Group Blog
All Blog
### ความกตัญญู ###











“ความกตัญญู”

ความกตัญญู เป็นบุญเป็นกุศล

เป็นรากเหง้าของความดีของจิตใจ

 คนเราจะดีมันก็ต้องรู้จักบุญคุณ

 เมื่อมีบุญคุณแล้ว

มันก็จะได้ทดแทนบุญคุณ ทำสิ่งที่ดี

 แล้วจิตใจก็จะเจริญรุ่งเรืองไป

คนที่ไม่มีความกตัญญูนี้

เป็นคนที่เจริญยาก

พระพุทธเจ้านี้ท่านก็ยัง

ขนาดแม่ตายไป

 ท่านก็ยังคิดถึงพระคุณของแม่อยู่

ทรงไปสอนถึงสวรรค์

สอนให้ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

พระพุทธเจ้าทรงเห็นความสำคัญ

ของความกตัญญูกตเวที

 ต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย

ความกตัญญูจะทำให้

จิตใจของเรามีความอ่อนโยน

 ไม่มีความแข็งกระด้าง

มีเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว

 ดังนั้นขอให้เราพยายาม

ทดแทนบุญคุณ

ผู้มีอุปการะคุณทั้งหลาย

มันทำให้จิตใจเรามีความสุข

แล้วจิตใจเรา ก็จะไม่คิดร้าย

ไม่ทำร้ายใคร

 ทำให้เราทำบุญทำทานได้

 รักษาศีลได้ ทำให้เราภาวนาได้

ก็เป็นเรื่องที่ดี

จิตใจพวกเราทุกคนต้องมีบุญ

ต้องอาศัยบุญ

บุญเป็นเหมือนน้ำมันเป็นเหมือนเสบียง

 พวกเราเป็นเหมือนพวก

 เดินทางหลงทางอยู่

กำลังหาทางกลับบ้านกัน

 ถ้าไม่มีเสบียงไม่มีบุญก็จะไม่มีกำลัง

ที่จะพาให้เราไปถึง บ้านของเราได้

 บ้านของเรา บ้านของจิตใจ

ก็คือพระนิพพานนี่เอง

บ้านที่มีแต่ความสุข

บ้านที่ไม่มีความทุกข์

 บ้านที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

นักปราชญ์ทั้งหลายท่านทำบุญกันทั้งนั้น

ท่านไม่ทำบาป ท่านเสียสละ

ท่านไม่เห็นแก่ตัว ท่านมีความขยัน

ท่านไม่มีความเกียจคร้าน

นี่คือคุณสมบัติของผู้ที่จะทำบุญได้

ต้องมีความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว

ไม่เกียจคร้านมีความขยันหมั่นเพียร

 มีความอดทน ขันติบารมี

คนเราจะทำความดีได้มันต้องมีขันติ

ถ้าคนที่ไม่อยากจะทำความดี

 ให้เขาไปทนนั่งรอ

(การถวายสักการะพระบรมศพ)

