ธ.ก.ส.ธนาคารสีเขียวและธนาคารต้นไม้ ก้าวต่อไปในปีบัญชี 2556 มุ่งสู่อนาคตที่กว้างไกลและยั่งยืน มุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรแก่ภาคการเกษตรและชนบท ควบคู่กับการเสริมสร้างองค์ความรู้และ สนับสนุนการพัฒนาอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ฯล และ เพื่อก้าวสู่การเป็นธนาคารพัฒนาชนบทเต็มรูปแบบ ธ.ก.ส. ได้กำหนดพันธกิจสำคัญไว้ 5 ประการ อาทิเช่น บริการสินเชื่อครบวงจร เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการพัฒนาขีดความสามารถการผลิต และเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร...ประกาศศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.ที่ 184/2557 เรื่อง โครงการสนับสนุนทุนการวิจัยและทุนบ่มเพาะเพื่อพัฒนาธุรกิจ ประจำปีบัญชี 2557... 4.1 การวิจัยด้านโซ่อุปทาน (Supply Chain) โซ่คุณค่า (Value Chain) การจัดการด้านผลผลิต การตลาดและโลจิสติกส์ ทั้งนี้จะเน้นด้านนวัตกรรมเชิงธุรกิจหรือการเพิ่มมูลค่าผลผลิตเกษตรและการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานทรัพยากรของประเทศ และภูมิปัญญาท้องถิ่น 4.2 การวิจัยเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการเกษตร เครื่องจักรกลการเกษตร และพลังงานทดแทน... ปี2554 ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบมหาอุทกภัยซึ่งธนาคารโลกเปิดเผยว่าสร้างความเสียหาย 1.4 ล้านล้านบาท ส่งผลกระทบต่อ GDP 3.7 % ต้องใช้งบประมาณฟื้นฟู 7.5 แสนล้านบาท ธ.ก.ส. จึงกำหนดให้โครงการธนาคารต้นไม้ เป็นโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ของ ธ.ก.ส. เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย พลังงาน อาหาร ยารักษาโรค และระบบนิเวศเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศและของโลก...จัดตั้งธนาคารต้นไม้ (ชุมชน) จำนวน 3500 ชุมชน ภายในปีบัญชี 2555 และขยายผลเพิ่มเป็น 7,500 ชุมชน ภายในปีบัญชี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์ ด้านเศรษฐกิจดังนี้
1.พัฒนาการทำการเกษตรตามรูปแบบที่ใกล้เคียงป่าธรรมชาติ ช่วยให้เกษตรกรได้รับผลผลิตที่หลากหลายจากผืนดิน มีอาหาร มียา มีไม้สร้างบ้านเรือน มีพืชพลังงาน มีส่วนเกินขายเป็นรายได้ประจำวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายปี รายได้เมื่อเกิดฉุกเฉินและมีต้นไม้เป็นบำนาญชีวิตเมื่อถึงวัยชรา ช่วยให้เกษตรกรพึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2. เกษตรกรสามารถนำรายได้ดังกล่าวไปปลดเปลื้องหนี้สินที่มีอยู่กับสถาบันการเงินทั้งในระบบและนอกระบบ
3.สร้างฐานทรัพยากรในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติในระยะยาว เป็นทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหาร (เพื่อสุขภาพ) ยา (สมุนไพร) พลังงาน (จากพืช) และการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และอุตสาหกรรมอื่น ๆ
โครงการธนาคารต้นไม้7,500 ชุมชน นั้นควรมีการส่งเสริมปลูกพืชพลังงานอาทิเช่น หญ้าเนเปียร์ปากช่อง1 ,มันสำปะหลัง,ทานตะวัน,ข้าวฟ่าง,ไม้ไผ่ ,ไม้โตเร็วพวกกระถินยักษ์ กระถินเทพา ไม้ยูคาลิปตัสลูกผสม และไม้มีค่าได้แก่ ไม้สัก ไม้พะยูง ไม้หอมกฤษณา ฯล และควรแสวงหาร่วมมือกับภาคเอกชน-สหกรณ์การเกษตรต่างๆในการลงทุนพลังงานทดแทน BIOGAS-BIOMASS-BIOFUELS ชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพราะพืชพลังงานและพลังงานสีเขียว (Energy Crops and Green Energy Project) นั้น จะสร้างเศรษฐกิจใหม่บนพื้นฐานพลังงานสีเขียว (Renewable Energy Economy) และสร้างพลังงานทดแทนในชุมชน ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลที่สูญเสียเงินตราจากการนำเข้า ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมโลก...ปัจจุบันการปลูกออ้ยน้ำตาลและมันสำปะหลังเกษตรกรต้องใช้เวลารอนาน 11เดือนจึงจะเก็บเกี่ยวได้ แต่ปัจจุบันมีวิธีการสร้างรายได้เร็วและมีกำไรสูงคือการปลูกหญ้าเนเปียร์ ปากช่อง1สำหรับเลี้ยงสัตว์พวกวัว แพะ แกะ ปลากินพืช และใช้ทำพลังงานทดแทนนั้นสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุก60วัน กล่าวได้ว่าเกษตรกรจะมีรายได้ประจำแน่นอนจากราคาวัตถุดิบที่มีการตกลงซื้อขายกันล่วงหน้า จึงนับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับอนาคตของประเทศไทย ที่จะสร้างความอยู่ดีกินดีและปลดเปลื้องหนี้สินให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ นี่คือการขับเคลื่อนความมั่งคั่งครั้งใหม่เพราะจะก่อให้เกิดกระบวนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เกิดเป็นรายได้ใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงสภาพของสังคมชุมชนรากหญ้าให้มีความมั่นคง-ยั่งยืน จากอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่พวกเขาถือหุ้นอยู่ด้วย.
อ่านเพิ่มเติม ://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/analysis/20140923/606572/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0!%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87.html