สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 49
กว่าท่านพระครูจะออกจากวัดเพื่อไปงานเผาศพ ก็เลยเวลาที่กำหนดไปกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะรัฐมนตรีและคณะเกิดสนใจใคร่รู้ธรรมะ จึงพากันชวนท่านคุย จนนายสมชายต้องมากระซิบเตือน พร้อมทั้งนำรถมาจอดรอที่หน้าบันไดศาลา
"อาตมาต้องขอตัวก่อน เขามาตามแล้ว"
ท่านบอกพวกเขาแล้วลุกออกมาขึ้นรถ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาจึงพากันก้มลงกราบท่านสามครั้งแล้วลุกออกมาเพื่อเตรียมตัวกลับ
"เอาผ้าไตรมาหรือยัง" ท่านถามนายสมชาย "เอามาแล้วครับ" นายสมชายตอบแล้วถามว่า "หลวงพ่อครับ สมมุติว่าผมลืมเอาผ้าไตรมา แล้วมานึกได้ตอนตอนที่จะใกล้จะถึงบ้านงานแล้ว หลวงพ่อจะให้ผมย้อนกลับไปเอาที่วัดไหมครับ"
"คิดเอาเองสิ" "คิดไม่ออกน่ะครับ หลวงพ่อช่วยผมคิดหน่อยสิครับ"
"ฉันคิดน้อยไม่เป็น คิดอะไรต้องคิดมากๆ ฉันถือคติว่า 'คิดมากผิดน้อย แต่ถ้าคิดน้อยมักผิดมาก คนเราจะทำอะไรต้องคิดมากๆ ไว้ก่อนแล้วจึงทำ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง คิดมากในที่นี้คือคิดให้รอบคอบ ไม่ใช่คิดมากจนเป็นโรคประสาท' ท่านรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะโต้แย้ง จึงดักคอไว้ก่ิอน
"แหม หลวงพ่อของผมช่างฉลาดรอบคอบดีเหลือเกิน ผมดีใจที่ได้อยู่ใกล้คนฉลาดอ่างหลวงพ่อ" เขาแกล้งยอ
"ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาด ไม่เหมือนบางคนที่ชอบคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่เรื่อย" "หลวงพ่อว่าผมหรือครับ" "คิดเอาเองซิ"
นายสมชายเลยต้องนั่งคิดไปตลอดทาง จนรถมาจอดที่หน้าร้าน 'เน้ยโภชนา' จึงเลิกคิด
"นิมนต์ครับหลวงพ่อ นิมนต์ข้างในเลย"
นายฮิมเดินเข้ามารับถึงรถ พร้อมนิมนต์ท่านเข้าร้านซึ่งเปิดขายอาหารการกินตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่านพระครูเห็นหน้าเจ้าของร้าน ก็รู้ว่าอีกสามวันเขาจะเสียชีวิตเพราะหมดอายุ ท่านรู้สึกสงสาร แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะชวนเขาไปเข้ากรรมฐาน เขาก็ปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่มีเวลา
เข้าไปนั่งในห้องแล้ว ท่านจึงพูดว่า "เถ้าแก่ อาตมาขอเตือนนะ อยากให้เถ้าแก่พักๆ งานเสียบ้าง มัวยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน นี่อาตมาจะบอกอะไรให้ เถ้าแก่สวดมนต์นะ สวดอิติปิโสทุกเวลาได้ไหม ทำอะไรก็สวดไปด้วย กี่จบก็ไม่ต้องไปนับ ขอให้สวดตลอดเวลาก็แล้วกัน ทำได้ไหม"
"ผมสวดไม่เป็นครับหลงพ่อ"
"ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวอาตมาจะจดให้ สวดไม่เป็นก็อ่านเอา อ่านแล้วก็ท่อง ไม่มากหรอก แค่สามบรรทัดเอง"
พูดจบท่านก็ล้วงมือลงไปในย่าม หยิบกระดาษและปากกาออกมาเขียนบทสวดพระพุทธคุณส่งให้นายฮิม เขารับไปอ่านทีละคำอย่างยากเย็น
"อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกกะวิธู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโํธ ภะคะวา ติ'
อ่านจบเขาก็โอดครวญว่า "อ่านยากจังครับหลงพ่อ"
"ไม่ยากหรอก เถ้าแก่อ่านถูกทุกตัวเลย อ่านซ้ำหลายๆ หนก็จะจำได้เอง เริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลยนะ"
ท่านพระครูแนะ 'ทางสวรรค์' เพราะถ้านายฮิมสวดพุทธคุณอยู่ตลอดเวลา จิตก็อาจเป็นสมาธิได้ เมื่อเขาดับจิตลงในขณะที่จิตผ่องใส สุคติย่อมเป็นที่หมาย ท่านช่วยเขาได้เพียงเท่านี้
"แล้วทำไมไม่เอาศพไปไว้วัดป่ามะม่วงล่ะ แล้วจะเผากันที่วัดไหน" ท่านกลับมาถามเรื่องเจ๊นวลศรี
"แม่แกไม่ตายหรอกครับหลงพ่อ" นายฮิมบอก
"อ้าว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ ก็อาตมากับเจ๊ก็รู้ตรงกันนี่นา ว่าวันที่ 17 เขาจะไปแล้ว"
ท่านพระครูนึกสงสัย แล้วก็เลยนึกย้อนไปถึงคำพูดของนายสมชายเมื่อสามสี่วันก่อนที่ว่า 'ถึงคราวแล้วแต่ไม่ตาย หรือตายทั้งที่ยังไม่ถึงคราว'
"ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับหลงพ่อ" นายฮิมตอบ
ตอนนี้เขาเริ่มนึกไม่เชื่อทั้งท่านพระครูและแม่ยาย ที่ทำเป็นรู้ว่าวันนั้นวันนี้จะตาย ที่แท้ก็เพ้อเจ้อทั้งเพ คนที่เก่งแต่เรื่องการทำมาหากิน แต่เรื่องธรรมะไม่รู้เรื่อง ก็จะคิดเหมือนนายฮิมทั้งนั้น นักปฎิบัติธรรมเท่านั้นจึงจะรู้ว่าทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงแท้มิได้
"แล้วตอนนี้เขายังอยู่ข้างบนหรือเปล่า อาตมาจะขอขึ้นไปเยี่ยมได้ไหม"
"ไปอยู่โรงพยาบาลศิริราชแล้วครับหลงพ่อ ผมเหมารถพาไปตั้งแต่เช้าวันที่ 17 เห็นหมอเขาว่าจะผ่าตัดให้ ไม่รู้อะไรกันนักหนา ทีก่อนนี้ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับสักแห่ง บอกแต่ว่าให้กลับไปตายที่บ้าน บอกผมนะครับ ไม่ได้บอกแม่โดยตรง แต่แม่แกก็รู้ เลยให้พากลับบ้าน แล้วนี่ก็ให้พาไปศิริราชอีก ผมบอกเดี๋ยวหมอเขาก็ไล่ให้พากลับบ้านอีกหรอก แกก็ว่าไม่ไล่หรอกน่า แล้วเขาก็ไม่ไล่จริง เห็นว่าจะผ่าตัดให้วันที่สิบเก้า มันก็แปลกอยู่เหมือนกันนะครับหลงพ่อ นี่ผมก็ต้องมาคุมลูกน้องขายอาหาร ส่วนอาเน้ยกับลูกๆ เขาเฝ้าไข้อยู่ทางโน้น" นายฮิมรายงาน
