1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
3 กรกฏาคม 2557
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 15
สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 15
"หลวงพ่อครับ ผมมีข้อข้องใจหลายอย่าง อยากจะเรียนถามแต่ก็เกรงว่าหลวงพ่อจะไม่ตอบ เพราะมันไม่เกี่ยวกับปฏิบัติ ครั้นจะเก็บเอาไว้มันก็ข้องใจอยู่นั่นแล้ว หลวงพ่อว่าผมควรทำอย่างไรดีครับ" เป็นคำถามที่ค้อนข้างยาวของพระบัวเฮียวในเช้าวันนี้ "เอาอย่างนี้ซิ เธอตอบฉันมาก่อนว่าเธอจะถึงกับท้องแตกตายหรือเปล่า ถ้าฉันไม่ตอบน่ะ" ท่านพระครูเปิดฉากกระแนะกระแหน พระบัวเฮียวใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง ลองท่านตอบแบบนี้ แสดงว่ากำลังอารมณ์ดี ก็เลยตอบไปว่า "ก็ไม่แน่นะครับหลวงพ่อ ถ้าเก็บไว้นานๆก็อาจจะต้องตายในลักษณะนั้น หลวงพ่อคงไม่อยากเห็นใช่ไหมครับ มันคงอุจาดตาน่าดูเชียวละ ผมเองก็ไม่อยากตายตั้งแต่อายุยังน้อย อีกอย่างนึง..หลวงพ่อก็เป็นคนมีเมตตากรุณา ใครๆ ก็รู้ นึกว่าสงสารลูกนกลูกกา ช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยเถิดครับ แล้วผมจะไม่ลืมพระคุณของหลวงพ่อเลย" พระบัวเฮียวร่ายยาวจนท่านพระครูคร้านจะฟัง จึงออกปากอนุญาต "เอาเถอะๆ ไม่ต้องยกแม่น้ำทั้งห้า เธออยากให้ฉันตอบเรื่องอะไรก็ถามมา ถ้าตอบได้ก็จะตอบ ตอบไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ว่าไง...จะถามอะไรก็ถาม" "แหม...หลวงพ่อก็น่าจะรู้ว่าผมจะถามอะไร ทุกทีก็เห็นหลวงพ่อรู้ คราวนี้ทำไมเกิดไม่รู้เสียล่ะครับ" พระบัวเฮียวไม่วายกระเซ้า "ฉันจะรู้ก็ต่อเมื่ออยากรู้ แต่นี่ไม่อยากรู้ก็เลยไม่รู้ อย่ามัวพูดมาก ประเดี๋ยวฉันก็ไม่เปิดโอกาสให้ถามเสียหรอก" ท่านสมภารวัดป่ามะม่วงถือโอกาสเล่นตัว "ครับๆ ถามๆ " พระบัวเฮียวละล่ำละลัก ด้วยเกรงว่าท่านจะเปลี่ยนใจไม่อนุญาต "คือว่านายจ่อยเขามาเล่าให้ผมฟังเรื่องความประพฤติของพระ เขาว่าพระที่วัดแถวบ้านเขาทำตัวไม่เหมาะสม เป็นต้นว่าเสพสุรายาเมาบ้าง เสพเมถุนบ้าง บงการฆ่าคนบ้าง อย่างนี้มันก็ต้องอาบัติปาราชิกน่ะสิครับ พระแบบนี้มีอยู่จริงหรือครับหลวงพ่อ นายจ่อยคงไม่ได้พูดปดหรอกนะครับ" "ยิ่งกว่านั้นยังมีเลย บัวเฮียวเอ๊ย" "แล้วไม่ต้องอาบัติปาราชิกหรือครับ" พระบัวเฮียวถามซ้ำ "มันจะไปอาบ่งอาบัติอะไร ในเมื่อคนพวกนี้ไม่ใช่พระ แต่เป็นพวกมารศาสนา" "พวกที่ทำให้ศาสนาเสื่อมใช่ไหมครับ""ศาสนาน่ะไม่เสื่อมหรอก แต่คนเสื่อมจากศาสนา คือคนบางกลุ่มบางพวก เมื่อเห็นพระทำตัวไม่ดีก็ไปโทษว่าศาสนาเสื่อม นี่คนด้อยปัญญาจะคิดแบบนี้ เพราะขาดโยนิโสมนสิการ" ขาดอะไรนะครับ" พระบัวเฮียวรู้สึกไม่คุ้นหูกับ 