถ้าเรายังมีครอบครัว หรือมีภาระต่างๆ

 ที่ต้องรับผิดชอบอยู่

เราก็ค่อยๆ ปลูกฝังธรรมตามเวลาที่เรามีกัน

เราไม่มีเวลามากเพราะเราต้องไปทำมากิน

ไปทำงานทำการ เราก็จะทำได้

แต่ช่วงเช้าก่อนที่เราจะไปทำงานกัน

เราก็มาปลูกฝังจิตใจให้รู้จักการเจริญสติ

การภาวนา ด้วยการไหว้พระสวดมนต์

ด้วยการนั่งสมาธิกันไป

ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม

เพื่อจะได้รู้ว่าวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องนั้น

 ปฏิบัติอย่างไร มีธรรมเตือนใจ

ไม่ให้หลงไปกับกระแสของกิเลสตัณหาต่างๆ

 และเราก็ไปทำงานทำการกัน

กลับมาบ้านกินข้าวแล้วก็ก่อนจะนอน

ก็มาปฏิบัติธรรมกันต่อ

นั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์

ฟังเทศน์ฟังธรรมกัน

 แล้วก็นอนพักผ่อนไป

ก็ทำได้เท่านี้

ถ้าเรายังมีภารกิจการงานต่างๆ

 แต่ถ้าเราไม่มีภารกิจ

หรือเราสามารถตัด ภารกิจต่างๆ ได้

 เราก็ไปอยู่วัดเลย

ไปศึกษาจากครูบาอาจารย์กัน

 ไปปฏิบัติกัน แล้วมันก็จะทำให้เรา

ได้ก้าวเข้าสู่ การปฏิบัติเต็มรูปแบบ

เพราะการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้

 มันต้องปฏิบัติแบบเต็มรูปแบบเท่านั้น

 ถ้าปฏิบัติแบบมือสมัครเล่นนี้

มันสู้มืออาชีพไม่ได้

 เวลาแข่งขันกีฬานี้เขามีแต่มืออาชีพ

ที่ได้รางวี่รางวัลกัน มือสมัครเล่นนี้

ก็เป็นการ ออกกำลังกายกันเสียมากกว่า

ไม่ได้หวังเอารางวี่รางวัลอะไรกัน

 แต่พวกมืออาชีพนี้เขาต้องการรางวัลกัน

 เขาก็เลยไม่ทำอะไร

 เขามีแต่ซ้อมกีฬาอย่างเดียว

 ถือการซ้อมกีฬาเป็นอาชีพของเขาไป

พวกที่ต้องการไปนิพพาน

 ก็ถือการภาวนาเป็นอาชีพไป เป็นนักบวชไป

การเป็นนักบวชจะทำให้เรามีเวลา

ที่จะทำให้เราเป็นมืออาชีพในการภาวนาได้

เพราะเราจะสามารถเจริญสติได้

ตั้งแต่เราลืมตาขึ้นมา

 จนกระทั่งถึงเวลาเราหลับไป

 ถ้าเราสามารถเจริญสติได้อย่างต่อเนื่อง

 การนั่งสมาธิทำใจ ให้สงบ

ก็ไม่ได้เป็นของยากเย็นอะไร

และเมื่อเรามีสมาธิเราก็จะมีกำลัง

ที่จะสามารถฝืนความอยากต่างๆได้

ถ้าปัญญาเตือนเราว่าอย่าไปทำ

 ทำแล้วเป็นทุกข์ ไม่ใช่เป็นสุข

เราก็ตัดความอยากตัดความโลภต่างๆได้

 ความโลภ ความอยากก็เป็นต้นเหตุ

ของความโกรธ ถ้าไม่มีความโลภ

 ความอยากมันก็จะไม่มีความโกรธ

 แล้วถ้ามีปัญญา มันก็จะไม่มีความโลภ

 ความอยาก ความหลงก็จะมีไม่ได้

 ความหลงกับปัญญานี้

มันเป็นของตรงกันข้ามกัน

 เหมือนความมืดกับความสว่าง

