ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต
ผู้แต่ง: Lai Dong Jin
ผู้แปล: วิลาวัลย์ สกุลบริรักษ์
สำนักพิมพ์: นานมีบุ้คส์
ราคา 165 บาท
อัตชีวประวัติของอดีตขอทานที่ทุกคนเคยเย้ยหยัน
มีพ่อตาบอด แม่กับน้องชายคนโตปัญญาอ่อน
ทั้งหมด 14 ชีวิตที่เขาต้องเลี้ยงดู
เขาต่อสู้กับชีวิตจนได้เป็น บุคคลดีเด่นของไต้หวัน
เพราะใจที่ไม่ยอมแพ้เพียงคำเดียว
ผู้ที่หมดกำลังใจ ท้อแท้กับชีวิต มีปัญหาในการเรียนหรือการงานนั้น..เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของความลำบากที่เจ้าของผลงานเขียนเล่มนี้ต้องเผชิญ
เขามีชีวิตอย่างไร เขาสู้เช่นไร และประสบความสำเร็จได้ในลักษณะใด เนื้อหาในเล่มจะช่วยไขปัญหานั้นได้เป็นอย่างดี แล้วคุณจะได้คำตอบมากมายในการดำเนินชีวิตจากหนังสือเล่มนี้
"
หากคุณถามถึงรสชาติของการเป็นขอทาน ผมบอกได้เพียงว่ามันคือน้ำตาที่ขมปร่าที่สุดในชีวิตมนุษย์ หากคุณถามผมถึงรสชาติของความสุข ผมก็จะบอกว่ามันคือการไม่ต้องทนหิว ไม่ต้องทนหนาว คนในครอบครัวได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าอย่างร่มเย็นเป็นสุข..."
ไล่ตงจิ้นออกขอทานท่ามกลางพายุฝน ผ่านคืนวันอันหนาวเหน็บ เพียงเพื่อให้ 14 ชีวิตอยู่รอดต่อไป หลายครั้งที่ไม่ได้อะไรเลย เขาถึงกับต้องแย่งข้าวหมากิน ดื่มน้ำในท้องร่อง...
"เพราะการไปเรียนหนังสือของผมกินเวลาของผมไปเกือบทั้งวัน พอถึงเวลาออกไปขอทานตอนกลางคืน จึงต้องแข็งขันกว่าเดิมอีกหลายเท่า... พ่อนั่งดีดพิณ ร้องเพลงไป ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับทำการบ้านโดยอาศัยแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟข้างถนน"
Credits:
- หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องและแนะนำการอ่านโดยประธานาธิบดีเฉินสุ่ยเปี่ยนของไต้หวัน เป็นตัวอย่างของคนที่ "ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต" ที่คนไทยทุกคนควรศึกษา
* * * * * * * * * * *
หนังสืออัตชีวประวัติที่ควรหามาอ่านไว้เตือนใจตัวเองว่าโชคดีแค่ไหน ถ้าเทียบกับเด็กด้อยโอกาสอีกมากมายบนโลก โดยเฉพาะเด็กอย่างไล่ตงจิ้น..ที่ไม่ใช่แค่ด้อยโอกาส แต่ยังต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวที่มีคนไม่สมประกอบเอาไว้ด้วย
เรื่องเล่าจากมุมมองของเจ้าตัว เล่าตั้งแต่เด็กไปจนโต กลายเป็น "บุคคลดีเด่นแห่งไต้หวัน"
ถึงจะเกริ่นว่าเป็นหนังสือที่ทุกคนควรอ่าน ความรู้สึกตอนอ่านก็ไม่ได้หลับหูหลับตาเชื่อไปหมด เพราะเป็นคนช่างสงสัย และยึดถือหลักการ ไม่อาจเชื่อสิ่งที่มองเห็นไปเสียทุกอย่าง ไม่อาจเชื่อสิ่งที่อ่านไปเสียทุกอย่าง...
ประเด็นที่ผุดขึ้นมาขณะอ่าน ได้แก่ ครอบครัวนี้มีลูกสาวคนโตกับลูกชายคนโตเท่านั้นหรือที่ช่วยเหลือเลี้ยงดูแม่กับน้องปัญญาอ่อน แล้วน้องคนอื่น ๆ ที่โตใช้การได้แล้วล่ะ? (มีบางคนไม่พิการ ไม่ปัญญาอ่อน) ...ตามนิสัยคนจีนแล้ว ถ้าครอบครัวลำบาก ถึงเป็นลูกชายหรือลูกสาวคนรองก็ต้องทำงานเหมือนกัน นี่คือจุดที่ผู้เขียนข้ามไป ไม่ได้บอกว่าเมื่อน้องโตรู้ความแล้ว ได้ช่วยเหลือผ่อนภาระดูแลครอบครัวมากแค่ไหน
ด้วยความที่รู้นิสัยชอบกำหราบผู้ที่อ่อนอาวุโสกว่าของคนจีน เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า...บางที น้องที่โตมาภายใต้การดูแลของ "เด็กยอดกตัญญู" อาจเขียนอัตชีวประวัติอีกแบบก็ได้?
ไม่ว่าจะมีแมงโม้โผล่มาหรือไม่ก็ตาม (ยอมรับว่าอาจอคติไปเองก็ได้ คนจินตนาการดีก็งี้แหล่ะ ) เล่มนี้ถือเป็นหนังสือดีที่น่าจะได้ลองอ่านค่ะ น่าเสียดายที่ดูจะไม่ค่อยมีใครพูดถึงเลย