'ศัพท์ใหม่' ที่ท่านพระครูใช้ "ขาดโยนิโสมนสิการ คือไม่รู้จักคิด ไม่มองสิ่งทั้งหลายด้วยปัญญา เลยทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ โยนิโสมนสิการมีความสำคัญมาก เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นต้นทางของความดีทั้งปวง คนที่มีโยนิโสมนสิการจะแยกแยะได้ว่าใครเป็นพระ ใครเป็นมารศาสนา ดังนั้นถึงเขาจะเห็นพระทำตัวไม่ดี เขาก็จะไม่เสื่อมจากศาสนา เพราะเขารู้ว่านั่นคือมาร ไม่ใช่พระ" "หมายความว่าคนที่ขาดโยนิโสมนสิการเป็นคนโง่ใช่ไหมครับ" "จะว่าโง่ก็ไม่เชิง เพราะคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีการศึกษาสูง เป็นครูบาอาจารย์ เป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เรียกว่าเป็นคนมีปัญญา แต่เป็นปัญญาทางโลก เธอคอยดูไปแล้วกัน อีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้า พวกมารศาสนาจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนฉลาดบางพวกก็จะไปฝักใฝ่กับพวกนี้ ประชาชนทั้งหลายก็จะเกิดความสับสนทางความคิด ไม่รู้แน่ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก เพราะนอกจากจะประพฤติวิปริตผิดวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว มารศาสนาพวกนี้ยังพยายามจ้วงจาบบิดเบือนพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย คนก็จะพากันเสื่อมจากศาสนา นับว่าเป็นเรื่องอันตรายมาก" "แล้วเราจะแก้ไขได้อย่างไรครับ" "อะไรนะ เธอพูดว่า 'เรา' งั้นหรือ เราแก้ไขไม่ได้หรอกบัวเฮียว อย่าว่าแต่เราซึ่งเป็นเพียงน้ำหยดเดียวในมหาสมุทรเลย คนที่เขามีอำนาจวาสนา มีบารมีมากกว่าเราหลายร้อยหลายพันเท่า ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ มันต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม" ท่านพระครูพูดแบบปลงๆ "หลวงพ่อครับ ผมชักงงๆ แล้วนะครับ" "งงเรื่องอะไรอีกล่ะ รู้สึกจะงงบ่อยเหลือเกินนะ" "ก็เรื่องกรรมน่ะครับ ประเดี๋ยวหลวงพ่อก็สอนว่าไม่ควรปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามกรรม อีกประเดีํยวก็บอกว่าปล่อยให้เป็นปไตามกรรม จะไม่ให้ผมงงยังไงไหว" พระหนุ่มชี้แจง "ไม่เห็นจะต้องงงเลย ฉันเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าเรื่องของกรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน ยากที่คนธรรมดาจะรู้จะเข้าใจได้ มันเป็นอจินไตย" "อะไรไตยนะครับ" พระบัวเฮียวต้องงงมากขึ้น "อจินไตย เธอไม่เคยได้ยินหรอกหรือ ฉันจำได้ว่าเคยอธิบายให้เธอฟังมาครั้งหนึ่งแล้ว เอ...