๘ ชั่วโมงเขาคงไม่ไปกัน

ไปนอนดีกว่า ไปเที่ยวดีกว่า

 แต่ผลมันต่างกัน การทำความดี

ความตั้งใจจะทำความดี ความอดทน

 อันนี้จะเป็นตัวที่จะผลักดัน

ให้จิตของเรานั้น

 ไปสู่จุดหมายปลายทางได้

มีความตั้งใจที่แน่วแน่มีความขยัน

 มีความอดทนที่จะทำสิ่งที่ดีต่างๆ

 เพราะความดีต่างๆ นี้จะเป็นตัว

ที่จะพาให้เราได้ไปถึงพระนิพพานได้

 ไปถึงบ้าน หลุดพ้น

จากการเวียนว่ายตายเกิด

 ถ้าเรามีความตั้งใจที่แน่วแน่

มีความขยันที่จะทำบุญ

มีความอดทนต่ออุปสรรคต่างๆ

ในการที่เราจะต้องทำบุญ

เราก็จะทำบุญต่างๆ

 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราทำได้

ให้เราทำทาน เสียสละแบ่งปัน

ข้าวของเงินทอง

ที่เรามีมากเกินความจำเป็น

ความจำเป็นของเราก็คือปัจจัย ๔

 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม

ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย

 ถ้าเรามีพอมีพอกินแล้ว

 ถ้ามีเหลือก็ควรที่จะเอาไป

แบ่งให้คนอื่นที่เขาขาดแคลนกัน

 เก็บไว้มันก็ไม่เป็นประโยชน์

มันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น

จากการที่มีของมากๆ

การที่เราต้องมีของก็เพื่อมีไว้สำหรับ

เลี้ยงดูร่างกายเรา เท่านั้น

มีปัจจัย ๔ ไว้เพื่อเลี้ยงดูร่างกาย

 ถ้ามันมีพอแล้วต่อให้มันมีมากอีก

 ๑๐ เท่า ๑๐๐ เท่า

 มันก็ไม่ได้ทำประโยนช์อะไร

ให้กับร่างกาย ทำได้เท่ากัน

พอมีปัจจัย ๔ พอแล้ว

อย่างที่ในหลวงท่านสอน

 เศรษฐกิจพอเพียง

 เพื่อไม่ให้เราโลภกัน

 เพราะความโลภจะทำให้เราทุกข์กัน

จะทำให้เราอยู่ไม่เป็นสุข

 และจะทำให้เราวุ่นวายกัน

ทำให้เราต้องมาแก่งแย่งชิงดีกัน

 ทำให้เราต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกัน

 ท่านจึงสอนให้เรารู้จักคำว่า

เศรษฐกิจพอเพียง

 พอเพียงก็คือพอเพียงต่อการดำรงชีพ

 มีอาหารรับประทาน ไม่ขาดแคลน

มีเครื่องนุ่งห่มไว้สวมใส่ มียารักษาโรค

 มีที่อยู่อาศัยไว้สำหรับ

หลบแดดหลบฝน หลบภัยต่างๆ

 ไม่จำเป็นจะต้องเป็นของหรูหรา

 ไม่ต้องเป็นของแพง

ของที่ใช้ประโยชน์ได้ก็พอ

เสื้อผ้าจะราคาแพงหรือราคาถูก

 มันก็ทำหน้าที่เหมือนกัน

 มีไว้สำหรับสวมใส่ รักษาร่างกาย

ให้ปลอดภัยจากอากาศที่หนาวเย็น

หรือปลอดภัยจาก

แมลงสัตว์กัดต่อยต่างๆ

 อาหารก็คือให้ร่างกายอยู่ได้

ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่พิกลพิการ

ที่อยู่อาศัยก็เพื่อให้หลบฝน

 หลบแดด หลบภัยต่างๆ

ยารักษาโรคก็รักษาไป

ตามสภาพของโรค ยามันก็รักษาได้

จะไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐก็รักษาได้

 รักษาโรงพยาบาลเอกชนก็รักษาได้

ถ้ามันหายก็หายเหมือนกัน

 ถ้ามันตายมันก็ตายเหมือนกัน

ดังนั้นเราอย่าไปกังวลกับเรื่อง

ปัจจัย ๔ มากจนเกินไป

 เพราะมันจะทำให้เราไม่มีเวลา

ที่จะมาทำอย่างอื่น

 ทำประโยชน์ทำบุญทำกุศลต่างๆ

ที่เรายังต้องทำกัน

 พอเรามีปัจจัย ๔

พอเพียงพอแล้วมีเหลือ

 เราก็มีโอกาสได้ทำทาน

