เวียงแว่นฟ้า - เดินตามรอยกรรม
<<
พฤษภาคม 2558
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
29 พฤษภาคม 2558

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 36




ฉันเพลเสร็จพระบัวเฮียวก็กลับมาที่กุฎิของท่านพระครูอีก ข้าราชการหนุ่มอายุประมาณสามสิบนั่งรออยู่ ท่านเดาว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นข้าราชการ เพราะเขาสวมชุดสีกากีและมีบั้งติดอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง

เขากราบท่านสามครั้งก่อนจะทักว่า "หลวงพี่อยู่ที่วัดนี้หรือมาจากที่อื่นครับ"
"อาตมาอยู่วัดนี้ แล้วโยมล่ะมาจากไหน"
"ผมมาจาอำเภอสองพี่น้องครับ แต่บ้านเดิมอยู่ที่นี่ คุ้นเคยกับหลวงพ่อมานานแล้ว"
"แล้วโยมไปทำอะไรอยู่ที่นั่นล่ะ ที่อำเภออะไรนะ"
"อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีครับ ผมเป็นปลัดอำเภออยู่ที่นั่น"
"อ้อ"

เถ้าแก่เส็งเสร็จจากการรับประทานอาหารกลางวัน ก็เดินเข้ามานั่งพร้อมโชเฟอร์ คนทั้งสองกราบพระบัวเฮียวสามครั้ง พระหนุ่มจึงถือโอกาสแนะนำบุคคลทั้งสามให้รู้จักกัน

ได้ยินว่าบุรุษผู้นั้นเป็นปลัดอำเภอ เถ้าแก่เส็งจึงพูดถึงลูกเขย

"ลูกเขยผมเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนี้ คุณเคยได้ยินชื่อไหม" เขาเอ่ยชื่อของลูกเขยประกอบ

"ครับ ท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของผม คุณนายดวงสุดาเป็นบุตรสาวของท่านหรือครับ"

"ถูกแล้ว ก็หนูดวงสุดานี่แหละที่พาผมมารู้จักกับหลวงพ่อ แล้วผมก็ได้มาปฏิบัติกรรมฐานที่นี่"

"โยมเถ้าแก่ปฏิบัติกรรมฐานได้ก้าวหน้ามากนะโยมปลัด"

พระบัวเฮียวบอกปลัดหนุ่ม เพราะต้องการจะยกย่อง 'ลูกศิษย์' ท่านคิดว่าปลัดอำเภอคงจะคุ้นเคยกับกับการปฏิบัติกรรมฐาน เนื่องจากเป็นคนถิ่นนี้ และรู้จักท่านพระครูมานาน ท่านไม่รู้ว่าคนๆนี้อยู่ในประเภท 'ใกล้เกลือกินด่าง'

"โยมปลัดคงปฏิบัติได้สูงแล้วใช่ไหม"
"หลวงพี่หมายถึงอะไรครับ" คนถูกถามไม่เข้าใจ
"อาตมาหมายถึงการปฏิบัติธรรม โยมปลัดเคยใกล้ชิดหลวงพ่อ ปฏิบัติไปได้ไกลแล้วใช่ไหม"
"เปล่าเลยครับหลวงพี่ บอกตามตรงว่าผมไม่สนใจเรื่องแบบนี้ มันสนุกเสียที่ไหนเล่าครับ กรรมฐานน่ะ"

เมื่อเขาตอบอย่างนี้พระบัวเฮียวจึงไม่ซักถามอะไรอีก ด้วยเกรงว่าเขาจะไม่สบอารมณ์ พอดีท่านพระครูลงมาจากกุฎิชั้นบน ผู้ที่นั่งรออยู่จึงทำความเคารพด้วยการกราบสามครั้ง

"เจริญพร โยมปลัดมายังไง" ท่านทักทาย
"ผมจะมาขอให้หลวงพ่อช่วยดูฤกษ์แต่งงานครับ" ปลัดหนุ่มตอบ
"เจ้าสาวเขาเป็นใครล่ะ"
"เป็นนางเอกลิเกครับหลวงพ่อ"

น้ำเสียงของข้าราชการหนุ่มบ่งบอกถึงความภูมิใจ ในหญิงที่ตนจะแต่งงานด้วย ท่านพระครูไม่เข้าใจว่าคนเป็นปลัดอำเภอจะไปแต่งงานกับนางเอกลิเกได้อย่างไร หรือว่าสองคนนี้เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมา ครั้นใช้ 'เห็นหนอ' เข้าตรวจสอบ ก็ได้รู้ว่าคนคู่นี้ไปกันไม่ได้และอยู่กินกันแบบหม้อข้าวยังไม่ทันดำก็ต้องเลิกร้างกัน