"เอ...แปลกจริง ทำไมถึงเป็นยังงั้นไปได้ เอาละ..ถ้างั้นอาตมาก็ขอลา จะไเยี่ยมเขาหน่อย อยู่ตึกอะไรล่ะ"
"ตึกอะไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้วละครับ หลงพ่อไปถามที่ประชาสัมพันธ์ก็แล้วกัน จะไปตอนนี้เลยหรือครับ"
"ใข่ ไปเดี๋ยวนี้เลย อาตมาเป็นคนใจร้อน อยากรู้เร็วๆ ว่าทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ งั้นอาตมาลาละนะ"
"ครับ นิมนต์ครับ" นายฮิมเดินไปส่งถึงรถ
นายสมชายยกมือไหว้นายฮิม พร้อมเอ่ยปากลา 'หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า คนดีมีสัมมาคารวะ ต้อง ไปลา มาไหว้' เขานึกในใจ
"เดี๋ยวแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มข้างหน้าหน่อย เติมให้เต็มถังเลย" ท่านพระครูสั่ง "ถ้าเต็มถังมันก็ไม่หน่อยแล้วละครับ หลวงพ่อ" นายสมชายยั่ว "ปลาหมอตายเพราะปาก" ท่านพูดลอยๆ "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง" ศิษย์วัดพูดลอยๆเหมือนกัน
พอเติมน้ำมันเสร็จ เขาก็พูดต่อว่า "หลวงพ่อครับ ตั้งแต่ผมรู้จักหลวงพ่อมา ผมยังไม่เคยเห็นหลวงพ่อพูดอะไรแล้วไม่จริงเลยสักครั้ง เพิ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นเล่าครับ ใครๆ เขาก็ว่าหลวงพ่อปากศักดิ์สิทธิ์ แต่คราวนี้ไหงมาเป็นอื่นเสียได้"
"มันก็แปลกนะสมชาย ฉันเองก็ยังงงอยู่เหมือนกัน" "หรือว่า 'เห็นหนอ' ของหลวงพ่อเป็นอะไรไปแล้ว เสื่อมสมรรถภาพเสียแล้ว" "เป็นไปไม่ได้ มันต้องมีอะไรสักอย่างๆแน่นอน เพียงแต่ฉันยังไม่รู้เท่านั้นว่าอะไร" "โฮีย..หลวงพ่อครับ น้อยๆหน่อย พูดวกวนจนผมเวียนหัวแล้ว อะไรของหลวงพ่อน่ะ มันคืออะไรเล่าครับ" "ก็เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรน่ะสิ ฉันถึงยังไม่มีอะไรมาตอบเธอ" ท่านพระครูตั้งใจยั่ว "แล้วไปโรงพยาบาลจะรู้ไหมครับนี่" "ก็ยังไม่รู้ว่าจะรู้หรือเปล่า เพราะยังไม่รู้อะไร" "อะไรอีกแล้วเนี่ย หลวงพ่อครับ ผมขอซื้อเถอะ" "ซื้ออะไร เธอจะซื้ออะไรหรือ" "ก็ซื้ออะไรนั่นแหละครับ" "ซื้อเท่าไหร่ ซื้อไปทำอะไร" "ซื้อไปเก็บไว้ หลวงพ่อจะขายเท่าไหร่เล่าครับ" "เธอมีเงินเท่าไหร่ล่ะ" "ก็ไม่มากหรอกครับ ดูเหมือนจะไม่ถึงร้อยล้าน" "หัวล้านน่ะไม่ว่า" "ไม่ล้านหรอกครับ ผมคนผมดก ตระกูลผมประเภทผมดกปรกไหล่ทั้งนั้น" "ก็คอยดูไปแล้วกัน อีกไม่นานก็รู้" "ครับ แล้วผมจะคอยดู อาจจะพลิกล้อคเหมือนรายป้านวลศรีก็ได้" "เอาละนะ เลิกพูดกันได้แล้วนะ ฉันจะนั่งหลับตาละ"
แล้วท่านก็หยุดพูด เพราะต้องการจะแผ่เมตตาให้พวกสัมภเวสี ที่คอยรอส่วนบุญอยู่ข้างถนนหนทาง เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าท่านจะมา
