1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
27 กรกฏาคม 2557
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 18
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 18
"หลวงพ่อครับ นายจ่อยเขาบอกว่าหลวงพ่อมีกระจกวิเศษ" เป็นคำถามแรกที่พระบัวเฮียวถามท่านพระครู "งั้นหรือ แล้วเขาเล่าอะไรให้เธอฟังอีก" "เขาเล่าว่ากระจกวิเศษสามารถดูเนื้อคู่ได้ ที่เขาได้เป็นคู่หมั้นกับโยมจุกก็เพราะกระจกของหลวงพ่อ" "อ้อ..เขาว่ายังงั้นหรือ พูดถึงนายจ่อยทำให้ฉันนึกได้ว่าเขาจะแต่งงานใันที่ 9 ธันวาที่จะถึงนี่ อีกไม่กี่วันแล้วสินะ เขานิมนต์พระวัดเราเก้ารูปเลย ไม่มีเจริญพระพุทธมนต์เย็น เราเห็นจะต้องออกกันตั้งแต่ตีสี่" ท่านนึกขอบใจครูสฤษดิ์ที่ซื้อรถมาถวาย "ครับ แต่ผมอยากรู้เรื่องกระจกวิเศษน่ะครับ หลวงพ่อจะกรุณาเล่าให้ผมฟังบ้างได้หรือเปล่า แล้วถ้าผมจะขอ...เอ้อ...ดูเนื้อคู่ หลวงพ่อจะขัดข้องไหมครับ" พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจที่สุด "โธ่เอ๋ย บัวเฮียว รู้สึกเธออยากจะมีคู่เสียจริงนะ จำไม่ได้หรือที่ฉันเคยบอกว่าดวงเธอไม่มีเนื้อคู่" "จำได้ครับ" "งั้นก็แปลว่าเธอไม่เชื่อ" "เชื่อครับ แต่ผมอยากให้กระจกตรวจสอบอีกที ก็หลวงพ่อบอกผมไว้หลายเดือนแล้ว ตอนนั้นเนื้อคู่ผมอาจจะยังไม่เกิด ตอนนี้อาจจะเกิดแล้ว" ท่านพระครูนึกอยากจะว่าแรงๆ แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายยังหนุ่มยังแน่น ก็ต้องคิดถึงเรื่องอย่างนี้ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติของคนหนุ่ม คิดได้ดังนี้จึงกล่าวว่า "เอาละ...เมื่อเธออยากรู้ฉันก็จะเล่าให้ฟัง" แล้วท่านก็เริ่มเล่าว่า "ฉันได้วิชานี้มาจากหลวงพ่อสุก วัดมะขามเฒ่า ตั้งแต่ฉันบวชใหม่ๆ ผู้ที่จะเรียนวิชานี้ได้จะต้องได้กสิณเสียก่อน ฉันจึงฝึกอาโปกสิณอยู่หลายเดือนจึงได้ไปเรียนกับท่าน วิชานี้เป็นไสยศาสตร์ กระจกหมอดูนี้ดูแม่นอยู่สองเรื่อง คือดูเรื่องของหายกับดูเนื้อคู่ เชื่อไหมว่าถ้าฉันสึกออกไปหากินใต้ต้นมะขามสนามหลวง รับรองว่ารวยไม่รู้เรื่อง เพราะคนเขาชอบดูเนื้อคู่กัน โดยเฉพาะพวกอาจารย์สาวๆนี่ชอบดูนัก" "แล้วทำไมหลวงพ่อไม่สึกเล่าครับ ถ้าเป็นผมสึกไปเสียตั้งนานแล้ว" "ก็ถึงว่าสิ ทำไมถึงไม่สึกก็ไม่รู้" ท่านแกล้งเอออวย "รวบรัดตัดความก็คือ ฉันได้วิชาหมอดูมาจากหลวงพ่อสุก ทีนี้พอคนรู้ก็พากันมาให้ดูใหญ่ วิธีดูก็คือต้องเสกคาถาก่อนแล้วจึงเป่าไปที่กระจก เป็นกระจกแปดเหลี่ยมนะ ไม่ใช่กระจกธรรมดา สมมุติว่าเขามาดูเนื้อคู่ พอเสกคาถาลงไป คนที่เป็นเนื้อคู่ก็จะมาปรากฏที่กระจก