ก็เป็นคนช่างจำ ไหงลืมซะล่ะ" ท่านตำหนิกลายๆ "ครับ แต่ก่อนผมช่างจำ แต่เมื่อมาเจออะไรๆ ทีทำให้งงอยู่เรื่อยๆ ความจำมันก็เลยเสื่อม หลวงพ่อกรุณาขยายความให้ฟังอีกสักครั้งเถิดครับ" ท่านพระครูมองไปที่ตู้พระคัมภีร์ "ฟังอย่างเดียวมันจำยาก ต้องให้เห็นด้วย นั่นไง..อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 21 นั่น ไปเปิดดูเสีย" พระใหม่ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้พระคัมภีร์ หาอยู่นานกว่าจะได้เล่มที่ต้องการ ได้แล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม "อยู่หน้าอะไรครับหลวงพ่อ" ถามเพราะใช้ไม่เป็น "หน้าโง่มั้ง" ท่านพระครูตอบหน้าตาเฉย "โธ่ หลวงพ่อก็ ถามดีๆ ทำไมต้องด่ากันด้วย" "ใครว่าด่า คนดีๆ อย่างเธอใครเขาจะด่า" "แหม.หลวงพ่อนี่เข้าใจ ใช้ได้ ใช้ได้" พระหนุ่มพูดพลางพยักหน้าหงึกๆ "เข้าใจอะไร" คราวนี้ท่านพระครูเป็นฝ่ายงงบ้าง "ก็เข้าใจว่าตบหัวแล้วลูบหลังน่ะสิครับ มีอย่างที่ไหนด่าว่าผมโง่อยู่หยกๆ ก็มาชมว่าผมดีอีกแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลัง จะให้เรียกว่าอะไร" "โง่แต่ดีกับฉลาดแต่เลว เธอจะเลือกอย่างไหนล่ะ" "เอาดีด้วยฉลาดด้วยครับ" ตอบอย่างหนักแน่น "อันนั้นมันไม่ได้อยู่ในเงื่อนไข ฉันให้เธอเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่าง ว่าไง จะเอาอย่างไหน" "งั้นเอาโง่แต่ดีก็แล้วกันครับ ผมไม่อยากฉลาดแล้วตกนรก แล้วหลวงพ่อเล่าครับ จะเลือกอย่างไหน" คราวนี้พระหนุ่มถามบ้าง "สำหรับฉัน ไม่ว่าจะเลือกอย่างไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่าง เพราะฉันอยู่นอกเงื่อนไขที่ว่านี้" "แปลว่าหลวงพ่อหลุดพ้นแล้วใช่ไหมครับ พ้นจากนรกสวรรค์ พ้นจากความดีความชั่ว" พระบัวเฮียวถือโอกาสสรุป "ไหนเธอจะดูเรื่องอจินไตยไม่ใช่หรือ ดูที่สารบัญเรื่องอจินติสูตรก่อนว่าอยู่หน้าที่เท่าไหร่ แล้วช่วยอ่านให้ฉันฟังด้วย" ท่านพระครูตัดบท ด้วยไม่ต้องการ 'อวดอุตริมนุสสธรรม' เพราะการกระทำเช่นนั้นจะต้องอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง คือถ้าอวดอุตริมนุสสธรรมที่มีในตนก็จะต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนก็จะต้องอาบัติปาราชิก ท่านจึงหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องเช่นนี้ ด้วยมันเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง พระบัวเฮียวไม่ต่อล้อต่อเถึยง ตั้งหน้าตั้งตาหา 'อจินติสูตร' จากสารบัญ พบแล้วจึงเปิดไปที่หน้านั้นแล้วอ่านให้ท่านพระครูฟัง ....