 เราก็เอาไปทำทานกัน

เอาไปช่วยเหลือกัน

คนเราถ้าอยู่ร่วมกัน

มีการทำทานให้แก่กัน และกัน

มันจะทำให้เราอยู่กัน

อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ดูดาย

คอยดูแลกันช่วยเหลือกัน

 เพราะคนเราเกิดมา

 มันก็มีบุญมีกรรมมาต่างกัน

บางคนมีบุญมามาก

ก็มีความสุขสบายมาก

 บางคนมีกรรมมาทุกข์ยากลำบาก

 คนที่มีบุญมาก

ก็สามารถที่จะช่วยเหลือ

คนที่มีกรรมมาก มันจะทำให้เขา

จะได้ไม่ต้องไปทำกรรมใหม่

ถ้าไม่มีใครช่วยเหลือเขา

 ถ้าเขาไม่สามารถ

หาสิ่งที่เขาต้องการได้

โดยวิธีที่ไม่ต้องทำบาป

เขาก็ต้องไปทำบาป

 เขาก็ต้องไปลักทรัพย์

ไปทำร้ายผู้อื่น

 แต่ถ้าเขาได้รับการช่วยเหลือ

ด้วยการช่วยเหลือที่ถูกต้อง

 ไม่ใช่แต่ให้ข้าวของอย่างเดียว

 ควรจะให้ความรู้เขาด้วย

ให้เขามีวิชาความรู้

เพื่อเขาจะได้หาอะไรต่างๆ

ได้ด้วยตัวเขาเอง

ไม่ต้องมาคอยขอเรา

ดังคำภาษิตของจีนเขาบอกว่า

 อย่าให้ปลาเพียงอย่างเดียว

ให้ปลาแล้วก็ต้องสอน

วิธีหาปลาให้เขาด้วย

 เพราะเมื่อเขาหาปลาได้แล้ว

ต่อไปเขาก็ไม่ต้องมาขอปลาจากเรา

 ถ้าเราไม่สอนวิธีหาปลาให้เขา

 พอปลาที่เราให้ไปหมด

 เขาก็ต้องมาขอเราใหม่

ให้ข้าวของเงินทอง

ให้ปัจจัย ๔ ก็สำคัญ

 จำเป็นเพราะเขา ก็ต้องอาศัย

 แต่เราก็ควรที่จะให้วิชาความรู้ต่างๆ

 เพื่อให้เขาได้ไปทำมาหากิน

 เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

 เช่นให้ทุนการศึกษาเด็กยากจน

อะไรทำนองนี้

 เด็กยากจนพ่อแม่ไม่มีปัญญา

ที่จะส่งเสียให้ไปเรียนหนังสือ

ให้ไปมีวิชาความรู้เพื่อที่จะได้

มาประกอบสัมมาชีพ

ไม่ต้องเป็นมิจฉาชีพ

 ผู้ที่เป็นมิจฉาชีพนี้ส่วนใหญ่

ก็มาจากการที่ไม่มีความรู้นั่นเอง

 ไม่มีความรู้ที่จะทำมาหากิน

เลี้ยงชีพได้ หรือไม่เช่นนั้น

ก็มาจากความเกียจคร้าน

 หรือมาจากความโลภ

 โลภอยากได้มากๆ

ตนเองไม่มีความสามารถที่จะหา

ตามความโลภได้โดยวิธีสุจริต

 ก็เลยไปทำมาหากินด้วยวิธีทุจริต

อย่างนี้ก็ต้องให้ความรู้เขา

สอนเขา ให้เขาเข้าวัด

ให้ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม

 ให้รู้โทษของการทำบาป

ของการกระทำทุจริต

เพื่อเขาจะได้รักษาศีล

ทำทานแล้วขั้นต่อไป

ก็ต้องรักษาศีลกัน

 เรารักษาศีลได้ เราจะเห็นคุณค่า

เห็นประโยชน์ว่ามันทำให้เรา

 ปลอดภัยจากโทษต่างๆ นั่นเอง

 และปลอดภัยจากความทุกข์

ความวุ่นวายใจ คนที่ไม่ทำบาปนี้

จิตใจะสบาย สงบ ไม่วิตกกังวล

ไม่เดือดร้อน

 แสดงว่าคนที่มีความสงบมากเท่าไร

ก็ใกล้นิพพานมากขึ้นไปเท่านั้น

ทำบุญทำทานก็มีความสุข

มีความสงบ

 รักษาศีลก็มีความสุขมีความสงบ

 ทำให้จิตใจเข้าใกล้พระนิพพาน

 เข้าไปเรื่อยๆ เพราะพระนิพพาน

ก็คือความสงบ

คือความสุขใจนี่เอง

การทำบุญนี้ก็เพื่อให้เราขยับ

เข้าใกล้พระนิพพาน

 รักษาศีลก็ยิ่งเข้าใกล้เข้าไปอีก

 แล้วถ้าเราภาวนาได้

ทำจิตใจให้สงบได้

 ก็ยิ่งจะเข้าใกล้

พระนิพพานมากเข้าไป

 เพราะความสงบ

ที่ได้จากการภาวนานี้

