Group Blog
All Blog
<<< การพัฒนาจิตใจ >>>










"การพัฒนาจิตใจ"

การพัฒนาจิตใจเป็นการพัฒนาที่แท้จริง

เพราะเป็นการพัฒนาที่ถาวร

 ไม่เสื่อมไม่สิ้นไปเหมือนกับ

การพัฒนาทางร่างกาย

 ทางวัตถุ ทางลาภ ยศ สรรเสริญ

ที่ยังอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์

คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ถ้าเราพัฒนาแต่ร่างกาย

 พัฒนาแต่ลาภ ยศ สรรเสริญ พัฒนาแต่วัตถุ

เราก็จะไม่ได้พัฒนาจิตใจของเรา

 ที่เป็นสิ่งที่ไม่เสื่อมไม่สิ้น เป็นสิ่งที่ถาวร

ใจของเราก็จะไม่ได้รับการพัฒนา

 แล้วเวลาที่ร่างกายของเราเสื่อมสิ้นไป

 การพัฒนาของเราทั้งหมด ก็จะหมดจากเราไป

 เวลาที่เราจากโลกนี้ไป

เราก็ไปแบบไม่ได้มีการพัฒนา

นอกจากไม่ได้พัฒนาแล้ว

ยังอาจจะทำให้เสื่อมลงไปมากขึ้นเสียด้วยซ้ำไป

 เพราะในการหาลาภ ยศ สรรเสริญ

 พัฒนาวัตถุ พัฒนาร่างกาย

 บางครั้งก็อาจจะทำให้มีการทำบาปได้

การทำบาปนี่แหละเป็นการที่จะดึงจิตใจ

ให้เสื่อมลง ให้ต่ำลง.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................

หนังสือ ผู้ไกลจากทุกข์








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 24 มีนาคม 2560
Last Update : 24 มีนาคม 2560 9:48:24 น.
Counter : 1241 Pageviews.

0 comment
<<< จิตของพระอริยะเวลาละสังขาร >>>










“จิตของพระอริยะเวลาละสังขาร”