 ความหลงนี้เป็นเหมือนความมืด

 แต่ปัญญานี้เหมือนแสงสว่าง

ที่ไหนมีแสงสว่างที่นั่นก็จะไม่มีความมืด

 ที่ไหนมีความมืดที่นั่นก็ไม่มีแสงสว่าง

 ถ้าไม่มีความหลงก็จะไม่มีปัญญา

 พอมีความหลงไม่มีปัญญา

มันก็จะโลภ โกรธไป อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

แต่พอมีแสงสว่างแห่งธรรมเข้ามา

 มีปัญญาเข้ามาเตือนใจเราว่า

ทุกอย่างในโลกนี้เป็นทุกข์นะ

เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง

 มันไม่ได้เป็นของเรา

มันจึงทำให้เราทุกข์ ถ้าเราเห็นอย่างนี้

กับทุกสิ่งทุกอย่างเราก็จะไม่อยากได้

 เพราะได้มาแล้วมันจะทำให้เราทุกข์

 เวลามีอะไรมันต้องทุกข์กับสิ่งที่เรามีเสมอ

 มีทรัพย์ก็ต้องทุกข์กับทรัพย์

มีบุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นคู่ครอง

ก็ต้องทุกข์กับเขา มีลูกก็ต้องทุกข์กับลูก

 มีอะไรก็ต้องทุกข์เพราะว่า

 เขาจะต้องมีการเปลี่ยนไป

มีการเสื่อมมีการดับไปนั่นเอง

นี่คือเรื่องของการปฏิบัติ

มันต้องแบ่งเป็น ๒ ภาค

ภาคแรกเรียกว่าสมถะ

ก่อนที่จะไปวิปัสสนา ปัญญาได้

เอาใจให้นิ่งให้สงบให้ได้ก่อน

ด้วยการหมั่นเจริญสติ พุทโธไป

หรือเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของร่างกายไป

 อย่าให้ใจไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ 

 ถ้าควบคุมความคิดได้ เวลานั่งสมาธิ

ใจก็จะรวมเป็นสมาธิ เป็นอุเบกขาขึ้นมา

 พอใจมีอุเบกขาแล้วก็จะมีกำลัง

ไว้เอามาสู้กับกิเลสได้

ก็ดึงใจมาคิดทางไตรลักษณ์

อยากได้อะไร ก็ดูซิว่ามันเป็นทุกข์

หรือมันเป็นสุขกันแน่

ได้มาแล้วก็เดี๋ยวก็ต้องทุกข์กับสิ่งที่เราได้

ขณะที่อยากได้ใจก็วุ่นวาย อยู่แล้ว

อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว

ดังนั้นพออยากปั๊บก็หยุดมันเลย

 ถ้าอยากจะให้ใจเราสงบเหมือนเดิม

 อันนี้จะเห็นชัดเวลาจิตมีสมาธิแล้ว

เวลาเกิดความอยากนี้

ใจมันจะกระเพื่อมขึ้นมา มันจะรู้ว่า

อ๋อ ใจเราเริ่มหวั่นไหวแล้ว

เริ่มวิตกกังวลแล้ว

พอเราหยุดความอยากปั๊บ

ความหวั่นไหวความวิตกกังวล

ความกระวนกระวายอะไรต่างๆ ก็จะหายไป

 พอความสงบกลับมา ความสุขก็กลับมา

เอาความสุขที่เกิดจาก ความสงบดีกว่า

 อย่าไปเอาความสุขที่ได้จาก

ลาภยศ สรรเสริญ จากรูปเสียงกลิ่นรส

 เพราะมันเป็นของชั่วคราว

ในที่สุดมันก็ต้องหมดไป

ดูคนตายเป็นตัวอย่าง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่นี้ หมดไปแล้ว