"โยมคิดยังไงถึงจะแต่งงานกับนางเอกลิเก อาตมาเห็นว่ามันไม่คู่ควรกัน ไม่มีอะไรเหมาะสมกันเลย" ท่านพยายามเตือน

ปลัดหนุ่มรู้สึกไม่พอใจในคำพูดของท่านพระครู เขากำลังหลงผู้หญิงคนนั้นจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น

"โธ่ หลวงพ่อครับ ก็เรารักกัน เขาสวยมากนะครับ รูปร่างหน้าตาสวย รำก็สวย เสียงก็เพราะ หนุ่มๆตามจีบเป็นพรวน แต่เขาก็เลือกผม"

"นั่นแหละ เพราะอย่างนี้แหละที่จะทำให้อยู่กินกันไม่ได้ พอแต่งงานกันแล้วโยมก็จะหึง ไม่ยอมให้เขาไปเล่นลิเก ตอนแรกเขาก็จะเชื่อ แต่พอนานๆไปเขาก็จะเบื่อ ก็จะหนีไปเล่นลิเกอีก แล้วก็ต้องทะเลาะกัน ในที่สุดก็ต้องเลิกกัน อย่าแต่งเลย เชื่ออาตมาเถอะ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เนื้อคู่ของโยมหรอก อาตมาเห็นกฏแห่งกรรมของโยมแล้ว คนที่จะมาร่วมชีวิตกับโยมต้องเป็นอาจารย์"

"แต่ผมตัดสินใจแล้วครับหลวงพ่อ ผมรักเขาและจะแต่งงานกับเขาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"ปลัดหนุ่มยืนยันหนักแน่น เข้าใจว่าความหลงคือความรัก

"แปลว่าโยมไม่เชื่อที่อาตมาพูด อย่าแต่งเลยน่า อาตมาขอร้อง อาตมาหวังดีด้วยใจจริง" ท่านพระครูพยายามทัดทาน

"ผมก็ขอร้องหลวงพ่อเหมือนกันว่าโปรดอย่าห้ามผมเลย ผมคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต ถ้าไม่ได้แต่งงานกับเขา"

"งั้นก็ตามใจโยมเถอะ กรรมของใครก็ของคนนั้น อาตมาได้พยายามช่วยแล้ว แต่เมื่อโยมไม่เชื่อก้ไม่ว่ากัน แต่จะให้อาตมาหาฤกษ์ให้นั้น อาตมาทำไม่ได้ เพราะรู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ต้องขอโทษด้วยที่อาตมาไม่อาจทำตามที่โยมต้องการได้"

ได้ยินเช่นนั้น หนุ่มวัยสามสิบเศษก็หมดความอดทน เขาพูดด้วยความโกรธว่า "ผมเสียใจครับหลวงพ่อ เสียใจที่หลงนับถือหลวงพ่อมานาน เรื่องแค่นี้ก็ช่วยผมไม่ได้ แล้วยังพูดให้เสียกำลังใจอีก เอาละ ผมขอประกาศตรงนี้เลยว่า ผมจะเลิกนับถือหลวงพ่อและจะไม่มาเหยียบวัดนี้อีก"

พูดจบเขาก็ผลุนผลันลุกออกไปโดยไม่ร่ำลา ท่านพระครูไม่พูดว่ากระไร ไม่โกรธ ไม่ขึ้งบุรุษนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่า 'สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม'

"น่าเสียดายนะครับ หน้าตาก็ดี ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี แต่กิริยาที่แสดงออกมาไม่ดีเลย" โชเฟอร์แท็กซี่วิจารณ์

"ช่างเขาเถอะโยม เขาทำกรรมมาอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ในเมื่ออาตมาบอกให้แล้ว แต่เขาไม่ยอมแก้ไข อาตมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ กรรมบางอย่างมันแก้ไขได้ แต่เขาไม่ยอมแก้"

"ผมเคยคิดนะครับหลวงพ่อ" โชเฟอร์แท็กซี่พูด "เคยคิดว่ากรรมนั้นแก้ไขไม่ได้ คนที่เป็นโจรก็ต้องเป็นโจรตลอดไป เพราะเขาเกิดใต้ดาวโจร แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป"