ทีนี้เวลาจะลบก็ต้องใช้น้ำมนต์ลบถึงจะออก ถ้าไม่ใช่น้ำมนต์ก็จะติดอยู่อย่างนั้นถึงเจ็ดวันจึงจะลบไปเอง นายจ่อยตอนนั้นเขาเป็นสามเณรอายุเพิ่งจะสิบห้า แต่มารบเร้าให้ดูเนื้อคู่ แหม พอเห็นภาพนังจุกติดในกระจก ก็โกรธฉันเสียยกใหญ่ หาว่าฉันแกล้ง เสร็จแล้วเป็นไง หนีพ้นนังจุกเสียที่ไหน" ท่านนึกถึงภาพนังจุกตอนนั้นแล้วก็อดนึกขำไม่ได้ "เห็นว่าหลวงพ่อต้องเทข้าวทิ้งน้ำเพราะโยมจุกเป็นเหตุจริงหรือเปล่าครับ แล้วไม่กลัวผิดวินัยหรือครับ" "กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัว แต่มันคลื่นไส้ ก็เลยบอกเณรจ่อยว่าเรามาเลี้ยงปลากันเถอะ แหม..นังจุกนะนังจุก เล่นเอาฉันต้องเทข้าวทิ้งน้ำทุกวัน ตอนบวชใหม่ๆ ฉันเองก็ไม่ใช่พระดิบพระดีอะไรนัก" ท่านสารภาพ "แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ถึงดีได้ล่ะครับ" คนฟังย้อนถาม "ก็ตั้งแต่ได้เรียนกรรมฐานจากพระในป่า ฉันเลยกลับเนื้อกลับตัวได้ รู้ดีรู้ชั่วขึ้นมาเองเพราะการปฏิบัติ นับว่าเป็นบุญของฉัน ไม้งั้นป่านนี้อาจกลายเป็นมารศาสนาไปแล้วก็ได้" ท่านพระครูหัวเราะหึหึก่อนจะเล่าต่อไปว่า "อยู่มาวันหนึ่ง สมภารจุ่นวัดบ้านเหนือก็มาขอให้ดูให้" "ดูของหายหรือครับ" "ไม่ใช่ ดูเนื้อคู่" ท่านลงเสียงหนักตรง 'ดูเนื้อคู่' "เนื้อคู่ใครครับ" "ก็เนื้อคู่ท่านน่ะสิ อายุท่านก็ไม่เท่าไหร่ แค่หกสิบสอง อายุหกสิบสองมาให้ดูเนื้อคู่ สมภารนะสมภาร" "แล้วหลวงพ่อดูให้หรือเปล่าครับ" "ฉันก็ว่าจะไม่ดู เพราะเห็นท่านแก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้วยังอยากจะมีคู่ พุทโธ่พุทถังอนิจจังอนิจจา" "แล้วเห็นไหมครับ มีใครมาปรากฏในกระจกไหมครับ" "ไม่มี เพราะเนื้อคู่ท่านยังไม่เกิด ฉันก็บอกท่านว่า 'ท่านสมภาร...เนื้อคู่ท่านยังไม่มาเกิด ยังอยู่ในเมืองนรก' ท่านโกรธใหญ่ หาว่าแกล้ง ที่จริงเป็นอย่างนั้นจริงๆ แหม..ไม่น่ามาโกรธกันเลย" ท่านพูดยิ้มๆ "แล้วตอนนี้สมภารจุ่นยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ" "ยังอยู่ เจ็ดสิบกว่าแล้ว ไม่รู้ยังคิดจะมีคู่อยู่อีกหรือเปล่า เหมือนเธอนั่นแหละ" ประโยคหลังท่านวกมาหาคนฟัง "ไม่เหมือนหรอกครับ ผมเพิ่งยี่สิบหก ยังหนุ่มยังแน่น ถ้าหกสิบสองผมคงเลิกคิดแล้ว" พระบัวเฮียวแย้งก่อนจะพูดอ่อยๆว่า "หลวงพ่อครับ โปรดดูให้ผมสักครั้งเถิดครับ รับรองว่าผมจะไม่กวนใจหลวงพ่ออีกเลย" "สายไปแล้วละบัวเฮียวเอ๋ย อย่ามาอ้อนวอนเสียให้ยาก ถึงฉันจะใจอ่อนแต่ก็ดูให้ไม่ได้ เพราะฉันเลิกมาหลายปีแล้ว" "ทำไมถึงเลิกเสียล่ะครับ" "มันมีสาเหตุน่ะสิ เอาละ..