ผู้แต่ง: ภาคภูมิ ศิริอาชาวัฒนา
พิมพ์ครั้งแรก โดย ประพันธสาส์น ปี 2537
<< พิมพ์ครั้งที่ 2 โดย สนพ. แม่ไก่ขยัน 2545
ภาพประกอบ: สุธีรา รุ่งเรืองเสาวภาคย์
Credit: วรรณกรรมเยาวชน 1 ในหนังสือดี 100 เรื่อง ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
"บูโน่ เป็นชายหนุ่มที่เหม่อลอย พูดน้อย พูดช้า แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ชอบพูดเสียเลย เขามักมีรอยยิ้มที่จริงใจเปิดเผยให้กับผู้คนเสมอ เขาเป็นคนอารมณ์เย็น เคลื่อนไหวตัวช้าและเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้คนทั่วไปลงความเห็นว่าเขาเป็นคนเฉื่อยชา เขาชอบมองดูสิ่งรอบกายโดยเฉพาะที่คนอื่น ๆ ไม่สนใจ ดูเหมือนเขาจะมีเวลาสำหรับเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้เสมอ (หน้า 16)"
* * * * * *ถ้าดูเฉพาะเนื้อเรื่อง เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลหลายจุด เช่น ไม่บอกว่าบูโน่เป็นใคร (โผล่มาก็อยู่ตรงป่านี่แล้ว) ความเจริญขยายตัวได้เร็วผิดปกติ โฉนดบ้านไม่มีเรอะ? ฯลฯ
จุดที่หมั่นไส้ (ในตอนแรก) คือความรักห่วงใยธรรมชาติของบูโน่ บอกตามตรงว่าอ่านฤดูกาลแรกแล้วรู้สึกว่านิสัยรักธรรมชาติชนิดนี้ ไม่น่าจะคงอยู่ในโลกได้ในความเป็นจริง (เดินห้ามเหยียบมด ไม่ทำวัชพืชตาย ไม่ทำลายใยแมงมุม ให้น้ำกับมด ฯลฯ กรี๊ด แล้วจะใช้ชีวิตได้ไงยะ? มิน่า ตาบูโน่ถึงนอนอยู่กับบ้านทั้งวัน) ... ค่อยโล่งอกที่โลกความเป็นจริงเริ่มเยี่ยมกรายเข้ามาในที่สุด (เอ๊ะ งี้เราก็เป็นตัวร้ายสิ?)
^
^
แต่ช่วงนี้ หลายคนอาจบอกว่ามันงดงาม น่าประทับใจก็ได้ค่ะ พอดีจขบ. ไม่ชอบอะไรที่มันเพอร์เฟคท์เกิน ส่วนที่เหลือก็เดากันได้ ตอนจบไม่ได้สรุปว่าบูโน่ไปไหนและเป็นอย่างไรต่อไป แต่เดาได้ว่าเขาเดินทางจากไปอย่างคนอิสระ ไม่ต้องแบกภาระ รักธรรมชาติ ต่อไปอีก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องสรุปว่าเล่มนี้อ่านเอาแง่คิดและความหมายแฝงมากกว่าตัวบทตรง ๆ ค่ะ
แง่งามของเรื่องนี้อยู่ที่บทพรรณนาถึงธรรมชาติและสัตว์ รวมถึงแง่คิดเกี่ยวกับมนุษย์-ธรรมชาติที่แฝงอยู่ตลอดเรื่อง มีจุดโดนใจหลายแห่งทีเดียว
(ถึงแม้ว่า จขบ. จะคิดว่าคนแต่งไม่เห็นความดีงามในตัวมนุษย์เท่าไหร่แฮะ)
เหมาะไว้อ่านช้า ๆ อ่านหลาย ๆ รอบค่ะ
ปกพิมพ์ครั้งแรก
โดย ประพันธสาส์น
เนื้อเรื่องแบ่งเป็น 3 ส่วน
และ
จะ Spoiled แล้วน้า....