เขาหยุดคิดว่าจะพูดต่อไปดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดได้ว่าคนชั่วที่กลับตัวเป็นคนดีนั้นน่าสรรเสริญ จึงตัดสินใจพูด

"อย่างผมนี่เมื่อก่อนก็หากินในทางทุจริต แต่ก็มากลับตัวกลับใจได้เพราะเถ้าแก่ ตอนนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าผมเป็นคนดี อย่างน้อยก็ไม่เบียดเบียนใคร แล้วผมก็รู้สึกมีความสุขกายสบายใจกว่าแต่ก่อนมาก เพราะละชั่วได้"

"อย่างนั้นหรือ อาตมาขออนุโมทนา ขอประทานโทษ เมื่อก่อนโยมมีอาชีพอะไร"

"ก็ไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐานหรอกครับ ผมชอบเล่นการพนันแล้วก็มีหนี้สินล้นพ้นตัว เถ้าแก่ก็เป็นเจ้าหนี้ผม พอแกทวงมากๆเข้า ผมก็เลยรวบรวมสมัครพรรคพวกไปปล้นบ้านแก ใจคอผมโหดร้ายมาก เพราะผมตั้งใจจะฆ่าแกกับเมียเพื่อปลดหนี้ แต่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ผมยิงแกไม่ออกครับ แกกับเมียกำลังนั่งหลับตาอยู่ ผมก็ยิงใส่เลย รัวปืนเอ็ม.16 เข้าใส่ แต่ยิงไม่ออก

ในที่สุดผมก็ถูกจับได้ ติดคุกอยู่สามเดือน เพราะเถ้าแก่อ้างว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ ที่จริงผมรู้ว่าแกจำผมได้ ผมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของแกมาก จึงตั้งสัจจะว่าจะเลิกทำชั่ว แล้วผมก็เลิกได้จริงๆ ครับ" คนเล่ามีน้ำตาคลอเพราะความซาบซึ้ง

"เอาเถอะ หมดเคราะห์หมดโศกแล้ว ต่อไปนี้ชีวิตโยมก็จะพบกับความเจริญรุ่งเรือง อาตมาขออวยชัยให้พร" ท่านพระครูให้กำลังใจ

ชายวัยสี่สิบกราบท่านพระครู สำหรับพรที่ท่านให้

"ผมเป็นหนี้บุญคุณเถ้าแก่มากเลยครับ เพราะถ้าแกเอาผมเข้าคุก ผมก็คงไม่มีวันจะกลับเนื้อกลับตัวได้ นี่ผมก็ตั้งใจจะรับใช้แกเท่าที่เวลาและโอกาสจะอำนวย"

"นายสุขเขาดีกับผมมากครับหลวงพ่อ นี่เขาก็จะไม่ยอมเอาเงิน ผมต้องขอร้องเขาอยู่นานกว่าจะตกลงกันได้"

"เพราะเถ้าแก่ดีกับผมก่อนน่ะครับหลวงพ่อ ผมก็เลยจะตอบแทนความดีแก แต่แกก้ไม่ยอมรับ ขนาดผมคิดแค่ค่าน้ำมันสองร้อย แกก็แถมให้อีกร้อย กลายเป็นสามร้อย" นายสุขเล่า

"สรุปว่าโยมดีทั้งสองคนนั่นแหละ คนดีก็ต้องพบคนดี เธอเห็นด้วยไหม บัวเฮียว"

"เห็นด้วยครับ" พระหนุ่มรับคำ แล้วถามต่อว่า "หลวงพ่อครับ ผมรู้สึกว่าคนที่มาวัดนี้มีทั้งคนไทยและคนจีน คนไทยนั้นมักมาให้หลวงพ่อช่วยดับร้อนผ่อนทุกข์ แล้วก็มักไม่เอากรรมฐาน บางคนรู้จักหลวงพ่อมานาน แต่กลับไม่เคยปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างเช่นนายขำหรือปลัดอำเภอคนเมื่อกี้ แล้วผมเองก็มีความรู้สึกว่าหลวงพ่อรักคนจีนมากกว่าคนไทย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ"

"เธอหาว่าฉันลำเอียง ว่างั้นเถอะ"
"แล้วหลวงพ่อลำเอียงหรือเปล่าล่ะครับ" ลูกศิษย์ยั่ว

"ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ลำเอียง ใครปฏิบัติดีฉันก็อนุโมทนากับเขา ส่วนคนที่ทำไม่ดีฉันก็สงสารเขา มันก็น่าแปลกอย่างที่เธอว่านั่นแหละ คือคนที่ปฏิบัติดีมักเป็นคนจีน อาตมารักคนจีนมากนะโยมเถ้าแก่ อยากรู้ไหมล่ะว่าเพราะอะไร" ท่านถามเถ้าแก่เส็ง

"อยากทราบครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ผมอยากให้หลวงพ่อเล่าให้ฟังครับ" เถ้าแก่เส็งตอบอย่างเกรงใจ

"ที่อาตมารักคนจีนมากเพราะชอบที่เขาขยันทำมาหากินประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือเพราะอาตมาทำเวรทำกรรมกับคนจีนเอาไว้มาก สมัยที่ยังเป็นเด็ก ก็เลยต้องมารักเขาเป็นการใช้กรรม แต่นั่นก้ไม่ได้หมายความว่าฉันเกลียดคนไทยหรอกนะ บัวเฮียว อย่าเข้าใจผิด"

"ครับ ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าหลวงพ่อไม่เกลียดคนญวนเหมือนกัน" พระบัวเฮียวเย้า

"ตอนเด็กๆ หลวงพ่อทำกรรมอะไรไว้กับคนจีนหรือครับ" นายสุขถาม
"มากมายเลยละโยม สมัยเด็กๆ อาตมาชอบทดสอบความอดทนของพวกเขา"
"ทดสอบยังไงครับ"

"ก็แกล้งต่อราคาเวลาซื้อของ อย่างตาแป๊ะคนนึง แกขายเสื้อผ้าอยู่ในตลาด อาตมาก็แกล้งต่อ แกก็ไม่โมโห ถ้าเป็นร้านคนไทยรับรองถูกด่าแล้วไล่ออกจากร้านแน่ เพราะคนไทยเขาหยิ่ง แล้วก็ไม่มีความอดทน ร้านคนไทยเขามักจะมีนางกวักประจำอยู่ในร้าน แต่กลับขายไม่ดี ร้านคนจีนไม่มีนางกวัก แต่ขายของดีจนหยิบไม่ทัน โยมเชื่อไหม สินค้าอย่างเดียวกัน ถ้าร้านคนไทยขายห้าบาท ร้านคนจีนจะขายหกบาท คนซื้อเขาก็รู้ แต่ก็ยังไปซื้อร้านคนจีน ร้านคนไทยมีนางกวักด้วย ขายถูกกว่าด้วย แต่คนกลับไม่ซื้อ แปลกไหมล่ะ"

"ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ" พระบัวเฮียวถาม

"ก็คนจีนเขายิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนคนไทยทำหน้าเหมือนมือนางกวัก ใครเขาจะอยากเข้าร้าน" ท่านทำท่าทำทางไปด้วย "ทีนี้ตาแป๊ะที่ขายเสื้อผ้านี่แกก็เอาตัวรอดได้ทุกครั้ง อย่างเช่นอาตมาซื้อเสื้อไปวันนี้ พอรุ่งเช้าก็เอามาเปลี่ยน บอกตาแป๊ะว่า 'แป๊ะ ขอเปลี่ยนเสื้อหน่อย ใส่ไม่ได้ มันคับ' ตาแป๊ะแกก็บอกว่า 'ไม่เป็งลาย ไม่เป็งลาย เสื้ออั๊วซักแล้วยืกล่าย' อาตมาก็เลยต้องกลับบ้าน เพราะแกไม่ยอมให้เปลี่ยน

พอรุ่งเช้าอีกวันอาตมาก็ไปใหม่ บอกแกว่า 'แป๊ะ ขอเปลี่ยนเสื้อหน่อย' แกก็ถามว่า 'เปี่ยงทำมาย' อาตมาก็บอกว่า 'มันหลวม' แกก็ว่า 'ม่ายเป็งลาย ม่ายเป็งลาย เสื้อล้างอั๊วซักเลี้ยวหกด้าย' ตกลงแกก็ไม่ยอมให้เปลี่ยนอีก อาตมาก็หมดปัญญาที่จะพูดกับแก"