จะเล่าให้ฟัง บอกตามตรงว่าไม่อยากจะเล่าสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าเอาเขามานินทา" "ถ้ามันทำให้หลวงพ่อไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ" พระบัวเฮียวพูดอย่างเกรงใจ "ไม่เป็นไร เธอจะได้หายสงสัย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือนายบุญช่วยเขามาขอให้ฉันดูของหาย" "ของอะไรหายหรือครับ" "ไม่ใช่ของๆเขาหรอก ของคนเขมรที่มาอาศัยบ้านเขาอยู่ ตอนนั้นเขมรแตก ผู้คนก็พากันหนีออกนอกประเทศ ก็หอบทองกันมาคนละหลายๆบาท คนที่มาอาศัยบ้านนายบุญช่วยอยู่นั่นเอาทองมาหนักห้าสิบบาท ทีนี้อยู่ๆ ทองเกิดหายไป พอฉันเสกคาถาเป่าลงไปที่กระจกแปดเหลี่ยม ที่เธอเรียกว่ากระจกวิเศษนั่นแหละ แต่ฉันเรียกว่ากระจกหมอดู ผลปรากฏว่าไงรู้ไหม" "ไม่ทราบครับ" "ปรากฏว่ารูปนายบุญช่วยไปติดอยู่ที่กระจก ฉันก็ยังไม่ให้เขาดู บอกว่าโยมบุญช่วยกลับไปเถอะ อาตมาไม่ดูให้หรอก เดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่าๆ เขาก็ยืนยันว่าอยากดู ที่เขาพูดอย่างนี้เพราะไม่เชื่อว่ากระจกจะแม่น คิดว่าจะเหมือนรายของสมภารจุ่นที่มาดูเนื้อคู่แล้วไม่มีรูปปรากฏ ฉันก็ไม่ยอมให้ดู ที่แท้ฉันรู้แล้ว ภาพนายบุญช่วยก็ยังอยู่ในกระจก เขาก็ไปตามสมภารจุ่นให้มาช่วยพูด ฉันบอกว่าถ้าอยากดูก็ตามใจ เลยเอากระจกให้ดู เธอเอ๋ย..เขาเลยโกรธฉันเสียยกใหญ่ ไม่โกรธอย่างเดียว ยังก่นด่าเสียๆ หายๆ บรรพบุรุษฉันทั้งข้างพ่อข้างมแม่ ถูกนายบุญช่วยขุดขึ้นมาด่าหมด แถมเปลี่ยนหน้าฉันเสียอีก" "เปลี่ยนยังไงครับ" "ก็เปลี่ยนจากหน้าคนเป็นหน้าอวัยวะเพศน่ะสิ ตานี่หยาบคายมาก" ท่านยังจำถ้อยคำหยาบคายของนายบุญช่วยได้ "แล้วหลวงพ่อโกรธไหมครับ" "โกรธหน้าเขียวหน้าเหลืองเชียวละ ฉันก็เลยยกมือขึ้นประนมสาบานต่อหน้าสมภารจุ่น ว่านับแต่นี้ต่อไปฉันจะไม่ดูให้ใครอีก แล้วฉันก็เขวี้ยงกระจกหมอดูลงแม่น้ำเจ้าพระยาไป ทั้งๆที่มีรูปนายบุญช่วยติดอยู่ นี่แหละสาเหตุที่ทำให้ฉันเลิกดู" "แล้วตอนนี้นายบุญช่วยยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ ผมอยากจะไปเตะมันสักสองสามป้าบ ฐานมาด่าครูบาอาจารย์ของผม" พระบัวเฮียวพูดอย่างโกรธเคืองแทนพระอาจารย์ "อย่าไปสนใจเขาเลย ฉันเองก็ไม่ได้ผูกพยาบามอาฆาตพยาเวรอะไรเขาแล้ว มัน..." "เป็นไปตามกฏห่งกรรม" พระบัวเฮียวต่อให้ "ก็จริงๆนี่นา ตอนหลังมีคนบอกว่าเขาไปติดคุกอยู่หลายปีด้วยเรื่องขโมยทองคนเขมรนั่นแหละ" "ตอนที่หลวงพ่อโกรธ หลวงพ่อกำหนด 'โกรธหนอ' หรือเปล่าครับ" "ไม่ได้กำหนด เพราะตอนนั้นยังกำหนดไม่เป็น ยังไม่ได้เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อในป่า เลยโกรธเสียไม่มีดี