1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
10 กรกฏาคม 2557
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 16
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 16 พระบัวเฮียวใช้ความพยายามอยู่หลายวัน ก็ยังไม่สบโอกาสที่จะเรียนถามข้อสงสัยจากท่านพระครู เพราะท่านไม่ค่อยมีเวลาว่างที่จะมาให้ลูกศิษย์ซักถามได้เหมือนเมื่อก่อน ยิ่งกิตติศัพท์ความเมตตาของท่านเป็นที่เลื่องลือ คนก็พากันมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหามากขึ้น มีผู้นิมนต์ท่านไปบรรยายธรรมตามสถาบันต่างๆอยู่เนืองๆแทบไม่เว้นแต่ละวัน นับตั้งแต่ครูสฤษดิ์ซื้อรถตู้มาถวาย ท่านก็ไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น โดยมีนายสมชายเป็นพลขับ นายสมชายเล่าว่าแต่ก่อนที่ยังไม่มีรถไว้ใช้ เวลาจะไปไหนท่านจะว่าจ้างนายอู่ให้ขับรถไปให้ แต่นายอู่ก็ทำให้ท่านต้องเสียงานอยู่บ่อยๆ เป็นต้นว่าคืนไหนฝันร้าย รุ่งเช้าก็จะมาบอกว่าไม่สามารถขับรถไปส่งท่านได้ เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าท่านพระครูจะขอร้องอย่างไรนายอู่ก็ไม่ยอมไปท่าเดียว ครั้นจะไปว่าจ้างคนอื่นก็ไม่ทันการ เพราะกว่าจะไปจะมาก็เลยเวลาที่เขานิมนต์ไปแล้ว แต่ถึงแม้นายอู่จะกลัวอย่างไรก็ไม่อาจหนีกฏแห่งกรรมไปได้ เพราะในที่สุดนายอู่ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่าเพราะไม่รักษาสัจจะ เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนุ่มๆ นายอู่มีอาชีพล่องเรือค้าขายไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ไปซื้อของกรุงเทพฯ มาขายต่างจังหวัด และเอาของต่างจังหวัดไขายกรุงเทพฯ กิจการก็รุ่งเรืองดีอยู่ มีเรือของตัวเองหนึ่งลำและทำเป็นเรือโดยสารด้วย คืนหนึ่งขณะล่องเรือกลับจากกรุงเทพฯ คนขับเกิดหลับในเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว เรือจึงพุ่งไปชนแก่งกลางแม่น้ำแล้วพลิกคว่ำลง คนขับและคนโดยสารอีกห้าหรือหกคนจมน้ำเสียชีวิต นายอู่ซึ่งกำลังจะจมน้ำตายเกิดห่วงแม่กับเมียขึ้นมา ตอนนั้นเมียกำลังตั้งท้องลูกคนแรก เขาจึงตั้งจิดอธิษฐานว่า ขอให้ตนรอดชีวิตแล้วจะบวชอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรหนึ่งพรรษา ปรากฏว่านายอู่รอดจากการจมน้ำตายอย่างปาฏิหารย์และกลับถึงบ้านได้ อย่างปลอดภัย ไม่นานภรรยาก็คลอดบุตรออกมาเป็นผู้หญิง เขาก็หาเลี้ยงลูกเมียและแม่ ยังไม่ยอมบวช ก็อยู่ต่อมาจนมีลูกอีกหลายคน ภายหลังได้ขายเรือมาซื้อรถ เที่ยวรับจ้างส่งของส่งคนอยู่แถววัด ระยะหลังๆ นายอู่ฝันร้ายบ่อยๆ คือฝันว่ายมบาลมาต่อว่าต่อขานที่นายอู่เสียสัจจะ หากยังดื้อดึงไม่ยอมบวชจะต้องรถคว่ำคอหักตาย เขาจึงมาเล่าให้ท่านพระครูฟัง ท่านก็ขอร้องให้บวช นายอู่ก็ไม่ยอมบวช ทั้งยังขอร้องไม่ให้ท่านเล่าเรื่องความฝันให้แม่และเมียของเขาฟัง คืนไหนฝัน รุ่งเช้านายอู่ก็จะไม่ยอมขับรถ เวลาผ่านไปอีกหลายปี กระทั่งลูกสาวคนโตอายุครบ 21 ปี และกำลังจะแต่งงาน นายอู่ก็ฝันร้ายถี่ขึ้น ท่านพระครูก็ขอร้องให้เขาบวช เพราะท่านรู้ว่าถ้าไม่บวชเขาจะต้องตาย นายอู่ก็ดื้อดึงไม่ยอมบวช