ท่านพระครูหยุดนิดหนึ่งก่อนจะเล่าต่อไปว่า "มีอยู่รายนึงที่อาตมาทำกรรมกับแกไว้หนักกว่าคนอื่น แกชื่อบ๊ก อาตมาก็เรียกแกเจ๊กบ๊ก"เถ้าแก่เส็งสะดุ้ง แต่ท่านพระครูไม่เห็น "สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พวกคนต่างด้าวจะถูกไล่ออกจากเขตที่มีทหาร เจ๊กบ๊กแกก็ถูกไล่มาจากลพบุรี มาอาศัยอยู่ที่ตลาดปากบาง แกก็เที่ยวซื้อขวดซื้อโลหะจากชาวบ้านไปขาย บางทีก็เอาขนมข้าวพองมาแลก อาตมาตอนนั้นอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองนี่แหละ ก็ชอบขโมยข้าวพองของแกมากิน แล้วก็ด่าแกว่าไอ้เจ๊กบ๊กบ้า ไอ้เจ๊กบ๊กบ้า บางทีก็ล้อแกเป็นเพลงว่า 'เจ๊กบ๊กตกน้ำตาย เมียร้องไห้ เสียดายเจ๊กบ๊ก' แต่แกก้ไม่โกรธ ยิ้มอย่างเดียว แกบอกอาตมาว่า 'อาตี๋ ลื้อจาหล่าอั๊วก็หล่าไป อั๊วม่ายโกก แต่อั๊วจาเอาซาตางจากลื้อให้ล่าย' นี่ แกว่าของแกอย่างนี้"

"แล้วได้ไหมครับ" เถ้าแก่ถาม เขากำลังสงสัยว่า 'เจ๊กบ๊ก' ที่ท่านพระครูพูดถึงนั้น จะเป็นคนเดียวกับน้องชายของเขาหรือไม่ ก็คงต้องฟังท่านเล่าให้จบเสียก่อน

"ได้สิ ก็เวลาแกไม่เผลอให้อาตมาขโมยได้ อาตมาก็จำเป็นต้องซื้อแก แต่ก็ซื้อแบบขี้โกง คือขนมข้าวพองแกขายห่อละเฟื้อง อาตมาก็ทำเป็นขอซื้อห่อนึง แต่ที่แท้หยิบมาสองห่อ ก็โกงแกมาตลอดจนกระทั่งแกเปลี่ยนจากขายขวดไปขายหมู อาตมาก็ขโมยหมูแกอีก"

"แล้วเคยถูกแกจับได้ไหมครับ" พระบัวเฮียวถาม

"ถ้าถูกจับก็เสียชื่อมหาโจรน่ะซี คือตาแป๊ะแกมีเข่งอยู่คู่นึง ไม้คานของแกก็มีลักษณะคล้ายไม้พลองของลูกเสือ แต่สีดำเมื่อมเลย แกหาบจนไม้คานเป็นมัน แกก็ตัดหมูออกชั่งเป็นกองๆ กองละหนึ่งกิโล ยืนขายอยู่ที่ท่าน้ำ พอแกมัวหยิบหมูให้คนอื่น อาตมาก็ย่องไปข้างหลัง คว้าหมูที่แกกองเอาไว้ ก็เอาหนีบรักแร้แล้วโดดน้ำดำมาขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งที่เป็นบ้านอาตมา เอาหมูไว้ในตู้กับข้าว แล้วดำน้ำกลับไปฟากโน้นอีก หวังจะไปเอาอีกซักกิโล

พอขึ้นไปยืนบนท่า แกก็บ่นกับคนซื้อว่าหมูแกหายไปโลนึง ตาคนซื้อแกก็เห็นตอนที่อาตมาหยิบหมูแล้วกระโจนลงน้ำ แต่แกก็พูดเข้าข้างอาตมาว่า มูันคงตกลงไปในน้ำ เจ๊กบกแกก็ว่า 'ม่ายเป็งลาย ต้องมีคงมาคาโมย ถ้าตกน้ำจริงมันก็ต้องลอย' ตาคนนั้นก็พูดอีกว่า 'มันไม่ลอยหรอก เนื้อหมูไม่ลอย มันหมูถึงจะลอย' ตาแป๊ะก็เลยตัดมันให้มากหน่อย ตัดเนื้อน้อยๆ พวกคนซื้อก็เลยได้มันหมูไปมากกว่าเนื้อ เพราะอาตมาเป็นต้นเหตุ"