ถ้าเป็นฆราวาสอยู่ก็เห็นจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เห็นไหม เธอเห็นอานิสงค์ของการบวชหรือยัง ฉันถึงได้ไม่ยอมสึก เพราะไม่งั้นคงต้องตกนรกเพราะฆ่าคนตาย "นายบุญช่วยนี่แย่มากนะครับ เขาอุตส่าห์หนีร้อนมาพึ่งเย็น ไม่น่าไปทำกับเขาอย่างนั้น ใจดำอำมหิตจริงๆ" "อย่าไปว่าเขาเลย เขาก็ชดใช้กรรมที่เขาก่อแล้ว กรรมมันให้ผลทันตาเห็นจริงๆ แหม..นายบุญช่วยนี่สำคัญจริงๆ มาเปลี่ยนหน้าให้ฉันได้" พูดแล้วก็หัวเราะ เรื่องที่เคยสะเทือนใจในอดีต ปัจจุบันกลับกลายเป็นเรื่องน่าขันเสียมากกว่า ช่างไม่มีอะไรคงที่คงทน ไม่มีตัวไม่มีตนให้ยึดให้ถือแม้แต่อย่างเดียว "ถ้าผมจะไปขอเรียนวิชากับหลวงพ่อสุก ท่านจะสอนให้ไหมครับ" พระบัวเฮียวถาม "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วฉันก็ไม่รู้จะไปถามท่านให้ที่ไหน เพราะท่านเข้าเมรุไปแล้ว" "แหมเสียดายจริงๆ ไม่งั้นผมคงมีโอกาสสึกไปนั่งใต้ต้นมะขามแน่เลย เรียนจากหลวงพ่อได้ไหมครับ" "เธอจะเรียนไปทำไม มันไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ ช่วยให้พ้นทุกข์ก็ไม่ได้ ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่สอนให้ใคร แต่ถ้าจะเรียนวิชากรรมฐาน ฉันยินดีสอนให้เพราะเป็นวิชาที่จะทำพ้นทุกข์ได้ เชื่อฉันเถอะ อย่างวิชาทำเสน่ห์ก็เหมือนกัน ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย" "หลวงพี่เรียนด้วยหรือครับ" "เรียนสิ ฉันเรียนวิชาไสยศาสตร์มาหลายวิชา แต่เดี๋ยวนี้ทิ้งหมดแล้ว เหลือแต่วิชากรรมฐานวิชาเดียว ส่วนไสยศาสตร์ทิ้งหมด" "หลวงพ่อคิดยังไงถึงไปเรียนวิชาทำเสน่ห์ล่ะครับ" "อ้าว..ก็อยากให้ผู้หญิงเขารักน่ะสิ ถามได้" "แล้วเขารักไหมครับ" "รักหรือไม่รักก็นับปิ่นโตไม่ไหวแล้วกัน สาวๆแย่งกันมาส่งปิ่นโต วันนึงยี่สิบเถาได้มั้ง จนไม่รู้จะฉันของใคร" "แล้วเดี๋ยวนี้ทำไม่มีสักเถาล่ะครับ" "ก็ฉันไม่ยอมสึกสักที ปิ่นโตก็เลยค่อยๆหายไปทีละเถาสองเถา เพราะคนส่งเขาไปแต่งงานกับคนอื่น ในที่สุดก็ไม่เหลือสักเถาอย่างที่เธอว่านั่นแหละ แหม..คนแถวนี้ไม่ไหว คบไม่ได้" พูดจบท่านก็หัวเราะหึหึ ไม่ทราบว่าขำอะไร ยิ่งเล่าคนเล่าก็ยิ่งนึกสนุก จึงเล่าต่ออีกว่า "พวกคนเฒ่าคนแก่ก็ไม่เบา หนอย...วางแผนจะจับฉันไปเป็นลูกเขย โน่น...