ถึงโรงพยาบาลศิริราช นายสมชายลงไปถามที่ประชาสมพันธ์ก่อน แล้วจึงเดินกลับมานิมนต์ท่านพระครู ที่นั่งรออยู่ในรถ
"แม่ ท่านพระครูมาเยี่ยม" นางเน้ยปลุกมารดาซึ่งกำลังนอนหลับอยู่เพราะความอ่อนเพลีย
"ไม่ต้องปลุกหรอกโยม ปล่อยให้เขาพักผ่อนตมสบายเถอะ" ท่านพระครูห้าม
แม้จะรู้สึกอ่อนเพลียและเจ็บแผล แต่เจ๊นวลศรีก็ประคองสติไว้ได้ นางลืมตาแล้วไหว้ท่านพระครู
"หลวงพ่อ เป็นพระคุณเหลือเกินที่อุตส่าห์มาเยี่ยมฉัน เน้ย...ช่วยหมุนเตียงขึ้นให้หน่อย" นางสั่งบุตรสาว เพราะรู้สึกเจ็บแผลจนไม่อาจลุกขึ้นนั่งได้ "เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงล่ะเจ๊ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม อาตมาอยากรู้"
คนเจ็บเล่าเสียงดังฟังชัดว่า "เรื่องมันแปลกมากจ้ะหลวงพ่อ ฉันเองยังนึกว่าฝันไป คือเมื่อตอนเย็นวันที่ 16 มีคนมาเยี่ยมไข้ เขาเป็นมรรคทายกวัดข้างบ้านฉัน คุยกันไปคุยกันมาเขาก็เล่าให้ฟัง ว่าหาเงินสร้างโบสถ์ให้วัดในหมู่บ้านเสร็จแล้ว ยังขาดแต่ช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์ ฉันก็เกิดศรัทธาอยากทำบุญ เลยขอทำบุญกับเขาไปสองหมื่น ฉันดีใจมากที่กำลังจะตายอยู่แล้ว ก็ยังมีโอกาสได้ทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย
คืนนั้นฉันก็นอนกำหนด 'พองหนอ หยุบหนอ' เช่นทุกครั้ง แต่แปลกที่ว่ามันรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจนลืมความเจ็บปวดทางกาย ฉันก็นอนทำกรรมฐานไปเรื่อยๆ พอจิตเป็นสมาธิก็เกิดนิมิต บอกว่า 'พรุ่งนี้จะยังไม่ตาย ให้ไปโรงพยาบาลศิริราช หมอเขาจะผ่าตัดให้' หลังจากนั้นฉันก็หลับสบายเลยจ้ะ พอตีสี่สิบนาที ซึ่งเป็นเวลาที่ฉันจะต้องตาย ฉันก็คื่น รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามาก ก็รู้ว่าไม่ตายแน่ ลูกหลานเขาก็มาเฝ้าจะคอยดูใจ พอเห็นฉันไม่ตายก็ดีใจกันใหญ่ ฉันจึงให้นายฮิมไปว่าจ้างรถพาฉันไปโรงพยาบาลศิริราช พอถึงโรงพยาบาล หมอเขาก็ตรวจอีกครั้งแล้วบอกว่าตกลงจะผ่าดัดให้"
"เจ๊ผ่าคัดเมื่อวานใช่ไหม เห็นนายฮิมเขาบอก"
"จ้ะ นี่ถ้าไม่ได้เรียนฝึกสติจากหลวงพ่อ ป่านนี้คงนอนสลบไหลไม่รู้ตัว เพราะมันมึนมากเลยจ้ะหลวงพ่อ เจ็บแผลก็เจ็บ ฉันก็นอนกำหนด 'เจ็บหนอ เจ็บหนอ' ก็คลายความเจ็บปวดไปได้มาก ฉันเห็นประโยชน์ของกรรมฐานก็ตอนเจ็บป่วยนี่แหละจ้ะ ต้องขอบพระคุณหลวงพ่อที่เมตตาสอนให้"
"ไม่ต้องขอบใจอาตมาหรอกเจ๊ เป็นเพราะเจ๊เองนั่นแหละ เพราะคนที่เขาไม่เอากรรมฐานก็มีถมไป" ท่านนึกไปถึงนายฮิม