"แล้วแกเคยแสดงท่าทางว่าสงสัยหลวงพ่อไหมครับ" นายสุขถาม

"แกก็คงสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีหลักฐาน แกก็เลยเอาผิดอาตมาไม่ได้ อาตมาก็แกล้งแกสารพัด เจอหน้าทีไรก็ด่า 'ไอ้เจ๊กบ้า ไป ไป ไปให้พ้น' แกก็ยิ้ม บอกว่า 'ไอ้ตี๋ วังนี้ลื้อเลียกอั๊วไอ้เจ๊กบ้า แต่วังหน้าลื้อต้องเลียกอั๊วว่าเตี่ย จำไว้นะ' อาตมาก็ว่าเรื่องอะไรจะเรียก แกก็ว่า 'ต้องเลียก วังนึงลื้อต้องเลียก เพาะอั๊วมีลูกสาวห้าคง ลื้อต้องมาขอเรียกอั๊วว่าเตี่ยเข้าสักวัง' นี่แกว่าของแกอย่างนี้ แล้วก็จริงอย่างที่แกว่าเสียด้วย อาตมาต้องยอมเรียกแกว่าเตี่ยเพื่อชดใช้กรรม"

"หลวงพ่อไปชอบลูกสาวแกเข้าหรือครับ" พระบัวเฮียวถาม

"เปล่าหรอก แต่ลูกสาวแกก็มีส่วนที่ทำให้ฉันต้องเรียกเจ๊กบ๊กว่าเตี่ย คือพอลูกๆเป็นสาว ก็ได้แต่งงานกับคนดีมีฐานะ ก็ช่วยเตี่ยทำมาหากินจนร่ำรวยขึ้นเป็นลำดับ จนมีเงินไปตั้งร้านขายทองที่เยาวราช"

เถ้าแก่เส็งแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าตาแป๊ะคนที่หลวงพ่อเล่านั้นก็คือน้องชายของเขา ครั้นจะพูดออกมาก้เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา ทางที่ดีควรฟังให้ท่านเล่าให้จบเสียก่น

"โลกมันกลมนะโยมเถ้าแก่ พอแกย้ายเข้ากรุงเทพฯ อาตมาก็ไม่เจอแกร่วมสิบปี ทั้งๆที่ตอนนั้นอาตมาก็เข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ พันตรีหลวงธารา ซึ่งเป็นปู่ของอาตมา ได้รับอาตมาไปกรุงเทพฯ และฝากไว้กับจอมพล ป. พิบูลสงครามซึ่งท่านจะให้อาตมาเรียนตำรวจ ระหว่างที่อยู่กับท่าน อาตมาก็เรียนดนตรีไทย เป็นลูกศิษย์หลวงประดิษฐไพเราะ

แต่ตอนหลังอาตมาไม่ชอบเรียนตำรวจ มันไม่ถูกกับอัธยาศัย เลยลาออกกลับมาอยู่บ้าน พอปี 2491 ก็บวชที่วัดพรหมบุรี บวชได้ห้าพรรษา ท่านสมภารก็บอกให้อาตมาเข้ากรุงเทพฯ ไปเรี่ยไรเงินมาสร้างโบสถ์ อาตมากับลูกศิษย์ก็ไปหาจอมพล ป. ท่านก็ทำบุญมาห้าพัน หลวงประดิษฐไพเราะก็ทำมาสองพัน พันตรีหลวงธารา ปู่ของอาตมา ก็ทำมาสามพัน แล้วพวกข้าราชการที่ใกล้ชิดจอมพล ป. ซึ่งตอนนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ช่วยกันคนละร้อยสองร้อย ก็ได้เงินมาหลายหมื่น

วันจะกลับก็มีข้าราชบริพารของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชการที่เจ็ด พาอาตมาเข้าเฝ้า พระองค์ก็พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์มาห้าพันบาท อาตมาก็เตรียมจะกลับวัด มีลูกศิษย์ไปด้วยหลายคน ทั้งผู้ชายผู้หญิง พวกนี้เขาอยากซื้อทองกัน เลยพาอาตมาไปเยาวราช เข้าไปซื้อทองในร้าน อาตมาก็ยืนคอยอยู่หน้าร้าน ก็มีตาแป๊ะเจ้าของร้านออกมานิมนต์ให้เข้าไปฉันน้ำชา แกถามอาตมาว่ามาจากวัดไหน

พอบอกว่ามาจากวัดพรหมบุรี แกก็เล่าว่าแกเคยอยู่ที่ตลาดปากบาง อาตมาก็เอะใจ แกก็เล่าตั้งแต่หนีมาจากลพบุรี เพราะเขาไล่คนต่างด้าวออกจากเขตทหาร มารับซื้อขวดไปขาย ขายหมู จนกระทั่งมาขายทอง แกบอกว่าชีวิตสมัยที่อยู่ปากบางนั้นตกระกำลำบากมาก ต้องหาบของขายจนบ่าด้านไปหมด ว่าแล้วแกก็สั่งให้ลูกสาวไปเอาเข่งกับไม้คานมาอวด อาตมาเห็นก็จำได้ แกปิดทองไว้เหลืองอร่ามเลย แกก็ว่ามีเด็กผู้ชายเกเรอยู่คนนึง ชอบด่าแกว่าไอ้เจ๊กบ้าแล้วก็ชอบขโมยขนมข้าวพองแก พอแกขายหมูก็แอบขโมยหมูแกอีก