จะเป็นความสงบ ที่เต็มร้อย

จิตรวมนี้จิตจะสงบเต็มร้อย

 ตอนนั้นความโลภ โกรธ หลง

ความอยากต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุ

ของ ความทุกข์

ความวุ่นวายใจต่างๆ

ก็จะสงบตัวลงแต่ไม่ตาย

ไม่ได้ตายด้วยกำลัง

ของสติ ของสมาธิ

 แต่ก็ทำให้เราได้

 พบกับความสุขที่ยิ่งใหญ่

ที่เกิดจากความสงบ

 ที่เราต้องรักษาไว้ต่อไป

 หลังจากที่เราออกจากสมาธิมา

 เวลาเราออกมาจากสมาธิมา

พอจิตจะโลภอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

ก็ให้ใช้ปัญญา

 ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า

 ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากได้นี้

มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่เป็นสุข

มันเป็นสุขเดี๋ยวเดียว สุขตอนต้น

 แต่มันจะต้องทำให้เราทุกข์ต่อไป

 เพราะได้อะไรมาแล้ว

เราก็ต้องรักต้องหวงต้องห่วง

ต้องคอยกังวล ต้องคอยดูแลรักษา

 แล้วไม่ว่าจะดูแลให้ดีอย่างไรก็ตาม

 สักวันหนึ่งก็ต้องพลัดพรากจากกัน

เขาไม่ไปก่อน เราก็ไปก่อน

 เพราะของทุกอย่างมันไม่เที่ยง

 มีเจริญมีเสื่อม มีเกิดมีดับ

มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

 เราก็ต้องใช้ปัญญา

สอนใจว่าอย่าไปอยาก

 อยู่กับความสงบ อยู่เฉยๆน่ะดีแล้ว

 จิตสงบนิ่งสบายนี้ดีแล้ว

 แต่บางทีพอเห็นสิ่งนั้นเห็นสิ่งนี้

ก็เกิดความโลภอยากได้ขึ้นมา

 ก็ต้องใช้ปัญญาสอนว่าอย่าไป

อยู่กับความสงบดีกว่า

 อยู่กับความไม่โลภ

 อยู่กับความไม่อยากดีกว่า

ถ้ามีปัญญาก็จะคอยกำจัดความโลภ

 กำจัดความอยากต่างๆ

 ที่โผล่ขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ

จนในที่สุดมันก็จะหายไปหมด

 พอหายไปหมดแล้ว

 จิตก็สะอาดบริสุทธิ์

 จิตก็เป็นนิพพานขึ้นมา

นี่คือสิ่งที่เราต้องทำกัน

เพื่อที่เราจะได้หลุดพ้น

จากความทุกข์ต่างๆ

ความจริงมันไม่ยากเลย

ถ้าเราทำกันจริงๆ

 เพียงแต่ว่าเราถูกกิเลสมันหลอก

ให้เราไปทำเรื่องอย่างอื่น

กันเสียมากกว่า

ก็เลยไม่ได้มาทำใจ

ให้สงบกันอย่างเต็มที่

 เพราะการจะทำใจให้สงบนี้

ต้องสละทุกอย่าง

ต้องตัดทุกอย่างไป

ต้องไปอยู่คนเดียว

ไปที่สงบสงัดวิเวก

อย่างครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

ที่ท่านกระทำกัน

 หลวงปู่มั่น

ท่านไปอยู่เชียงใหม่องค์เดียว

 เพราะถ้าอยู่ร่วมกับหมู่คณะ

มันก็ต้องคอยดูแลช่วยเหลือกัน

 อบรมสั่งสอนกัน

จนตัวเองไม่มีเวลาที่จะภาวนา

 ต้องทิ้งทุกอย่างไป

ครูบาอาจารย์ทุกรูป

ไปศึกษากับครูบาอาจารย์เสร็จแล้ว

ก็ต้องไปปลีกวิเวกกัน

 ตอนต้นก็ไปศึกษาก่อนว่า

การภาวนานี้ทำอย่างไร

 ทำอย่างไรถึงทำให้จิตสงบ

ทำอย่างไรถึงทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา

พอรู้แล้วก็ต้องไปปฏิบัติ

ต้องไปอยู่คนเดียว

 เพราะจะได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

 เพราะว่าการต่อสู้กับกิเลสตัณหานี้