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตยสี่ประการนี้ อันบุคคลไม่ควร เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า ความเดือดร้อน อจินไตยสี่ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 1 ฌาณวิสัยของผู้ได้ญาน 1 วิบากแห่งกรรม 1 ความคิดเรื่องโลก 1 อจินไตยสี่ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความบ้า ความเดือดร้อน... "ไงยังสงสัยเรื่องกรรมอยู่อีกหรือเปล่า" ท่านพระครูถามเมื่อพระบัวเฮียวอ่านจบ "ไม่สงสัยแล้วครับ ไม่อยากคิดด้วย กลัวเป็นบ้า กลัวเดือดร้อนครับ" พระหนุ่มตอบจริงจัง "ดีแล้ว คิดยังงั้นได้ก็ดี จะได้สบายใจ แต่เธอเชื่อเถอะ ใครทำกรรมไว้อย่างไรก็ต้องได้รับผลอย่างนั้น เราไม่ต้องไปวิเคราะห์วิจัยแต่ประการใด พวกมารศาสนาเหล่านี้ ในที่สุดก็ต้องรับกรรมที่ตนกระทำ กรรมมันมีผล มีวิบาก ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม" "หลวงพ่อครับ ผมสงสัยอีกนิด ทำไมในคัมภีร์เขาถึงกล่าวว่า 'พระพุทธเจ้าทั้งหลาย' พระพุทธเจ้าไม่ได้มีองค์เดียวหรือครับ" คนช่างสงสัยถามอีก "มีหลายพระองค์ ในกัปป์หนึ่งๆ ก็จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ อย่างกัปป์ที่เราอยู่นี้เรียกว่า 'ภัทรกัปป์' มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติห้าพระองค์ พระพุทธเจ้าของเราเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่"" ท่านพระครูอธิบาย "แล้วอีกสี่พระองค์มีพระนามว่าอะไรบ้างครับ" "เรื่องนี้ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ คือมันเป็นเรื่องเหลือวิสัยที่ฉันจะรู้ได้ แต่เท่าที่ฉันรู้ พระนามของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในภัทรกัปป์ก็มี พระกกุสันโท พระโกนาคมน์ พระกัสสป พระสมณโคดม ส่วนองค์สุดท้ายคือพระศรีอาริยเมตไตรย" "ที่เรียกว่าพระศรีอาริย์ใช่ไหมครับ" "นั่นแหละ ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเขาเชื่อว่า พระพุทธศาสนาคือศาสนาของพระสมณโคดมนั้นจะมีอายุห้าพันปี ต่อจากนั้นก็จะเป็นศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย นี่เราก็ผ่านเข้ามาถึง 2516 ปีแล้ว เหลืออีกสองพันสี่ร้อยกว่าปีก็สิ้นอายุ กล่าวกันว่ายิ่งใกล้จะถึงห้าพันปี คนก็ยิ่งเสื่อมจากศาสนาลงไปเรื่อยๆ และพวกมารศาสนาก็จะยิ่งทวีจำนวนมากขึ้น" "หลวงพ่อครับ ระยะเวลา 1 กัปป์ นานแค่ไหนครับ" "เขาว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ท่านอุปมาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาหินล้วน กว้างยาวสูงด้านละหนึ่งโยชน์ ทุกๆหนึ่งร้อยปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป แต่กัปป์หนึ่งก็ยังยาวนานกว่านั้นอีก" "ช่างยาวนานเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดเลยนะครับ ถ้าอย่างนั้น การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ก็น่าเบื่อแย่สิครับ" "นั่นสิ ฉันถึงได้พยายามที่จะตัดออกจากวัฎสงสารให้ได้ ถึงเธอเองก็เหมือนกัน" "วัฎสงสารนี่มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะไปสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ครับ" "ไม่ีมีใครรู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันก็ไม่มีวันที่จะสิ้นสุดลงได้ ตราบใดที่สัตว์โลกยังทำกรรมกันอยู่" "แต่ถ้าสัตว์โลกหยุดทำกรรมเมื่อนั้นมันก็จะสิ้นสุดลง ใช่หรือเปล่าครับ" "มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ในทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่สัตว์โลกจหยุดทำกรรม อิมพอสซิเบิ้ล" คราวนี้ท่านพระครูใช้ภาษาอังกฤษ "ฮั่นแน่ หลวงพ่อพูดภาษาปะกิตก็เป็นด้วย" พระลูกวัดล้อเลียน "พระจ้างฆ่าคนนี่ตกนรกไหมครับ แล้วทำไมท่านถึงต้องทำอย่างนั้น" "เธอว่าตกหรือเปล่าล่ะ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น" "ก็ท่านไม่ได้ลงมือฆ่าเอง ก็ไม่น่าจะบาปนี่ครับ" "ทำไมจะไม่บาป ถึงจะไม่ได้ลงมือเอง แต่วจีกรรมและมโนกรรมก็เป็นของท่าน แม้กายกรรมจะเป็นของคนอื่นก็ตาม กรณีที่ว่านี้ ถ้าเขาสืบสวนได้ความว่าผิดจริง ก็ต้องถูกให้สึก เพราะเป็นอาบัติปาราชิก มันก็น่าสลดใจนะ อุตส่าห์เข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ แต่ก็เอาตัวเองไปลงนรกจนได้ กรณีรองเจ้าคณะจังหวัดจ้างฆ่าเจ้าคณะจังหวัดก็เหมือนกัน ขนาดเป็นครูบาอาจารย์ของตัวยังทำได้ลงคอ" ""ทำไมถึงต้องฆ่าเล่าครับ" "ก็หวังตำแหน่งน่ะสิ อาจารย์ไม่ตายซักที ลูกศิษย์อยากจะเป็นเจ้าคณะจังหวัดก็เลยจ้างฆ่าเสียเลย ฉันยังไปงานเผาศพท่านเพราะคุ้นเคยกันมาก่อน เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้หรอกหรือ ดังทั่วประเทศเชียวละ น่าสลดใจเหลือเกิน" "แล้วรองเจ้าคณะจังหวัดถูกจับหรือเปล่าครับ" "ก็เพราะถูกจับน่ะสิ เรื่องถึงแดงขึ้นมา ไม่น่าทำเลย เพราะลาภสักการะเป็นเหตูแท้ๆ เป็นพระเป็นเจ้ามาหลงติดกับลาภสักการะก็เจ๊งทุกราย" คราวนี้ท่านใช้ภาษาจีน "หลวงพ่อเก่งจังนะครับ พูดได้หลายภาษา จีนก็ได้ ปะกิตก็ได้" พระบัวเฮียวออกปากชม "ก็ฉันทำกรรมมาดี" ท่านพระครูถือโอกาสคุยทับ "กรรมที่ทำให้เก่งเป็นอย่างไรครับ ผมอยากเก่งบ้าง" "อยากรู้ก็ไปอ่านจูฬกัมมวิภังตสูตร เอาเอง ที่สุภมาณพโตเหยยบุตร ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมคนเราถึงเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนโง่ บางคนฉลาด บางคนรวย บางคนจน พระพุทธเจ้าท่านบรรยายไว้ละเอียดมาก มีโอกาสก็ไปอ่านเสีย อยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฏกเล่มที่สิบสี่ อ่านล้วจะได้เลือกทำแต่กรรมดี ฉันเองยังเสียดาย ตอนเด็กๆเกเรชะมัด สร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มาก นี่ก็ทยอยใช้ไปเรื่อยๆ จะพยายามชดใช้เสียให้หมดไปในชาตินี้" "แปลว่าหลวงพ่อจะไม่เกิดอีกแล้วใช่ไหมครับ" "ด้วยใจจริงแล้วฉันไม่ปรารถนาจเะเกิดอีกเลยแม้แต่ชาติเดียว แต่มันก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย ถ้ายังใช้กรรมไม่หมดก็ต้องเกิดอีก ไม่ว่าจะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็ตาม" "แล้วตอนนี้หลวงพ่อใช้จวนหมดหรือยังครับ" พระหนุ่มพยายามตะล่อมถาม "หมดหรือไม่หมด มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่ามาเซ้าซี้ถามอยู่เลย ฉันไม่หลงกลเธอง่ายๆ หรอก" คนเป็นศิษย์ทำหน้าปั้นยากเมื่อพระอาจารย์รู้ทัน แต่ก็ยังถามอีกว่า "หลวงพ่อครับ ผมยังสงสัยเรื่องที่หลวงพ่อเล่ามา" "เรื่องอะไรอีกล่ะ" คนถูกถามชักรำคาญ "ก็เรื่องที่รองเจ้าคณะจังหวัดจ้างฆ่าเจ้าคณะจังหวัด เพราะหวังจะครองตำแหน่งแทนน่ะครับ ผมว่าไม่น่าจะบาปมากมายอะไร เพราะท่านไม่ได้ลงมือฆ่าเอง" พระใหม่ไม่วายสงกา "ช่างสงสัยจังนะ เอาละ..ฉันจะอธิบายให้ฟัง การฆ่านั้นจะบาปมากน้อยแค่ไหน ต้องดูว่ามันครบองค์ห้าหรือเปล่า ถ้าครบก็บาปมาก ถ้าไม่ครบก็บาปน้อยลดหลั่นกันลงไป องค์ห้านั้นได้แก่ สัตว์มีชีวิตหนึ่ง รู้ว่าสัตว์มีชีวิตหนึ่ง มีจิตคิดจะฆ่าหนึ่ง ใช้ความพยายามในการฆ่าหนึ่ง สัตว์ตายเพราะความพยายามนั้นหนึ่ง ฉันจะเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง แล้วเธอวิเคราะห์เอาเองก็ล้วกันว่าครบองค์ห้าหรือเปล่า เรื่องนี้เขาเล่าสืบกันมา เขาว่าเป็นเรื่องจริงด้วย" "แล้วหลวงพ่อว่าหรือเปล่าครับ" "ว่าอะไร" "ก็ว่าเป็นเรื่องจริงน่ะสิครับ ผมไม่เคยได้ยินว่า 'หลวงพ่อว่า' สักครั้ง มีแต่ 'เขาว่า เขาว่า' อยากให้หลวงพ่อว่าบ้าง" พระญวน 'ยวน' "พูดอย่างนี้แปลว่าไม่ฟังใช่ไหม ก็ดี ฉันจะได้ไม่เล่า" ท่านพระครูถือโอกาสเล่นตัว "ฟังสิครับ นิมนต์เล่าเถิดครับ" พร้อมกับยกมือขึ้นประนม "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...." ท่านพระครูเริ่มเล่า "นานแค่ไหนครับ" ผู้ฟังไม่วายล้อเลียน "จะนานค่ไหนมันก็นานก็แล้วกัน" "หลวงพ่อนี่ความจำดีจังนะครับ เรื่องนานมาแล้วยังอุตส่าห์จำได้" คราวนี้ท่านพระครูหมดความอดทน จึงยื่นคำขาดว่า "นี่..