บ้านฝั่งโน้น" ท่านชี้ไปยังบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา "วางแผนอย่างไรครับ" คนถามสนใจ "ก็ทำเป็นนิมนต์ไปเที่ยวบ้านน่ะสิ จะให้ไปจีบลูกสาว ไอ้เราก็รู้ทันว่าถ้าไปต้องถูกจับแต่งงานแน่ ก็เลยไม่ยอมไป คนพวกนี้เจ้าเล่ห์อย่าบอกใคร กว่าฉันจะครองตัวอยู่มาจนอายุห้าสิบนี่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเชียวละ ไม่งั้นก็ไม่รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้หรอก" "แล้วหลวงพ่อคิดจะสึกไหมครับนี่" คนเป็นศิษย์แกล้งถาม "จะสึกไปทำไมกันเล่า อยู่มาจนป่านนี้แล้ว" คนตอบๆแบบจริงจัง "มันก็ไม่แน่นะครับ หลวงพ่อก็เพิ่งจะห้าสิบ สมภารจุ่นตั้งหกสิบสองยังคิดจะสึกเลย" "นั่นสมภารจุ่น นี่สมภารเจริญ ไม่เป็นอย่างนั้นแน่ รับรองได้ ถ้าจะสึกก็คงสึกเสียตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว" "ตอนหนุ่มเขาว่าหลวงพ่อรูปหล่อมากจนต้องกินยาลดความหล่อ จริงหรือเปล่าครับ นายจ่อยเขาบอกผม" "อ้อ..เจ้าจ่อยเขาว่าอย่างนั้นหรือ แล้วเธอเชื่อเขาหรือเปล่าล่ะ เชื่อหรือเปล่าหือ" "ยังไม่เชื่อเสียทีเดียว ผมอยากทราบข้อเท็จจริงจากปากหลวงพ่อเองครับ" "เธอจะอยากรู้ไปทำไม ฉันยังไม่เห็นประโยชน์สักนิด" "ผมอยากสึกน่ะครับ" พระบัวเฮียวสารภาพ "เธอจะอยากไปทำไมนะบัวเฮียว ถ้าอยากรับรองว่าไม่ได้สึก" "งั้นผมไม่อยากก็ได้" พระลูกศิษย์หลงกล พระอาจารย์จึงสรุปว่า "หึหึ..ฉันขออนุโมทนาสาธุ การครองเพศบรรพชิตนั้นประเสริฐที่สุดแล้ว เธอจะสึกออกไปสร้างเวรสร้างกรรมทำไม" "โธ่..หลวงพ่อ ก็คนที่เขาหล่อน้อยกว่าผมยังสึกได้นี่นา" พระหนุ่มครวญ "แล้วที่หล่อมากกว่าเธอแต่ไม่สึกล่ะ อย่างน้อยก็มีฉันคนนึงละ" คนเป็นอาจารย์ยั่วลูกศิษย์ "เรื่องของหลวงพ่อ ไม่ใช่เรื่องของผม" พระบัวเฮียวเริ่มงอน "ทำไมถึงอยากสึกนักนะ บัวเฮียว" "เรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องของหลวงพ่อ" เห็นอีกฝ่ายงอน ท่านพระครูจึงพูดเป้นการเป็นงานว่า "เชื่อฉันเถิดนะบัวเฮียว อย่าหาบ่วงมารัดคอเลย ชีวิตแต่งงานนั้นมีแต่ทุกข์" "ก็หลวงพ่อไม่เคยแต่งงานแล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันทุกข์" ลูกศิษย์ย้อน "ก็เธอไม่ใช่ฉัน จะรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่รู้" พระอาจารย์โต้กลับ "ผมยอมแพ้ ไม่เถียงกับหลวงพ่อแล้ว เถียงไปก็ไร้ประโยชน์" พระบัวเฮียวยอมแพ้เอาดื้อๆ "มันไม่ใช่เรื่องแพ้เรื่องชนะหรอกบัวเฮียว เรามาพูดเรื่องจริงกันดีกว่า ขอให้เชื่อฉันสักครั้งว่าชีวิตการครองเรือนนั้นมันทุกข์ จริงอยู่..ถึงฉันจะไม่เคยมีครอบครัว แต่มันก็เฉพาะชาตินี้เท่านั้น ชาติที่แล้วฉันมี ก็อย่างที่เคยเล่าให้เธอฟังนั่นแหละ เธอเดินอยู่บนเส้นทางอันประเสริฐแล้ว จะมาเปลี่ยนเสียทำไมกัน" คำพูดของท่านพระครูทำให้พระบัวเฮียวได้คิด จริงสิ..