"แหม..หลวงพ่อหลอกให้พวกหนูตัดชุดกงเต็กเก้อ ที่แท้อาม่าก็ไม่ตายสักหน่อย" นางสาวกิมเจ็งต่อว่าต่อขาน
"ไม่เป็นไรหรอกหนู ไม่เก้อหรอก อีกสามวันก็ได้ใช้" ท่านบอก เพราะอีกสาวันนายฮิมจะต้องตาย และคราวนี้จะไม่ฟลุ๊กเหมือนเจ๊นวลศรี เพราะนายฮิมไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน
"ใช้งานใครคะหลวงพ่อ ใครจะตาย" "เอาเถอะ อย่าเพิ่งถาม หลวงพ่อว่าได้ใช้ก็ต้องได้ใช้" "หลวงพ่อจ๊ะ ที่ฉันไม่ตายนี่ก็เพราะอานิสงส์ของบุญใช่ไหมจ๊ะ" คนเจ็บถามเสียงใส
"ถูกแล้วเจ๊ บุญที่ว่นี่ถ้าจะจัดเป็นกรรม ก็ต้องเรียกว่าเป็นอุปฆาตกรรม หรือกรรมตัดรอน กรรมชนิดนี้มันจะพลิกแผ่นดินเชียวละ คือถ้าดีก็จะดีสุดยอดไปเลย แต่ถ้าชั่วก็จะชั่วสุดยอดเหมือนกัน อุปฆตกรรมมีกำลังแรงมาก มันเปลี่ยนความตายให้เป็นไม่ตายได้ พูดง่ายๆก็คือพอบุญเก่าของเจ๊หมด บุญใหม่ก็มาให้ผลทันตา บุญใหม่ก็คือการที่เจ๊ทำบุญสร้างโบสถ์กับมรรคทายกคนนั้น เจ๊เกิดปิติมากที่มีโอกาสได้ทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย บุญนั้นให้ผลทันตาเห็น เลยไม่ต้องตาย ทั้งๆที่จะต้องแน่ๆ เรื่องอย่างนี้ก็เคยมีนะ ในสมัยพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้นแล้ว อยากฟังไหมล่ะ"
"อยากค่ะ" นางเน้ยและลูกๆตอบพร้อมกัน นายสมชายก็กำลังตั้งใจฟัง
"ในสมัยพุทธกาล มีสามเณรองค์หนึ่ง เป็นลูกศิษย์ของพระสารีบุตร บวชตั้งแต่เจ็ดขวบ ชื่อสุข ใครๆ เรียกท่านสุขว่าสุขสามเณร เมื่อสุขสามเณรอายุจวนจะครบเก้าขวบ พระสารีบุตรก็รู้ว่าลูกศิษย์ของท่านจะต้องเสียชีวิตเพราะบุญหมด ท่านจึงบอกสุขสามเณรให้ทราบ พร้อมแนะนำให้ไปลาพ่อแม่ ซึ่งอยู่อีกตำบลหนึ่ง
สุขสามเณรจึงลาพระสารีบุตร แล้วเดินทางไปหาบิดามารดาเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบว่านจะตายเมื่ออายุครบเก้าขวบ ขณะที่ท่านเดินทางไป ท่านผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่งซึ่งน้ำกำลังแห้ง พวกปู ปลา เต่า กำลังกระเสือกกระสนอยู่ในเลน จะตายมิตายแหล่ สุขสามเณรรู้สึกสงสาร จึงเก็บเอามาใส่จีวรห่อเอาไปปล่อยในหนองน้ำใหญ่ แล้วจึงสรงน้ำ ซักจีวรในหนองน้ำนั้น เสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปจนถึงบ้าน ล่ำลาบิดามารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงเดินทางกลับมาอยู่กับอาจารย์
ครั้นถึงวันที่จะต้องตายกลับไม่ตาย พระสารีบุตรเกิดความสงสัยจึงสอบถามดู ก็ได้รู้ว่าอานิสงส์ที่ได้ช่วยสัตว์เหล่านั้นให้รอดพ้นจากความตายนั่นเอง ที่มาช่วยต่ออายุลูกศิษย์ให้ยืนยาวต่อไปอีก สุขสามเณรอยู่กับพระสารีบุตรจนอายุครบบวข ในคัมภีร์กล่าวว่าท่านบรรลุอรหัตตผลตั้งแต่อายุได้แปดขวบ"