บัวเฮี้ยว ถ้าเธอเฮี้ยวอีก รับรองว่าฉันไม่เล่าแน่" "ครับ ครับ ผมไม่ขัดคอแล้ว ผมบัวเฮียวครับ ไม่ใช่บัวเฮี้ยว นิมนต์เล่าเถิดครับ" ท่านพระครูจึงเริ่มต้นใหม่ "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหลวงตาองค์หนึ่งอาศัยอยู่ในวัดๆหนึ่ง เช้าตรู่วันหนึ่งท่านก็เห็นเต่าใหญ่ตัวหนึ่ง กำลังเดินต้วมเตี้ยมอยู่บนทางที่จะไปถาน หลวงตากำลังจะไปถานเพื่อปลดทุกข์ ครั้นเห็นเต่า ทุกข์นั้นก็พลันหายเพราะความอยากฉันแกงเต่า ก็เลยหันหลังเดินกลับไปที่กุฏิ คว้าคัมภีร์ใบลานมานั่งเทศน์ ทำเสียงอ่อนเสียงหวานว่า 'เมื่อกี้ข้าไปถาน เห็นเต่าคลาน ตัวมันออกใหญ่ๆ เมื่อกี้ข้าไปถาน เห็นเต่าคลาน ตัวมันออกใหญ่ๆ' เทศน์ซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ เพราะต้องการให้ลูกศิษย์ได้ยิน ฝ่ายลูกศิษย์ก็นึกว่าหลวงตาเทศน์ ก็ไม่ใส่ใจ หลวงตาโมโหเลยตะโกนดังๆ ว่า 'เมื่อกี้ข้าไปถาน เห็นเต่าคลาน ตัวมันออกใหญ่ๆ โว้ย' คราวนี้มีโว้ยติดมาด้วย หลวงตาท่านโว้ยนะ ไม่ใช่พระครูเจริญโว้ย เดี๋ยวจะหาว่าฉันพูดไม่สุภาพ" ท่านพระครูออกตัวไว้ก่อน พระบัวเฮียวเลยถือโอกาสสนองว่า "ผมยังไม่ได้ว่าหลวงพ่อซักหน่อย ไม่เห็นจะต้องร้อนตัวไปเลย นิมนต์เล่าต่อเถิดครับ กำลังสนุก" "พอหลวงตาโว้ย ลูกศิษย์ก็เลยเข้าใจ รู้ว่าหลวงตาคงอยากจะฉันแกงเต่า จึงเดินไปยังทางที่จะไปส้วมพระ ก็เห็นเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมอยู่ เลยจับเอามา วิธีแกงสมัยนั้นจะต้องต้มเต่าให้ตายเสีบก่อน ลูกศิษย์ก็จัดแจงก่อไฟ เอาหม้อข้าวใส่น้ำยกขึ้นตั้งไฟ พอน้ำเดือดก็จับเต่าใส่ลงไป บังเอิญเต่าตัวมันใหญ่กว่าหม้อข้าว มันก็เลยร่วงลงมา ลูกศิษย์ก็จับใส่ลงไปใหม่ มันก็ยังร่วงลงมาอีกสองครั้งสามครั้ง ฝ่ายหลวงตาชำเลืองมองอยู่ เห็นท่าจะไม่ได้ฉันแกงเต่าเป็นแน่ ก็เลยหยิบคัมภีร์ใบลานขึ้นมาอีก เดี๋ยวก่อน...เธอรู้จักหม้อต้มกรักไหมล่ะ" "ไม่รู้จักครับ" "หม้อต้มกรักเป็นภาชนะรูปทรงกระบอก มีขนาดใหญ่กว่าหม้อข้าว เขาเอาไว้สำหรับย้อมจีวร สมัยนั้นยังไม่มีจีวรขายเหมือนอย่างสมัยนี้" "ครับ แล้วยังไงต่อไปครับ" "หลวงตาก็กางคัมภีร์ออกแล้วเทศน์ด้วยเสียงอันดังว่า 'เมื่อกี้ข้าไปถาน เห็นเต่าคลาน ตัวมันออกใหญ่ๆ หม้อข้าวมันเล็กนัก หม้อต้มกรักนั่นเป็นไร' ลูกศิษย์ก็เลยไปหยิบหม้อต้มกรักมา เอาน้ำในหม้อข้าวเทใส่ ยกขึ้นตั้งไฟ แล้วเอาเต่าใส่ลงไป ในที่สุดหลวงตาก็ได้ฉันแกงเต่าสมใจ ก็เป็นอันจบเรื่อง เอาละ...ทีนี้เธอวิเคราะห์มาซิว่า ในองค์ห้าที่กล่าวมาข้างต้น หลวงตาถูกองค์ไหนบ้าง" "ครบองค์ห้าเลยครับ" คราวนี้พระบัวเฮียวตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด "อ้าว..