ถาม : จิตของพระอริยะเวลาจะละสังขารนี้

 จะดำเนินสมาธิอย่างเดียวกับ

พระพุทธเจ้าหรือเปล่า

พระอาจารย์ : ไปทางเดียวกัน

 จิตสงบเป็นอุเบกขาปล่อยวาง

ความสงบเป็นอุเบกขามีอยู่ ๒ ระดับ

 ระดับสมาธิกับระดับปัญญา

สมาธิเพียงแต่กดกิเลสไว้

เวลาจิตแยกออกจากร่างกายแล้ว

 พออำนาจของสมาธิเสื่อมหมดไป

กิเลสก็ยังออกมาบงการ

ให้จิตไปเกิดในภพใหม่ได้

ขณะที่สงบนิ่งในสมาธินั้นเป็นฌาน

 เป็นสวรรค์ชั้นพรหม

 ถ้าแยกจากร่างกายตอนนั้น

ก็จะไปอยู่ในพรหมโลก

 แต่พรหมโลกที่อยู่ได้

ด้วยอำนาจของสมาธินี้

จะเสื่อมหมดไปได้

พออำนาจของสมาธิหมดไป

 กิเลสก็จะออกมาเพ่นพ่าน

จะเกิดความหิวในรูปเสียงกลิ่นรส

เบื้องต้นก็รูปเสียงกลิ่นรสที่ละเอียด

รูปทิพย์เสียงทิพย์

ก็เลื่อนจากพรหมมาสู่ชั้นเทพ

 พอหมดบุญจากชั้นเทพ

ก็ต้องการรูปเสียงกลิ่นรสชนิดหยาบ

ก็ลงมาสู่ชั้นมนุษย์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์

 มาสร้างบุญสร้างกรรมใหม่

ถ้าสงบนิ่งด้วยวิปัสสนา

ด้วยไตรลักษณ์ด้วยปัญญา

 จะไม่มีกิเลสหลงเหลืออยู่เลย

ไม่ต้องภาวนาพุทโธๆเลย

 เพียงแต่มีสติรู้อยู่เฉยๆ

จะว่ามีสติก็ไม่เชิง เพราะสติก็หมดไปแล้ว

 มรรคไม่มีแล้ว เช่นมหาสติมหาปัญญา

 หมดไปตั้งแต่ตอนที่กิเลสหมด

 เหมือนกับกินยารักษาโรค

 พอหายจากโรคแล้ว

 ก็ไม่ต้องกินยาอีกต่อไป

 จิตไม่กระเพื่อมไม่กำเริบ

 จิตสงบตลอดเวลา

นิพพานัง ปรมังสุขังอยู่ตลอดเวลา

 เวลาร่างกายตายไป จิตสงบนิ่งอยู่เฉยๆ

 ปล่อยให้ร่างกายตายไป

หรือจะเข้าฌานขึ้นๆลงๆก็ได้ จะไม่เข้าก็ได้

ทำจิตให้เป็นปกติ ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน

เหมือนกับเวลาที่นั่งสมาธิ

แล้วเกิดอาการเจ็บปวด ไม่เดือดร้อนกับมัน

 ปล่อยให้เจ็บไป จิตรับรู้ความเจ็บปวด

 แต่ไม่ไปกลัว ไม่อยากให้มันหาย

ปล่อยให้มันหายเอง

อย่างนี้เป็นระดับหลุดพ้นแล้ว

ไม่ต้องใช้ปัญญา

 เมื่อหลุดพ้นแล้วจะไม่มีความอยาก

อยากให้ทุกขเวทนาหายไป

 หรืออยากจะหนีจากทุกขเวทนานั้นไป

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายกับขันธ์

 จิตเพียงแต่รับรู้

ยังหายใจอยู่ก็รู้ว่ายังหายใจอยู่

 ทุกขเวทนาความเจ็บปวดของร่างกาย

ยังมีอยู่ก็รู้ว่ายังมีอยู่

พอไม่หายใจก็รู้ว่าไม่หายใจ

 เวทนาหายไปก็รู้ว่าหายไป

นี่เกิดจากการฝึกฝน

 เจริญสมถะและวิปัสสนา

 จนกลายเป็นธรรมชาติของจิตไป

อยู่ในอุเบกขาตลอดเวลา

ไม่มีอารมณ์กับอะไรทั้งนั้น

 เมื่อไม่มีอารมณ์ก็ไม่มีความทุกข์

 ไม่มีความทุกข์ก็ไม่เดือดร้อนอะไร

กับความเป็นไปของร่างกายของเวทนา

 ที่เป็นปัญหาสำคัญก็ ๒ ตัวนี้เอง

ร่างกายกับเวทนา

ทุกขเวทนาความเจ็บปวด

 ความตาย ความแก่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย

ที่สร้างความทุกข์ให้กับสัตว์โลกตลอดเวลา

 เวลาอื่นจะไม่ค่อยแสดงผลเท่าไร

 เวลาไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาไม่แก่

สามารถทำอะไรได้ตามความอยากของกิเลส

ตอนนั้นก็จะสนุกสนานมีความสุข

 แต่ไม่เคยคิดว่า

สักวันหนึ่งจะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย

 สักวันหนึ่งจะต้องตาย

ตอนนั้นจะมีวิชารับกับเหตุการณ์ได้หรือเปล่า

 เหมือนกับตอนนี้เราอยู่ในสภาวะที่ไม่มีสงคราม

 เป็นภาวะปกติ เราก็อยู่กันสุขสบาย

แต่ถ้าเกิดมีข้าศึกบุกเข้ามา

 เรามีอาวุธไว้ต่อสู้หรือเปล่า

 ถ้าไม่มีก็จะถูกเขาทำลาย ถ้ามีก็ป้องกันได้

 ที่พวกเรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน

มาทำบุญให้ทาน มารักษาศีล มาภาวนานี้

มาเพื่อเสริมสร้างกำลังไว้ปกป้องรักษาจิตใจ

 ไม่ได้มารักษาร่างกาย

 ไม่ได้ทำบุญเพื่อให้อยู่ไปนานๆ

ไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ให้ตาย

ทำบุญเพื่อให้ใจปล่อยวาง

เพราะใจยึดติดกับสิ่งภายนอกอยู่มาก

 พอยึดติดแล้วก็จะไม่มีเวลาภาวนากัน

 จะหมดเวลากับการแสวงหา

ดูแลจัดการกับสิ่งภายนอก

 จึงต้องปล่อยวางภายนอกก่อน

 ด้วยการบริจาค ด้วยการเสียสละ

 ด้วยการละสิ่งของที่ฟุ่มเฟือย