หมู่นี้ท่านคิดแต่เรื่องลาสิกขา ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่ต้นแล้วว่าครองเพศสมณะไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่เหตุไฉนจิตใจจึงมาปรวนแปรเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้ ความสงสัยประดังขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นความสงสัยในตัวเอง จึงเรียนถามท่านพระครูว่า "หลวงพ่อครับ หมู่นี้ไม่รู้อะไรผมถึงได้คิดแต่เรื่องสึกออกไปมีครอบครัว อยากพบเนื้อคู่ อยากแต่งงาน เจ้าความรู้สึกนี้มันคอยรบกวนผมอยู่เรื่อย มันเป็นเพราะอะไรหรือครับ""มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยน่ะสิ เธอรู้ไม่ใช่หรือว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอกำลังปฏิบัติกรรมฐานซึ่งถือเป็นการทำความดีขั้นสูงสุด เพราะการฝึกอบรมจิตนั้นเป็นยอดของการทำความดี เมื่อทำความดีก็ต้องมีมารมาผจญ มารที่กำลังผจญเธออยู่ขณะนี้คือนิวรณ์" "นิวรณ์ที่หมายถึงสิ่งที่มากีดกั้นขัดขวางไม่ให้เราทำความดี ใช่ไหมครับ" "ถุกแล้ว ฉะนั้นเธอจะต้องมีความเพียร มีจิตใจที่เข้มแข็ง ฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปให้ได้ เพื่อบรรลุความดีสูงสุดอันเป็นจุดหมายที่แท้จริงของชีวิต การที่เธอคิดแต่จะสึกออกไปแต่งงาน ก็เพราะอำนาจของกามฉันทนิวรณ์ ที่มันครอบงำจิตใจของเธออยู่ กามฉันทนิวรณ์ก็คือความพอใจในกาม ความอยากในกามคุณ 5 มีรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส กามคุณ 5 นี้เป็นตัวผลักดันฉุดรั้งให้เธอไปฝักใฝ่อยู่ในฝ่ายอกุศลธรรม ส่วนความสงสัยลังเลต่างๆนั้นเป็นอำนาจของวิจิกิจฉานิวรณ์ ยัง..ยังมีอีกที่เธอจะต้องผจญ ยังมีพยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ และอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์อีกสามตัว นี่เธอยังเจอแค่สองตัวเท่านั้น และถ้าเธอเอาชนะเจ้าสองตัวนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงไอ้สามตัวที่เหลือ" "หลวงพ่อครับ ทำไมเจ้านิวรณ์ทั้งหลายมันถึงได้มารบกวนเฉพาะตอนที่เราปฏิบัติธรรมเล่าครับ แล้วเวลาที่เราไม่ได้ปฏิบัติ มันพากันไปอยู่เสียที่ไหน" "มันก็แนบเนื่องอยู่ในจิตของเรานั่นแหละ ตอนที่เรายังไม่ได้ทำความดีมันก็นอนสบายเฉยอยู่ ต่อเมื่อเราทำความดีนั่นแหละมันถึงจะลุกขึ้นมาอาละวาด เราจึงต้องไล่มันออกไปจากจิตให้หมดสิ้น" "อย่างที่หลวงพ่อพูดเสมอๆใช่ไหมครับ ว่ามารไม่มี บารมีไม่เกิด" "คงงั้นมั้ง" พระบัวเฮียวรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งขึ้น หากก็ยังสงสัยอยู่อีกนิดหน่อย จึงถามท่านพระครูว่า "หลวงพ่อครับ แล้วยาลดความหล่อนี่มันมีจริงหรือเปล่าครับ" "ถ้ามีจริงเธอจะทำไม" "ผมจะขอไปกินบ้างน่ะครับ" พระอุปัชฌาย์พิจารณาคนเป็นศิษย์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะพูดว่า "หน้าตาอย่างนี้ไม่ต้องพึ่งยาลดความหล่อหรอก ไม่ต้องพึ่ง" "โธ่..