อาตมาฟังแล้วก็ขนลุก คิดในใจว่าจะบอกแกดีหรือไม่ ก็พอดีแกถามว่า ท่างมากุงเทพฯทำมาย อาตมาก็บอกว่ามาเรี่ยไรเงินไปสร้างโบสถ์ แกก็เดินไปที่ลิ้นชัก หยิบเงินมาสองพัน บอกว่าร่วมทำบุญด้วย อาตมาก็เก็บเงินใส่ย่ามไว้อย่างมิดชิด กลัวแกจะทวงคืน แล้วก็สารภาพกับแกว่า 'เตี่ย อาตมาขออโหสิกรรม เด็กเกเรที่เคยขโมยเงินเตี่ย เคยด่าเตี่ยน่ะ คืออาตมาเอง' พอได้ยินแกก็ตกใจ อ้าปากค้างเลย อาตมาก็รีบพูดต่อว่า 'เตี่ย อโหสิกรรมให้อาตมานะ ไหนๆอาตมาก็เป็นพระแล้ว และเตี่ยก็คงไม่ขอเงินคืน'

พอหายตกใจแกก็บอกอาตมาว่า 'ท่านไม่ต้องเลียกอั๊วว่าเตี่ยก็ล่าย เลียกไอ้เจ๊กบ้าหรือไอ้เจ๊กบ๊กอย่างเลิมก็ล่าย อั๊วไม่โกดแล้วก้อไม่เอาเงิงคืงด้วย แต่อั๊วขอท่างอย่างเลียวท่าวนั้ง'

"แกขออะไรอาตมา โยมรู้ไหม" ท่านพระครูถามเถ้าแก่เส็ง
"ไม่ทราบครับ" เถ้าแก่ตอบ
"ขอให้หลวงพ่อสึกไปแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของแกใช่ไหมครับ" พระบัวเฮียวเดา

"แหม ถ้าขอแบบนั้นก็ดีน่ะสิ แต่แกไม่ได้ขออย่างที่เธอเดา แกพูดกับฉันว่า 'ท่างบวกก็ลีเลี้ยว อั๊วจาขอล้องว่าให้ท่างบวกอย่างนี้ตาหลอกไป อย่าสึกออกไปหล่าเจ๊กอีก' นี่..แกว่ายังงี้ ฉันน่ะเจ็บแสบเข้าไปถึงขั้วหัวใจเลย แทบจะคืนเงินให้แกไปเลยเชียวละ"

"แล้วคืนหรือเปล่าครับ" นายสุขถาม
"คืนทำไมล่ะโยม เงินเขาตั้งใจทำบุญ"

เงียบกันไปครู้หนึ่ง เถ้าแก่เส็งก็พูดขึ้นว่า "หลวงพ่ออย่าตกใจนะครับ ถ้าผมจะกราบเรียนให้ท่านทราบความจริงอะไรบางอย่าง"

"ความจริงอะไรล่ะ ว่าไปเถอะ อาตมาจะพยายามไม่ตกใจ"
"เจ๊กบ๊กที่ท่านว่าคือน้องชายแท้ๆของผม ที่อพยพกันมาจากเมืองจีนครับ"

ท่านพระครูรู้สึกเหมือนกับวันที่ถูกเสาเต้นท์พุ่งมาปะทะหน้า ท่านร้องเรียกนายสมชายเสียงหลง

"สมชายอยู่ไหน ช่วยชงยาหอมมาให้หลวงพ่อด้วยเถอะ กำลังเป็นลม"





ผู้แต่ง  :  ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม
















Create Date : 29 พฤษภาคม 2558
Last Update : 29 พฤษภาคม 2558 0:53:53 น. 21 comments
Counter : 1424 Pageviews.  

 
เจิมค่ะ

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต

เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

-------------------------

นอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะคุณเวียงแว่นฟ้า



โดย: Sweet_pills วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:1:42:34 น.  

 
สวัสดียามเช้า
ดังโบราณว่า ความรักทำให้คนตาบอดครับ

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
mambymam Home & Garden Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: moresaw วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:6:56:30 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: **mp5** วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:7:38:10 น.  