 มันต้องต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง

มันต่อยเราทุกเวลา

 ถ้าเราไม่ปฏิบัตินี้

เราก็ถูกมันต่อยอยู่ด้านเดียว

 ถ้าเราอยากจะต่อยมัน

เราก็ต้องปฏิบัติ

 เราถึงจะทำลายมันได้

 เวลาใดที่เราไม่ปฏิบัติ

 เวลานั้นส่วนใหญ่

ก็จะเป็นของกิเลสไป

 เดี๋ยวก็อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

 เดี๋ยวก็กังวลกับเรื่องนั้น

กังวลกับเรื่องนี้

 เดี๋ยวก็ห่วงคนนั้นห่วงคนนี้

 เดี๋ยวก็วิตกกับเหตุการณ์

วิตกกับเหตุการณ์นี้

มันเป็นเรื่องของกิเลสตลอดเวลา

ถ้าเราไม่ปฏิบัติ

ถ้าปฏิบัตินี้ เราจะมีสติคอยกำจัด

 มันจะห่วงก็หยุดมันพุทโธๆไป

มันจะกังวลก็พุทโธๆไป

มันจะคิดปรุงเเต่ง

เรื่องนั้นเรื่องนี้ก็พุทโธๆไป

 นั่นแหละธรรมมันถึงจะก้าวหน้า

 ต้องปฏิบัติกัน

ทุกลมหายใจเข้าออกเลย

อย่างที่พระพุทธเจ้า

สอนพระอานนท์ว่า

 ต้องพิจารณาความตาย

ทุกลมหายใจเข้าออก

 มันถึงจะฆ่ากิเลสได้ ไม่เช่นนั้น

กิเลสมันจะคิดว่าจะอยู่ไปเรื่อยๆ

 จะไปหาโน่นหานี่ได้ตลอดเวลา

 พอมันคิดถึงความตายปั๊บนี้

กิเลสมันจะหดเลย

เดี๋ยวมันก็ตายแล้วมันจะหาไปทำไม

หามาแล้วเอาไปได้หรือเปล่า

 มีอะไรที่เราหามาแล้ว

 เราเอาไปได้บ้าง

 ไม่มีเลย ลาภยศ สรรเสริญ

รูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ ที่เราหากันนี้

 เอาไปไม่ได้

สิ่งที่เอาไปได้ทำไมไม่เอากัน

 ธรรมนี้แหละเป็นของที่เอาไปได้

 ศีล สมาธิ ปัญญานี้

เป็นธรรมที่เราเอาติดตัวไปได้

 เป็นธรรมที่ทำให้จิตใจของเราสงบ

 ทำให้จิตใจของเรามีความสุข

เป็นธรรมที่ดับความทุกข์

ความวุ่นวายใจต่างๆ ได้

 เรากลับไม่สร้างกัน ไม่ทำกัน

เพราะเราไม่รู้

เราไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้

พอฟังพอหอมปากหอมคอ

 แล้วก็ทำพอหอมปากหอมคอ

 วันหนึ่งก็อาจจะวัตรเช้าเย็น

อย่างนี้เป็นต้น

 ตื่นขึ้นมาก็ไหว้พระสวดมนต์

 นั่งสมาธิกัน

 เสร็จแล้วก็ไปทำตามความโลภ

 ความอยากต่างๆ เย็นกลับมาบ้าน

ก่อนนอนก็ไหว้พระ

สวดมนต์กันก็ยังดี

ดีกว่าไม่มีการไหว้พระสวดมนต์

ไม่มีการนั่งสมาธิเลย

อย่างน้อยก็มีการทำทาน

มีการรักษาศีล ๕

มีการไหว้พระสวดมนต์

อย่างนี้ก็ยังเป็นพื้นฐาน

ของการทำความดีอยู่

แต่ยังไม่พอเพียงต่อการหลุดพ้น

ต่อการไปสู่ พระนิพพาน

 ได้อย่างมากก็แต่สวรรค์ชั้นต่างๆ

ถ้าเราทำบุญทำทาน

รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์เป็นนิจศีล

 แล้วก็มีภารกิจเช้า-เย็นไหว้พระ

สวดมนต์ฟังเทศน์ฟังธรรม

 อันนี้ก็จะเป็นการหล่อเลี้ยงจิตใจ

ให้มีน้ำแห่งธรรม

 ไว้รักษาใจไม่ให้เหี่ยวเฉา

 ไม่ให้ตกไปในที่ต่ำ

แต่มันยังไม่พอเพียง

ต่อการที่จะทำให้ใจนี้เจริญเติบโต

ออกมรรคออกผลขึ้นมา

 ออกพระนิพพานขึ้นมา

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 13 ธันวาคม 2559
Last Update : 13 ธันวาคม 2559 6:56:27 น.
Counter : 782 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