อ้างว่าถ้าเขาบวชแล้วใครจะหาเลี้ยงแม่และเมียของเขา ความจริงเขาจะบวชก็ได้เพราะลูกๆก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว นอกจากไม่ยอมบวชแล้วเขายังขอร้องท่านพระครูให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ อยู่ต่อมาไม่นานเขาก็รถคว่ำคอหักตายจริงตามที่ฝัน ท่านพระครูรู้สึกสลดใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเพราะกรรมที่เขาสร้างเองทำเอง เรื่องพอจะแก้ไขได้เขาก็ไม่ยอมแก้ จึงต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเช่นนั้น "หลวงพี่ครับ หลวงพ่อให้มานิมนต์" นายสมชายมาบอกพระบัวเฮียวในบ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ท่านปฏิบัติกรรมฐานเสร็จ "ให้ไปที่กุฏิของหลวงพ่อหรือ" พระหนุ่มเชื้อสายญวนถามอย่างดีใจ จะได้มีโอกาสถามข้อข้องใจสงสัยที่ติดค้างมาหลายวัน "เปล่าหรอกครับ ท่านให้มานิมนต์ จะพาไปเจริญพระพุทธมนต์เย็นที่บ้านฝั่งโน้น ลูกสาวเขาจะแต่งงานครับ เขานิมนต์พระวัดเราสามรูป วัดอื่นอีกหกรูป หลวงพ่อให้ผมมานิมนต์หลวงพี่กับพระมหาบุญ ให้เอาย่ามกับตาลปัตรไปด้วย" "ไปเดี๋ยวนี้เลยหรือ" "อีกสักพักก็ได้ครับ หลวงพ่อจะออกห้าโมง นี่เพิ่งจะบ่ายสาม หลวงพี่ไปรอที่กุฏิท่านก่อนห้าโมงเย็นก็แล้วกัน ผมไปนะครับ" "แล้วพระมหาบุญท่านทราบหรือยัง" "ทราบแล้วครับ ผมไปเรียนท่านก่อนจะมาหาหลวงพี่" พระบัวเฮียวจัดแจงสรงน้ำ ขัดสีฉวีวรรณอย่างพิถีพิถันกว่าทุกวัน สรงน้ำเสร็จก็จัดการนุ่งห่มอย่างเรียบร้อย รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ 'ออกงาน' เป็นครั้งแรกของชีวิตการบวช ท่านถือตาลปัตรและย่ามเดินไปที่กุฏิท่านพระครู นั่งอยู่คนเดียวร่วมยี่สิบนาทีพระมหาบุญก็มาถึง ผู้บวชที่หลังทำความเคารพภิกษุผู้เคยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงด้วยการกราบสามครั้ง "มานานแล้วหรือบัวเฮียว" พระมหาบุญทักขึ้นก่อน "สักพักใหญ่ๆ เห็นจะได้ หลวงพี่มาก็ดีแล้ว ผมอยากจะเรียนถามอะไรสักหน่อย" "ถามมากๆ ก็ได้ ถ้าผมตอบได้ก็จะตอบ รับรองไม่ปิดบังอำพรางแม้แต่น้อย เป็นไง ปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว ได้ข่าวว่าเป็นคนโปรดของท่านพระครูเลยนี่" "ก็ไม่เชิงหรอกครับ ท่านเมตตาผมมากกว่า เห็นผมเป็นคนเซ่อๆ ซ่าๆ ท่านคงจะสงสาร ก็เลยเอาใจใส่มากหน่อย ถ้าฉลาดหลักแหลมเหมือนหลวงพี่ ท่านก็คงปล่อยให้บินเดี่ยวได้แล้ว" พระบัวเฮียวตอบ อย่างเอาใจหลวงพี่ "แต่คุณก็ก้าวหน้าเร็วดีนี่ เมื่อตอนผมบวชใหม่ๆ ท่านก็ประคับประคองอยู่หลายเดือนกว่าจะปล่อยให้บินเดี่ยวอย่างที่คุณเห็น ท่านพระครูเป็นครูบาอาจารย์ที่วิเศษที่สุด ผมเคารพนับถือท่านมากจริงๆ" พระมหาบุญพูดจากความรู้สึกลึกซึ้ง แต่พระบัวเฮียวก็เข้าใจ เพราะความรู้สึกของท่านต่อท่านพระครูก็ไม่แตกต่างไปจากนี้ "หลวงพี่ครับ ผมไม่เคยออกงาน รู้สึกตื่นเต้นจนกลายเป็นกังวล กลัวว่าจะวางตัวไม่ถูก หลวงพี่พอจะกรุณาแนะนำผมหน่อยได้ไหมครับ" "ได้ซิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ไม่ต้องกังวลหรอก ทำตามที่หลวงพ่อบอกก็แล้วกัน