 
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จริงแท้ที่สุดค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
blueberryblossom Photo Blog ดู Blog
mambymam Home & Garden Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: เนินน้ำ วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:8:23:33 น.  

 
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

สวัสดีค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:15:20:14 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
ตอนนี้อ่านสนุกมากค่ะ


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog




โดย: หอมกร วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:15:22:31 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
**mp5** Dharma Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

----------------------------------

วีรกรรมสมัยเด็ก ๆ ของหลวงพ่อก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะคะ
แวะมาอ่านและส่งกำลังใจค่ะ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:16:46:03 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณเวียงแว่นฟ้า ^^

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
pantawan Health Blog ดู Blog
toor36 Education Blog ดู Blog
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: ปรัซซี่ วันที่: 29 พฤษภาคม 2558 เวลา:22:44:08 น.  

 
แว่บเข้ามาก่อนเข้านอน จองที่ก่อนนะคะ
ไว้ค่อยมาอ่าน

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog



โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2558 เวลา:0:38:55 น.  

 
มาส่งกำลังใจค่ะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Ariawah Auddy Photo Blog ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
กิ่งฟ้า Music Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: pantawan วันที่: 30 พฤษภาคม 2558 เวลา:14:26:31 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเวียงแว่นฟ้า

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
sirivinit Hobby Blog ดู Blog
tuk-tuk@korat Music Blog ดู Blog
**mp5** Dharma Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น




โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 31 พฤษภาคม 2558 เวลา:6:52:14 น.  

 
สุขสันต์วันหยุดครับ


โดย: **mp5** วันที่: 31 พฤษภาคม 2558 เวลา:12:14:57 น.  

 
มาติดตามต่อครับ ชอบครับประวัติหลวงพ่อ เงินทำบุญหลักพันสมัยนั้นไม่ใช่น้อยเลยนะครับ
เวียงแว่นฟ้า Dharma Blog


โดย: Insignia_Museum วันที่: 31 พฤษภาคม 2558 เวลา:12:35:28 น.  

 
แวะมาทักทายพร้อมส่งกำลังใจค่ะ



เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 31 พฤษภาคม 2558 เวลา:21:10:32 น.  

 
ท่านพระครูในวัยเด็กก็ซนเอาเรื่องเหมือนกันนะคะ :)
'สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม' ก็จริงค่ะพี่
แต่หลวงพ่อทักเขาไปแบบนั้นได้เหรอคะ
ถ้าเป็นแบบหนังจีนก็ว่า เปิดเผยมติสวรรค์เนาะ


โดย: ที่เห็นและเป็นมา วันที่: 1 มิถุนายน 2558 เวลา:16:07:45 น.  

 
มาแล้วค่ะ มาตามสัญญา มาโหวตให้ค่ะ

เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


มีความสุขมาก ๆ นะคะ



โดย: พรหมญาณี วันที่: 3 มิถุนายน 2558 เวลา:11:49:40 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Close To Heaven Food Blog ดู Blog
เศษเสี้ยว Photo Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Dharma Blog ดู Blog



โดย: ก้นกะลา วันที่: 3 มิถุนายน 2558 เวลา:23:56:31 น.  

 


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดใน

มาส่งกำลังใจให้กันค่ะ


โดย: AppleWi วันที่: 4 มิถุนายน 2558 เวลา:23:20:52 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณเวียงแว่นฟ้า

หลวงพ่อเป็นลม ป่านนี้คงฟื้นคืนสติมานานแล้ว
แต่คุณเวียงแว่นฟ้า หายไปเลย 555

คิดถึงนะคะ



โดย: พรหมญาณี วันที่: 6 มิถุนายน 2558 เวลา:13:55:11 น.  

 
สวัสดีค่ะ
แวะมาดูว่าเปลี่ยนหน้ายังคะ
take care


โดย: pantawan วันที่: 20 มิถุนายน 2558 เวลา:23:32:53 น.  

 
ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมค่ะ
ช่วงนี้เรามาแข่งกันดองบล็อกนะคะ
ว่าแต่ไปถามว่าเมื่อไหร่จะอัพบล็อก
ก็ต้องขอใช้คำถามเดียวกันแล้วค่ะ


โดย: AppleWi วันที่: 28 มิถุนายน 2558 เวลา:11:57:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เวียงแว่นฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
[Add เวียงแว่นฟ้า's blog to your web]