แม้แต่ชื่อแม้แต่ตำแหน่งก็ยังหมดไป

 เดี๋ยวนี้ในหลวง เรา

ก็เรียกในหลวงไม่ได้แล้ว

 ต้องเรียกอีกแบบหนึ่งแล้ว

 เพราะเดี๋ยวนี้มีในหลวงคนใหม่ขึ้นมาแล้ว

 ถ้าจะเรียกในหลวงคนเก่า

ก็ต้องเรียกคนไหนต้องบอกชื่อ

จะไปเรียกในหลวง

เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว

 ลาภยศ สรรเสริญ มันต้องหมดไป

ไม่ว่าจะสูงขนาดไหน ระดับไหน

ระดับประธานาธิบดี ระดับนายกรัฐมนตรี

 ระดับพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดิน

มันก็ต้องมีวันหมด

ให้เราเห็นว่ามันเป็นทุกข์ มันไม่เที่ยง

มันไม่ใช่ของเรา

 แล้วเราก็จะไม่อยากได้อะไร

 พอไม่มีความอยากแล้วก็อยู่สบาย

ไม่มีอะไรมากวนใจ

 ความอยากนี่แหละเป็นตัวกวนใจเรา

 ทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุขกัน

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ให้พวกเราปฏิบัติกัน

พระพุทธเจ้าได้ทรงพิสูจน์มาแล้วว่า

เป็นวิธีที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นทั้งปวง

 เป็นวิธีที่จะนำไปสู่ความสุขที่ถาวร

ที่ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมด

นั่นก็คือความสุขพระนิพพาน

ขอให้เรามีศรัทธาความเชื่อแน่วแน่

ต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ต่อคำสอนของพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย

แล้วพยายามปฏิบัติตาม

ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

พยายามปฏิบัติไปเรื่อย

แล้วมันจะเพิ่มไปได้เอง

 กำลังมันจะมีมากขึ้นเอง

 เหมือนกับเด็กเรียนหนังสือ เรียนไปเรื่อยๆ

 เดี๋ยวมันก็ขึ้นชั้นสูงไปเรื่อยๆ

 จากอนุบาล เดี๋ยวก็ไปชั้นประถม

พอจบประถมก็ไปชั้นมัธยมต่อ

 จบมัธยมมันก็ไปสอบเข้าเอ็นซ์กัน

 เข้ามหาวิทยาลัยกัน

 แล้วเดี๋ยวก็จบปริญญาตรี โท เอกกัน

มันอยู่ที่เรียนอย่างต่อเนื่อง

การปฏิบัติการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

ก็จะนำเราไปสู่ธรรมขั้นต่างๆ

 จากทานก็ไปสู่ศีล จากศีลก็ไปสู่ภาวนา

จากภาวนาก็ไปสู่มรรคผลนิพพาน

 สู่การหลุดพ้น

อันนี้เป็นของที่ทุกคนทำได้

 พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดว่า

จะต้องเป็นนักบวชถึงจะทำได้

 เป็นฆราวาสก็ทำได้ เป็นผู้หญิงก็ทำได้

 เป็นผู้ชายก็ทำได้ เพราะจิตนี้

มันไม่ได้เป็นหญิงมันไม่ได้เป็นชาย

 มันไม่ได้เป็นฆราวาส

มันไม่ได้เป็นผู้ครองเรือน

หรือเป็นนักบวช

มันเป็นจิตเหมือนกัน มันเป็นตัวจิต

ที่มีความคิดปรุงแต่ง ตัวรู้ตัวคิด

แต่ตอนนี้มันถูกอำนาจของกิเลสตัณหา

ดึงให้ไปเวียนว่ายตายเกิด

ให้ไปผลิตความทุกข์ต่างๆ ขึ้นมา

เราจึงต้องเอาธรรมเข้ามา ดึงมันกลับมา

 ดึงให้มันกลับเข้าไปสู่ความสงบ สู่ความสุข

ถ้าเราไม่มีพระพุทธเจ้ามาสอนเรา

 เราจะไม่รู้วิธีที่จะทำให้ใจเราสงบ

วิธีที่จะตัดความโลภ ความโกรธ

 ความหลงต่างๆ ตอนนี้เราโชคดี

ได้มาเจอคำสอนของพระพุทธเจ้า

 คำสอนของพระอริยสงฆ์สาวกต่างๆ

ของครูบาอาจารย์ ขอให้เราศึกษากัน

แล้วพยายามปฏิบัติกัน แล้วผลต่างๆ

 ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย

 ได้รับก็จะเป็นผลที่พวกเรา

จะได้รับกันต่อไปอย่างแน่นอน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

สนทนาธรรมะบนเขา

 วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 14 ธันวาคม 2559
Last Update : 14 ธันวาคม 2559 10:20:49 น.
Counter : 714 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