เป็นต้นว่าเวลานั่งเขาจะเรียงตามอายุพรรษา สงสัยว่าคุณคงจะต้องนั่งท้ายแถวเพราะบวชทีหลังเพื่อน อย่าประหม่าก็แล้วกัน บทสวดเจริญพระพุทธมนต์เย็นคุณก็ท่องได้หมดแล้วไม่ใช่หรือ" "ครับ ได้หมดแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเวลาสวดจริงๆ จะจำผิดจำถูกบ้างหรือเปล่า" "จำถูกน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่จำผิดคงไม่ดีนัก เอาอย่างนี้ ถ้าตอนไหนไม่แน่ใจก็ให้ออกเสียงเบาๆ ไม่มีใครเขารู้หรอก เพราะตอนสวดเราจะเอาตาลปัตรบังหน้าไว้" ผู้แก่พรรษากว่าแนะนำ "ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะประหม่ามากน้อยแค่ไหน คงจะเขินมากกว่าถ้า.." "ถ้าอะไร" พระมหาบุญซักเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมพูดต่อ "ถ้า..มีสาวๆ มานั่งฟังน่ะครับ" "ต้องมีแน่ๆ อย่างน้อยเจ้าสาวก็คนหนึ่งละ แล้วยังจะเพื่อนเจ้าสาวอีกหนึ่งหรือสองคน แล้วถ้าเขารู้ว่าจะมีพระหนุ่มๆ ไป พวกสาวๆคงพากันแห่มาเชียวละ สงสัยว่าคราวนี้คุณจะต้องสึกเสียละมัง" พระมหาบุญพูดเย้า "สึกน่ะไม่กลัวหรอก กลัวจะประหม่า อย่างหลังนี่จะแก้อย่างไรครับ" "คุณก็กำหนดซิ รู้สึกอย่างไรก็กำหนดไปตามนั้น ปฏิบัติแล้วก็ต้องเอามาใช้ประโยชน์ให้ได้ เอาเถอะ..ตั้งสติเข้าไว้ก็จะดีไปเอง จำไว้แล้วกันว่าคุณขืนแสดงอะไรเปิ่นๆออกไป คราวหน้าคราวหลังหลวงพ่อจะไม่พาคุณไปไหนด้วยอีก" "ถ้าอย่างนั้นผมจะพยายามเต็มที่เลยครับ จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ่อยๆ" "แต่การไปไหนบ่อยๆ มันไม่ดีสำหรับการปฏิบัตินะ บัวเฮียว เพราะจิตมันจะท่องเที่ยวไปรับอารมณ์อื่น ไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับอารมณ์กรรมฐาน แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเรากำหนดได้ทันมันก็ไม่เสียหายอะไร นึกเสียว่าเป็นการไปหาแบบฝึกหัดมาให้จิตทำก็แล้วกัน" พระมหาบุญแนะนำในฐานะที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ท่านพระครูลงมาจากกุฏิชั้นบนเมื่อสิบเจ็ดนาฬิกาเศษ พระสองรูปทำความเตารพด้วยการไหว้ แล้วลุกขึ้นเดินตามท่านไปที่รถที่นายสมชายรออยู่ ท่านพระครูขึ้นไปนั่งตอนหน้าคู่กับคนขับ ส่วนพระมหาบุญและพระบัวเฮียวนั่งถัดไปทางด้านหลัง นายสมชายปิดประตูเรียบร้อยแล้วจึงออกรถ วิ่งตรงไปออกถนนสายเอเซียแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ตัวจังหวัด ซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือของวัด ประมาณยี่สิบนาทีก็ภึงทางแยกเข้าตัวจังหวัด จากนั้นก็ต้องวิ่งย้อนลงมาทางใต้อีกประมาณสองกิโลเมตร จึงถึงท่าเรือที่ข้ามไปยังบ้านงานที่อยู่ทางฝั่งโน้น "สมชายเฝ้ารถรออยู่ฝั่งนี้ ไม่ต้องข้ามไปด้วย" ท่านพระครูสั่งเสร็จก็เดินนำลงไปรอเรือจ้างซึ่งมีเรืออยู่ลำเดียว ครู่หนึ่งหญิงแจวเรือจ้างก็แจวเรือเปล่ากลับมาหลังจากส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่งตรงข้ามแล้ว "นิมนต์หลวงพ่อจ้ะ จะไปบ้านงานหรือจ๊ะ" หญิงแจวเรือเชื้อเชิญพร้อมกับตั้งคำถาม ในชนบทนั้นบ้านไหนมีงานก็เป็นอันรู้กันหมดทั้งตำบล "ไปที่เดียวสามไหวไหมจ๊ะหนู