อาคิยูกิ ลูกชายฉันเป็นดาวน์ซินโดรม
ผู้แต่ง: Hiromi Katoh
ผู้แปล: SARI
สำนักพิมพ์: สยามอินเตอร์บุ๊คส์
พิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน 2549
ราคา 170 บาท
นี่คือ...เรื่องจริง! ที่บีบหัวใจพ่อ-แม่ทั่วญี่ปุ่นมาแล้ว
เพราะ...ลูกคือสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดในโลก
บันทึกแห่งไออุ่นและคราบน้ำตา บันทึกแห่งชีวิตที่ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์อย่างยาวนานมาแล้วในญี่ปุ่น
[บางส่วนจากคำนำสำนักพิมพ์]
แม้หนังสือแปลเชิงบันทึกชีวประวัติเล่มนี้จะมีขนาดกะทัดรัด ด้วยเพราะเจ้าของประวัติสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียง 6 ปี แต่ทว่า 6 ปีนั้นเป็นปีแห่งความสุข ความอบอุ่น เต็มไปด้วยมิตรภาพและไมตรีจิต ที่ทุกคนรอบกายของหนูน้อยพร้อมจะมอบให้กับเขา เพื่อให้ระยะเวลาอันแสนสั้นนั้นสุขสันต์ และสามารถตราตรึงอยู่ในใจของทุกผู้คน ด้วยความทรงจำอันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เพื่อให้ครั้งใดที่ใครนึกย้อนถึงหนูน้อย อาคิยูกิ คาโต้ แล้ว ทุกคนจะนึกเห็นว่าหนูน้อยกำลังเฝ้ามองดูเราจากสรวงสวรรค์ด้วยรอยยิ้ม ด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง เช่นเดียวกับที่เขาเคยได้รับขณะมีชีวิต
* * * * * * *
หนังสือเล่มนี้เป็นบันทึกที่ผู้แต่งเขียนเพื่อเล่าถึงลูกชายของเธอ ซึ่งลืมตาดูโลกได้เพียง 6 ปีเท่านั้น
อาคิยูกิเกิดจากครรภ์ที่เป็นพิษ ต้องนำเข้าตู้อบทันทีที่พ้นท้องแม่ หนึ่งอาทิตย์หลังคลอด หมอก็แจ้งว่าเด็กอาจเป็นดาวน์ซินโดรม และแนะนำให้แม่พาลูกไปตรวจในโรงพยาบาลใหญ่
เมื่อไปที่นั่น ผลการตรวจออกมาว่า "ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้ ต้องส่งไปตรวจหัวใจและโครโมโซมก่อน" ตั้งแต่วันนั้น หนูน้อยอาคิยูกิต้องกินยาบำรุงหัวใจกับยาขับปัสสาวะทุกวัน มีข้อควรระวังในการใช้ชีวิต เช่น เวลาร้องไห้ ต้องรีบอุ้มมาปลอบให้หยุดร้องทันทีเพื่อลดภาระของหัวใจ ให้ขี่หลังไม่ได้เพราะจะกดทับหน้าอก หลีกเลี่ยงที่คนพลุกพล่านเพื่อไม่ให้ติดหวัด อย่าให้ฟันผุ อุณหภูมิห้องต้องอยู่ที่ 21 องศาในหน้าร้อนและ 26 องศาในหน้าหนาว ความชื้นควรอยู่ที่ 40-60% ดื่มนมครั้งละมาก ๆ ไม่ได้ ต้องกินนมชนิดพิเศษ กินนมแม่ไม่ได้
สุดท้าย ผลการตรวจหัวใจก็สรุปว่าอาคิยูกิมีรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจ แถมผลการตรวจโครโมโซมยังพบอาการดาวน์ซินโดรมด้วย แม้แต่แพทย์ยังคิดว่าเขาน่าจะอยู่ได้ไม่ถึง 1 ปี
ทั้งหมดข้างบนนี่เป็นบทแนะนำตัวค่ะ อ่านแล้วเครียดดีเนอะ?
แต่หลังจากนั้น โทนเรื่องออกไปทางมีความสุข เพราะหนูน้อยอาคิยูกิผ่านช่วงปีแรกมาโดยไม่เป็นหวัด ต่อมา ยังได้เข้าโรงเรียนอนุบาล ได้ไปเที่ยวทะเล มีพัฒนาการถึงขนาดลุกขึ้นยืนและเดินเองได้ด้วย
...อ่านไป ดูรูปถ่ายเจ้าตัวในอิริยาบถต่าง ๆ ไปด้วย (เล่มนี้รูปประกอบที่คุณแม่ถ่ายไว้เองเยอะมาก) เพลินดีค่ะ หนูน้อยคนนี้ยิ้มเก่งจริง ๆ
ถึงจะจบด้วยความตาย แต่ผู้เป็นแม่ไม่ได้เขียนบีบคั้นอารมณ์ให้คนอ่านต้องเศร้าสลดปานจะขาดใจ จขบ. คิดว่าเธอเขียนให้คนเห็นความสุขในชีวิตอาคิยูกิ เห็นชัยชนะของเขา ซึ่งสู้เต็มที่แล้วในช่วงชีวิตสั้น ๆ ของเขา โดยมีคนรอบตัวก็คอยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ แค่นั้นก็น่าพอใจแล้ว อย่างที่ในเรื่องบอกว่า
"ความสุขของคนเราไม่ได้อยู่ที่ความยืนยาวของชีวิต"
"ในหนึ่งวันนี้ ได้หัวเราะกี่ครั้ง? ได้สนุกกับอะไรบ้าง? แค่มีให้นึกได้สักอย่างสองอย่างพร้อมกับอมยิ้มไปด้วยก่อนนอนก็เพียงพอแล้ว"
เล่มนี้ แนะนำให้อ่านค่ะ (ไม่แนะนำให้อ่านในที่สาธารณะ)
อยากให้มีหนังสือแนวนี้เยอะ ๆ จัง
* * * * *
ความคิดส่วนตัว:
- ไม่รู้พ่อแม่ในเรื่องนี้ทำอาชีพอะไร? เป็นคนมีฐานะไหม? เท่าที่อ่านดูจะไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นพ่อแม่ชาวไทย กินเงินเดือนธรรมดา จะมีปัญญาเลี้ยงลูกดาวน์ซินโดรมที่หัวใจพิการด้วยได้ดีเท่านี้ไหม?...ต่อให้ใจสู้และรักลูกเท่าคนแต่งก็ตาม
- เมืองไทยเรามีโรงเรียนสำหรับเด็กสมองพิการแบบนี้รึเปล่าหว่า? แล้วเด็กพวกนี้มีกิจกรรม เช่น งานกีฬาสี งานวัด ฯลฯ ให้ไปร่วมสนุก มีโรงเรียนเหมือนญี่ปุ่นรึเปล่า?
หรือว่ามีบ้านหรือศูนย์เฉพาะทางให้อยู่ แล้วก็จบแค่นั้น
บางอารมณ์เท่านั้นที่อ่านได้