"สาธุ" คนเจ็บจบมือขึ้น 'สาธุ' เมื่อท่านพระครูเล่าจบ
"โยมเห็นหรือยังว่าบุญกรรมนั้นมีจริง คนที่ทำบุญไว้มากๆ พอถึงคราวคับขันบุญก็ช่วยได้ อาตมาถึงอยากให้คนเราเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ แต่ก็นั่นแหละ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขา คนที่มีกรรมชั่วติดตัวมาเกินหกสิบเปอร์เซ็นต์ อาตมาก็ไม่สามารถทำให้เขาเชื่อได้ อย่างเช่นเมื่อสี่ห้าวันก่อน มีนายทหารคนหนึ่งมาหาอาตมา อาตมาก็เห็นกฏแห่งกรรมของเขา ว่าเขาจะเสียชีวิตในวันนั้น เลยบอกเขาว่าผู้พันนอนวัดเถอะ อาตมาจะสอนกรรมฐานให้ เขาบอกว่าเขานอนไม่ได้หรอก เขาห่วงบ้าน อาตมาก็รู้แล้วว่าเขาเพิ่งได้เด็กคราวลูกมาเป็นเมียลับๆ เขาห่วงเด็กคนนี้ เมื่อเขาไม่เชื่ออาตมาก็เลยต้องบอกเขาไปตรงๆ ว่าถ้าท่านออกไปท่านจะต้องประสบอุบัติเหตุ ขอให้เชื่ออาตมาเถิด แต่เขาไม่เชื่อ เพราะจิตใจไปผูกอยู่กับเมียเด็กเสียแล้ว ในที่สุดก็ขับรถออกจากวัดไป พอถึงอ่างทองก็ไปเจอกับรถบรรทุก ตายคาที่เลย"
"แสดงว่ากรรมหนักมากใช่ไหมคะหลวงพ่อ" นางเน้ยถาม "ถ้าไม่หนักเขาก็ต้องเชื่อที่อาตมาบอกแล้วสิ" "ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ" นางสาวกิมเจ็งถาม
"กำลังปีนต้นงิ้วอยู่ในนรกโน่น ใครไม่เชื่อว่านรกมีจริงก็ทำชั่วให้มากๆ เข้านะหนูนะ" ท่านหันไปพูดกับนางสาวกิมฮวย ซึ่งนังฟังอย่างเดียว ไม่ยอมพูดจา
"แต่หนูเชื่อค่ะหลวงพ่อ หนูเชื่อเหมือนที่อาม่าเชื่อค่ะหลวงพ่อ แต่เตี่ยกับแม่เขาไม่ค่อยเชื่อ รวมทั้งพี่กิมเจ็งด้วย"
"ก็เธอมันคนหัวโบราณนี่ยะ คนสมัยใหม่เขาไม่เชื่อกันหรอก ฉันคนสมัยใหม่ย่ะ" นางสาวกิมเจ็งว่าน้องสาว
"จริงหนู คนสมัยใหม่เขาไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ อย่างที่หนูว่านั่นแหละ แต่หนูเชื่อไหมว่าคนที่ตายไปตกนรกมากที่สุด คือพวกคนสมัยใหม่ทั้งนั้น ไม่เชื่อหนูลองไปดูก็ได้"
ท่านพระครูบอกหลานสาวของเจ๊นวลศรี
ผู้ประพันธ์ : ดร. สุทัสสา อ่อนค้อม หมวดหนังสือ
Create Date : 29 สิงหาคม 2559 |
Last Update : 29 สิงหาคม 2559 13:41:09 น. |
|
40 comments
|
Counter : 941 Pageviews. |
|
|
|
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
------------------------
โหวตก่อน อ่านทีหลัง อิอิ
กะแวะมาขอบคุณสำหรับโหวตบล็อกที่แล้ว
ดีใจ ได้เจอคุณเวียงแว่นฟ้าอัพบล็อกใหม่พอดี
เดี๋ยวว่าง ๆ มาอ่านนะคะ
ฟ้าใสอัพบล็อกใหม่เช้านี้เหมือนกันค่ะ