เหลือเฟือเกินความจำเป็น

ความจำเป็นก็คือปัจจัย ๔

ถ้ามีปัจจัย ๔ พอเพียงก็ถือว่าพอแล้ว

 มากกว่านั้นก็จะเป็นอุปสรรคต่อการหลุดพ้น

 เป็นนิวรณ์เช่นกามฉันทะ

ติดรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

ถ้ามีนิวรณ์จิตจะไม่สงบ

 จิตไม่สงบก็จะไม่เห็นธรรม

ไม่สามารถพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ได้

ก็จะหลุดพ้นไม่ได้ จึงต้องตัดภายนอกก่อน

 เก็บสมบัติข้าวของเงินทองไว้เท่าที่จำเป็น

มีไว้ดูแลจนถึงวันตายได้ก็พอแล้ว

 มีเงินไว้สักก้อนหนึ่ง

 จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรม

 ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ต้องมีเลยก็ได้

 ยกให้คนอื่นไปหมด รักใครชอบใคร

อยากจะให้ใครก็ให้ได้

ไม่จำเป็นจะต้องให้พระเสมอไป

ให้กับคนอื่นก็ได้

 ให้กับลูกให้กับภรรยาก็ได้

 พระพุทธเจ้าก็ทรงทิ้งไว้ให้ลูกให้ภรรยา

 ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย

ต้องการเวลาเท่านั้นเอง

 เวลาที่จะอยู่คนเดียวเพื่อจะได้บำเพ็ญ

 ทำทุกอย่างเพื่อจิตใจเท่านั้น

 ไม่ได้ทำเพื่อร่างกาย

 ทำร่างกายให้ดีขนาดไหนก็ตาม

 ก็ต้องเป็นไปตามวาระของเขา

 ไม่มีใครยับยั้งได้

 พวกเรากำลังยืนเข้าคิวกัน

 เหมือนเวลาไปธนาคาร

หรือหยุดรถตามสี่แยกไฟแดง

 เข้าคิวรอให้ไฟเขียว จะได้ขยับไปได้

 จนกว่าจะพ้นสี่แยก

การตายก็เหมือนสี่แยกไฟแดงนี้เอง

 เราก็กำลังเข้าคิวอยู่ที่สี่แยกไฟแดง

รอให้รถขยับไป แต่เวลาอยู่สี่แยกไฟแดงนี้

อยากให้ไฟเขียวเร็วๆ จะได้ไปเร็วๆ

ทำไมกับเรื่องของความตาย

กลับไม่อยากให้ไฟเขียวเร็วๆ

เพราะเราไม่มีธรรมะ

 มีแต่อวิชชามีแต่ความหลง

 หารู้ไม่ว่ายิ่งอยู่ไปนานเท่าไร

ยิ่งทุกข์นานขึ้นไปเท่านั้น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

กัณฑ์ที่ ๓๘๙ วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

(จุลธรรมนำใจ ๑๕)

“ปฏิจจสมุปบาท”








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 มีนาคม 2560
Last Update : 23 มีนาคม 2560 18:26:37 น.
Counter : 789 Pageviews.

0 comment
<<< วิธีที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ >>>










"วิธีที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ"

ฉันใด คนที่ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข

 กับคนที่ใช้สติปัญญาหาความสุขนี้ ก็ต่างกัน

 คนที่ใช้ร่างกายก็ต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง

หากร่างกายแก่ ร่างกายเจ็บ ร่างกายตาย

 ก็ไม่สามารถที่จะใช้ร่างกายหาความสุขได้

แต่คนที่ใช้สติปัญญาหาความสุข

ด้วยการกำจัดความอยากต่างๆ เขาก็ไม่เดือดร้อน

แล้วสติปัญญาก็ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันตาย

พอมีสติแล้วมันก็จะมีอยู่กับเราไปเรื่อยๆ

พอมีปัญญาแล้วมันก็จะมีอยู่กับเราไปเรื่อยๆ

มันจะไม่มีวันหายไป

นี่แหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

 คือความสุขในรูปแบบใหม่

ความสุขในรูปแบบที่ไม่ต้องใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องมือหาความสุข

ความสุขที่ใช้สติใช้ปัญญา ใช้ธรรมะ

ที่จะมากำจัดความอยากต่างๆ

ที่มีอยู่ภายในใจให้หมดไป

พอไม่มีความอยากอยู่ในใจแล้ว

ใจก็จะสุขไปตลอดเวลา เรียกว่า บรมสุข

 นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพาน

เป็นความสุขอย่างยิ่ง

อะไรคือ นิพพาน นิพพานก็คือ

ใจที่ปราศจากความอยากต่างๆ นี่เอง

เรียกว่า นิพพาน ใจที่ไม่มีกามตัณหา

ไม่มีความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส

 ใจที่ไม่มีภวตัณหา ไม่มีความอยากมีอยากเป็น

 อยากได้โน่นอยากได้นี่

ใจที่ไม่มีวิภวตัณหา คือใจที่มีความอยาก

ไม่ต้องการสิ่งนั้นไม่ต้องการสิ่งนี้

ใจสามารถอยู่กับอะไรก็ได้ อยู่กับสิ่งที่มีก็ได้

 อยู่กับสิ่งที่ไม่มีก็ได้ นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราไม่รู้กัน

 ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ไม่ได้มาพบกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 พวกเราก็จะหาความสุขด้วยการใช้ร่างกาย

เป็นเครื่องมือ แล้วเราก็ต้องมาทุกข์

เวลาที่ร่างกายไม่สามารถเป็นเครื่องมือ

หาความสุขให้กับเราได้ เวลาที่ร่างกายแก่

 เวลาที่ร่างกายเจ็บ เวลาที่ร่างกายตายนี้

เราจะทุกข์มาก แต่ตอนนี้เราสามารถที่จะไม่ทุกข์

กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกายได้แล้ว

 เพราะเราได้พบกับวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

 คือ วิธีหยุดความอยากต่างๆ

 ด้วยการสร้างสติสร้างปัญญาขึ้นมา

 ถ้าเรามีสติเราก็จะหยุดความอยากได้ชั่วคราว

ถ้าเรามีปัญญา เราก็จะหยุดความอยากได้อย่างถาวร.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๐







ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 23 มีนาคม 2560
Last Update : 23 มีนาคม 2560 9:54:53 น.
Counter : 831 Pageviews.

0 comment
<<< สุขตอนต้น ทุกข์ตอนปลาย >>>











"สุขตอนต้นทุกข์ตอนปลาย"

คนที่เรารักคนที่เราชอบ พอได้เขามาเราก็สุขใจ

 เดี๋ยวเวลาที่เขาจากเราไปเราก็เสียใจ

ให้คิดว่าทุกอย่างที่เราได้มา

 ทุกอย่างที่จะให้ความสุขกับเรานั้น

 มีวันที่จะต้องหมดไป  มีวันที่จะต้องจากเราไป

 หรือมีวันที่เราจะต้องจากเขาไป

ถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็ ไม่อยากจะได้อะไร

 ได้มาแล้ว ทุกข์ เอามาทำไม

ได้มาแล้วถึงแม้ว่าจะมีสุข แต่มันสุขตอนต้น

 เพราะเดี๋ยวมันจะต้องทุกข์ตอนปลาย

 บางทีเขายังไม่ทันจากไปเราก็ทุกข์แล้ว

 ทุกข์เพราะห่วงใยกังวล

กังวลว่าเขาจะเป็นอะไรไป

 กังวลว่าเขาจะไม่อยู่

ห่วงเขาเวลาไม่เห็นหน้าเห็นตาก็ห่วง

 นั่นมันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น

ทุกข์ที่เกิดจากการอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้

ได้บุคคลนั้นบุคคลนี้

 เวลาที่ไม่ได้ก็ทุกข์อีกแบบหนึ่ง

 เพราะว่าเวลาอยากแล้วไม่ได้มันก็เสียใจ

ไม่สบายใจ กระวนกระวายใจ

 เวลาเรารอสิ่งที่เราอยากได้

เรารู้สึกกระวนกระวายไหม

เมื่อไรจะมาสักทีเมื่อไรจะได้สักที

พอได้มาก็ดีใจเดี๋ยวเดียว

เดี๋ยวก็มากังวลกับของที่เราได้

 ว่าเอ๊ะมันจะดีไปเรื่อยๆ หรือเปล่า

หรือเดี๋ยวมันจะเสียเดี๋ยวมันจะหายไปหรือเปล่า

นี่ก็ทุกข์อีก เดี๋ยวเวลาเขาไปจริงๆ เสียจริงๆ

 เราก็ทุกข์อีก ให้คิดดูอย่างนี้

ทุกอย่างที่เราอยากได้นี้มันทำให้เราทุกข์ใจ

ตั้งแต่เริ่มความอยาก พอมีความอยากปั๊ป

มันก็ทุกข์แล้วไม่สบายใจแล้ว พอได้มาก็ทุกข์อีก

 และพอเสียไปก็ทุกข์อีก ทุกข์ทั้งสามระยะเลย

 ระยะเริ่มต้นตั้งแต่คิดอยากจะได้นี้

กินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว

 อยากจะได้อะไรนี้ นอนไม่หลับแล้ว

 อยากจะไปเอาไอ้สิ่งที่เราอยากได้

พอได้มาก็ต้องมาทุกข์กับการดูแลรักษา

 มาห่วงใยมาวิตกมากังวล

แล้วเดี๋ยวเวลาเสียไปก็ทุกข์อีก

ของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือสิ่งของต่างๆ

 มันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น เป็นของไม่แน่นอน

 เป็นของที่เปลี่ยนได้ มีเจริญมีเสื่อมเป็นธรรมดา

มีการ เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มีการเกิดมีการดับ

แล้วเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้ ไปบังคับเขาไม่ได้

ไปหยุดเขาไม่ได้ ไปเปลี่ยนเขาไม่ได้

เวลาเขาจะเป็นอย่างนี้เราจะไปเปลี่ยน

ให้เขาเป็นอย่างนั้น เราเปลี่ยนไม่ได้

เวลาเขาไม่ดีกับเรา เราก็เสียใจ

 อยากให้เขาดี เขาไม่ดีเราก็ทุกข์ นี่คือการคิด

คิดแบบที่จะทำให้เราไม่อยากได้อะไร

ไม่อยากมีอะไร ไม่อยากทำอะไร

ถ้าเราไม่มีความอยากต่างๆ

 เราก็อยู่เฉยๆ ได้สบายไม่ต้องดิ้นรน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.........................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb.พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 22 มีนาคม 2560
Last Update : 22 มีนาคม 2560 10:24:27 น.
Counter : 763 Pageviews.

0 comment
<<< ผู้รู้ ผู้คิด >>>










"ผู้รู้ผู้คิด"

เราอยากจะเห็นใจเห็นตัวเราว่าเป็นอย่างไร

 เราต้องปฏิบัติธรรม เราต้องสร้างธรรมขึ้นมา

สร้างกระจกขึ้นมา พอเราสร้างกระจกขึ้นมา

ก็เหมือนกับเราเปิดตาทิพย์ของเรา

เปิดตาในของเรา พอเปิดตาในขึ้นมา

 ก็จะเห็นตัวเราว่า เรานี้เป็นใจ ใจคืออะไร

 ใจก็คือผู้รู้ผู้คิดนี้เอง ผู้ที่กำลังคิดอยู่นี้

ผู้ที่กำลังรู้อยู่นี้ ไม่ใช่ร่างกาย

ร่างกายนี้ดูไม่เป็นคิดไม่เป็น

ร่างกายเป็นเพียงแต่รับข้อมูล

แล้วส่งไปให้ผู้รู้ผู้คิดเท่านั้น

 เช่นตอนนี้ร่างกายกำลังรับเสียงเข้าไปในหู

แล้วก็ส่งไปให้ผู้รู้คือใจ ใจนี่แหละเป็นผู้รู้

ว่ากำลังฟังอะไรอยู่

ร่างกายเขาไม่รู้ว่าเขาฟังอะไร

ร่างกายก็เหมือนกับเครื่อง

ที่กำลังถ่ายทอดเสียงอยู่นี้

 ถ่ายทอดเสียงนี้เขาก็ถ่ายทอด เขาก็รับภาพ

แล้วเขาก็รับเสียง แล้วเขาก็ส่งไป

ให้ญาติโยมอยู่ที่บ้านทั่วโลก

ใจของพวกเราก็เหมือนกัน

 เป็นเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งไม่ได้อยู่ในโลกนี้

 อยู่ในโลกทิพย์ อาศัยเครื่องรับ

ทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 ที่รับรูป เสียง กลิ่น รส โผสฐัพพะ

แล้วก็ส่งไปให้ใจ คือผู้รู้รับรู้

พอใจรับรู้แล้ว ใจก็คิด

แล้วก็สั่งกลับมาที่ร่างกาย

 ไปทำอะไรกับรูป เสียง กลิ่น รส ที่ใจรับรู้

 เช่นเห็นรูปที่ชอบก็สั่งให้ร่างกายไปซื้อ

กระเป๋าสวย นี่ก็สั่ง เอ้าไปซื้อกระเป๋า

 เห็นรองเท้าสวยเห็นรถสวย บ้านสวย

 เห็นแฟนสวย ก็สั่งให้ร่างกายไปรับไปหามา

 นี่ใจเป็นผู้สั่ง คือ ผู้คิดนี้เอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................

สนทนาธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 17 มีนาคม 2560
Last Update : 17 มีนาคม 2560 10:07:32 น.
Counter : 716 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