ก็ท่านไม่ได้ลงมือเอง แล้วจะครบได้ยังไง" ท่านพระครูลองใจ "ครบสิครับ เพราะเต่าเป็นสัตว์มีชีวิต หลวงตาท่านก็รู้ว่ามันมีชีวิตแต่ก็ยังอยากจะกินมัน ก็แสดงว่ามีจิตคิดจะฆ่า ใช้ความพยายามในการฆ่าก็ตรงที่เทศน์ว่า หม้อข้าวมันเล็กนัก หม้อต้มกรักนั่นเป็นไร แล้วเต่ก็ตายเพราะความพยายามนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าครบองค์ห้าหรือครับ" "แหม..เธอนี่ฉลาดเสียจริงๆ" พระบัวเฮียวหน้าบานเมื่อถูกชม แต่ก็ต้องหุบลงทันทีเมื่อท่านพระครูพูดต่อว่า "แต่นานๆ จะฉลาดสักครั้ง อย่างเรื่องเมื่อกี้น่าจะฉลาดก็ไม่ยักฉลาด" "เรื่องอะไรหรือครับ" "ก็เรื่องรองเจ้าคณะจังหวัดนั่นไง เธอคิดว่าไม่บาปหรือไง ถึงท่านจะไม่ได้ลงมือเอง แต่มันก็ครบองค์ห้า หรือเธอว่าไม่ครบ" พระบัวเฮียวครุ่นคิดอยูประเดี๋ยวหนึ่งก็ยิ้มแหยๆ ทำเสียงอ่อยๆ ว่า "จริงครับ ผมไม่น่าโง่เลย" "นั่นสิ หน้าเธอดูฉลาดออก" ท่านพระครูเริ่มรุก แต่พระบัวเฮียวอยากจะรู้เรื่องอื่นๆ อีก จึงไม่ยอมต่อกรด้วย "หลวงพ่อครับ อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือ..." ลูกศิษย์พูดยังไม่ทันจบ อาจารย์ก็รีบโบกมือห้าม "ช้าก่อน วันนี้เราคุยกันมาพอสมควรแล้ว ฉันรู้ว่าเธอจะถามเรื่องอะไร เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน วันนี้หมดเวลาแล้ว เธอกลับไปปฏิบัติที่กุฏิของเธอได้แล้ว ตั้งอกตั้งใจเข้า จะได้ใช้หนี้ให้หมดๆ ไปเสีย" ประโยคหลังท่านทิ้งท้ายไว้ให้คนฟังไปคิดเอาเอง ผู้แต่ง : ดร. สุทัสสา อ่อนค้อม
Create Date : 03 กรกฎาคม 2557
31 comments
Last Update : 3 กรกฎาคม 2557 22:11:58 น.
Counter : 1988 Pageviews.
โดย: Opey 4 กรกฎาคม 2557 1:36:38 น.
โดย: mambymam 5 กรกฎาคม 2557 19:50:49 น.
โดย: เนินน้ำ 7 กรกฎาคม 2557 0:31:33 น.
โดย: Puzzles (เตยจ๋า ) 7 กรกฎาคม 2557 5:02:17 น.
โดย: schnuggy 8 กรกฎาคม 2557 15:17:12 น.
โดย: เนินน้ำ 9 กรกฎาคม 2557 4:54:30 น.
โดย: กิ่งฟ้า 9 กรกฎาคม 2557 11:15:45 น.
โดย: jamaica 9 กรกฎาคม 2557 19:55:11 น.
โดย: ชมพร 9 กรกฎาคม 2557 23:19:50 น.
โดย: pantawan 9 กรกฎาคม 2557 23:55:21 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
หน้าโง่มั๊ง..
อิอิ คารมท่านพระครูนะ
แต่ว่านะคะ พระที่ไม่ดีพอเป็นข่าวก็ฮือฮา
แต่พระปฎิบัติไม่เป็นข่าวน่ะค่ะ
ก็มีปนๆมาทุกวงการ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
คนบ้า(น)ป่า Home & Garden Blog ดู Blog
blueberryblossom Photo Blog ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Dharma Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น