หลวงพ่อ มาแบบนายจ่อยอีกคนแล้ว" พระบัวเฮียวโวยวายแล้วจึงชี้แจงอย่างน้อยใจในวาสนาว่า "ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือไหนๆผมก็ไม่มีโอกาสได้แต่งงานเหมือนชาวบ้านเขา ก็ทำให้มันขี้เหร่สุดๆไปเลย จะได้ปลงได้ว่าเพราะเราขี้เหร่ถึงไม่มีผู้หญิงมาแต่งงานด้วย เจ้ากามฉันทนิวรณ์มันจะได้ล่าทัพกลับไป ไม่มารบกวนผมอีก" "ไม่ต้องหายาลดความหล่อไปไล่มันให้ยุ่งยากหรอก ถ้าเธอมีสติรู้เท่าทันมันอยู่ตลอดเวลา มันก็ครอบงำเธอไม่ได้ เราต้องใช้ปัจจัยภายใน ไม่ใช่ปัจจัยภายนอก" ท่านพระครูทั้งแนะแนวและแนะนำ "ครับ ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ผมจะกลับไปสู้กับมันเดี๋ยวนี้ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่กรุณาชี้ทางสว่างให้ผม" พระบัวเฮียวก้มลงกราบอาจารย์สามครั้งแล้วลุกออกมา ความอึดอัดขัดข้องพลันมลายหายไป มีความปลาบปลื้มโปร่งใจเข้ามาแทนที่ผู้แต่ง : ดร. สุทัสสา อ่อนค้อม หมวด Book Blog
Create Date : 27 กรกฎาคม 2557
38 comments
Last Update : 27 กรกฎาคม 2557 13:08:15 น.
Counter : 2042 Pageviews.
โดย: moresaw 27 กรกฎาคม 2557 13:12:14 น.
โดย: schnuggy 28 กรกฎาคม 2557 13:39:15 น.
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 28 กรกฎาคม 2557 17:08:33 น.
โดย: mambymam 28 กรกฎาคม 2557 18:49:54 น.
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 30 กรกฎาคม 2557 20:35:00 น.
โดย: pantawan 30 กรกฎาคม 2557 23:52:47 น.
โดย: เนินน้ำ 31 กรกฎาคม 2557 7:25:28 น.
โดย: Modest=Humble (Opey ) 31 กรกฎาคม 2557 7:40:43 น.
โดย: หอมกร 1 สิงหาคม 2557 8:36:44 น.
โดย: AppleWi 1 สิงหาคม 2557 16:51:38 น.
โดย: คิดถึง เสมอ .. IP: 180.180.138.118 2 สิงหาคม 2557 16:51:16 น.
โดย: **mp5** 3 สิงหาคม 2557 8:14:00 น.
โดย: อุ้มสี 4 สิงหาคม 2557 8:08:28 น.
โดย: เนินน้ำ 4 สิงหาคม 2557 9:23:18 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 4 สิงหาคม 2557 17:07:03 น.
โดย: เนินน้ำ 5 สิงหาคม 2557 1:58:11 น.
โดย: ฝากเธอ 5 สิงหาคม 2557 22:36:56 น.
โดย: ฝากเธอ2 5 สิงหาคม 2557 23:09:54 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
พระบัวเฮียวว้าวุ่นเลย
มารไม่มี บารมีไม่เกิด
เวียงแว่นฟ้า Book Blog