เล่าคร่าว ๆ (กันตัวเองลืม)
ฤดูกาลแห่งความอบอุ่นเริ่มเล่าถึงชายหนุ่มชื่อบูโน่ ชายหนุ่มพูดน้อย กินน้อย เคลื่อนไหวช้า มีความรักและห่วงใยสัตว์และธรรมชาติรอบตัว เขาคิดเสมอว่าตนไม่มีประโยชน์กับธรรมชาติและโลกเลย
บูโน่สร้างบ้าน (ซึ่งเป็นแค่การกั้นฝาระหว่างต้นไม้) กลางป่ารกชัฎ ใช้เวลาในแต่ละวันตามจังหวะของธรรมชาติ เดินไปตามสวนรุกขชาติบ้าง นอนดูดาวบ้าง เสมือนมีผืนดินเป็นแม่และแผ่นฟ้าเป็นพ่อ
บูโน่อาศัยในหมู่บ้านไก่ขัน ทุกคนสงสัยว่าบูโน่เป็นใครมาจากไหน บ้างก็สงสัยว่าบูโน่สติไม่สมประกอบ มีลุงจมูกโตเท่านั้นที่ยืนยันว่าบูโน่เป็นคนปกติดี (แต่แกหารู้ไม่ว่าแผนจับตั๊กแตนมาทอดกินของแกน่ะ โดนบูโน่ดัดหลังอยู่หลายคืน)
หากแต่โลกไม่ได้สวยสดงดงามเสมอไป บูโน่มักไม่ได้กินพืชผลตามธรรมชาติในสวน เพราะมัวแต่ปล่อยให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยได้กินไปเสียก่อน บางครั้ง มนุษย์ด้วยกันก็ข้ามถิ่นมาฉกฉวยของของเขาไป
บูโน่จึงตัดสินใจจะปลูกพืชผักกินเอง เพียงก้าวแรกในสังคมภายนอก บูโน่ก็โดนเอาเปรียบแล้ว
ฤดูกาลแห่งความชุ่มชื้นบูโน่คิดใช้ประโยชน์จากธรรมชาติเป็นครั้งแรก ด้วยการถางหญ้า พรวนดินเพื่อปลูกผัก เป็นการฝืนใจทำ เพราะบูโน่พบว่าเขาตัวใหญ่เทอะทะจนอดทำร้ายสัตว์ตัวเล็ก ๆ ไม่ได้
สุนัขจรจัดเริ่มแห่กันมายึดบ้านบูโน่เป็นแหล่งพักพิง บูโน่เองหากินคนเดียวก็ลำบากแล้ว แต่ก็ไล่พวกมันไปไม่ลง ทั้งคนและหมาจึงอิ่มบ้างอดบ้างไปตามประสา แล้วความจำเป็นด้านปากท้อง..และความเจริญที่คุกคามเข้ามาใกล้ตัว..ก็บีบให้บูโน่ต้องออกไปทำงาน
ในที่ทำงาน บูโน่ได้รู้จักกับมาดาซายี เธอช่วยเขาซื้อเป็ดตัวหนึ่ง และยึดบ้านของเขาเป็นที่พักใจของคนเมือง
ฤดูกาลแห่งความแห้งแล้งหมู่บ้านโดยรอบกลับกลายเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว บูโน่ลาออกจากบริษัทเพราะคิดว่าเขาทำงานไม่คุ้มกับหน้าที่
คืนนั้น บูโน่หลงไปใน นครไฟ ที่ซึ่งดวงดาราบนฟ้าลงมาฉายแสงเจิดจ้าใกล้ตัว ดอกไม้ที่แย้มกลีบให้บูโน่ชื่นชมทุกเช้า กลายเป็นดอกไม้ราตรี แล้วฝันอันวิจิตรก็มาจบลงที่ดาวขยะ เมื่อบูโน่เมาแล้วโดนขนไปทิ้งขยะ
บูโน่กลับบ้าน เพื่อมาพบว่าสวนรุกขชาติโดนถางไปแล้ว สัตว์น้อยใหญ่และสุนัขที่เลี้ยงไว้ก็หายไป ไม่มีบึงน้ำ ไม่มีเป็ด ไม่มีผึ้งที่มายึดใต้เตียงเป็นรังอีก บูโน่จึงตัดสินใจออกเดินทาง