หรือว่าต้องทีละคน" ท่านพระครูถามคนแจวซึ่งเป็นหญิงสาวอายุไม่เกินยี่สิบ เกรงว่าจะเกินเรี่ยวแรงของหล่อน เพราะน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาปริ่มขอบตลิ่ง เนื่องจากยังไม่สิ้นเดือนสิบสอง ระยะทางข้ามฟากจึงดูกว้างไกลกว่าปกติ พระบัวเฮียวมีอันต้องกำหนด 'เห็นหนอ' เมื่อสบตากับหล่อน "ไหวจ้ะ นิมนต์ทั้งสามองค์เลยจ้ะ" หญิงสาวตอบ "นั่นพายอีกอันไม่ใช่หรือ" พระมหาบุญชี้ไปที่ไม้พายซึ่งวางอยู่หัวเรือ "เอาอย่างนี้ เดี๋ยวอาตมาจะช่วยพาย จะได้เบาแรงโยมหน่อย" พูดแล้วท่านก็ลงไปนั่งที่หัวเรือ จับไม้พายมาถือด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เมื่อภิกษุอีกสองรูปขึ้นมานั่งในเรือเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงออกเรือ โดยมีพระมหาบุญช่วยพายอยู่ทางด้านหัว ส่วนหล่อนอยู่ท้าย ท่านพระครูและพระบัวเฮียวอยู่กลาง "สองทุ่มหรือยังจ๊ะหนู อาตมาต้องกลับประมาณสองทุ่ม" ท่านพระครูถาม "มีเรือจ้ะ หนูจะแจวจนถึงหกโมงเย็น ต่อจากนั้นพ่อเด็กเขาจะมาเปลี่ยนและไปเลิกเอาสองทุ่มครึ่ง" หญิงสาวตอบ 'อ้อ มีลูกมีผัวแล้ว แบบนี้ค่อยหายเขินหน่อย' พระบัวเฮียวพูดในใจ รู้สึกโล่งอกเมื่อรู้ว่าหล่อนมีผัวแล้ว เมื่อถึงฝั่งแล้ว ท่านพระครูจึงถามว่า "เท่าไหร่จ๊ะหนู" "นิมนต์เถิดจ้ะ ฉันถวาย นึกว่าให้ฉันมีโอกาสได้ทำบุญก้แล้วกัน" "อย่าเลยหนู กินแรงคนอื่นมันบาป เท่าที่หนูมีจิตศรัทธาก็ได้บุญแล้ว อาตมาขออนุโมทนา เท่าไหร่จ๊ะ" "คนละสองสลึงจ้ะ หลวงพ่อให้ฉันมาบาทเดียวก็พอ" หญิงสาวลดให้ห้าสิบสตางค์ หลวงพ่อวางเงินไว้ให้สองบาทแล้วกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นอาตมาฝากซื้อขนมไปให้ลูกหนูอีกหนึ่งบาท ขอบใจนะจ๊ะหนู" หญิงสาวยกมือไหว้ พลางกล่าวขอบคุณ แล้วจึงรีบพายเรือเปล่ากลับไปรับผู้โดยสารที่กำลังยืนรออยู่ทางโน้น ร้าน 'ลมโชย' เป็นร้านอาหารที่ขึ้นชื่อของตำบล ตั้งอยู่ริมม่น้ำติดกับท่าข้ามเรือ ขณะนั้นกำลังขายดิบขายดี มีลูกค้านั่งเต็มทุกโต๊ะ โต๊ะที่ติดกับทางเดินมีแต่ผู้ชายล้วน กำลังตั้งวงเสพสุรากันอย่างครื้นเครง มีจานกับแกล้ม แก้วและขวดเหล้าวางอยู่เต็ม เมื่อเดินผ่านโต๊ะนั้น ท่านพระครูกำหนด 'เห็นหนอ' แล้วจึงกระซิบกับพระบัวเฮียวว่า "เธอคอยดูนะบัวเฮียว เดี๋ยวคนโต๊ะนี้จะตีกันถึงเลือดตกยางออก รอให้เมาได้ที่เสียก่อน ขากลับเราทันได้เห็นแน่" "หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรครับ" พระบัวเฮียวถามตามความเคยชินเสียมากกว่า เพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว "รู้ก็แล้วกัน ไม่เชื่อเธอคอยดูว่าจะเป็นอย่างที่ฉันพูดหรือเปล่า" แล้วพระสามรูปก็เดินผ่านร้านนั้นเพื่อไปบ้านที่จัดงาน หลังการเจริญพระพุทธมาต์เย็นสิ้นสุดลง เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงจึงกล่าวลาเจ้าภาพแล้วพาภิกษุอีกสองรูปกลับวัด ส่วนพระอีกหกรูปมาจากวัดทางฝั่งนี้ จึงไม่ต้องข้ามเรือ ขณะเดินกลับ พระมหาบุญถามพระบัวเฮียวว่า "ไงคุณ หายตื่นเต้นหรือยัง" "จวนแล้วครับ เหลืออีกนิดเดียวก็จะหาย ต้องขอขอบคุณหลวงพี่มากๆ เลย ผมพยายามนึกถึงคำแนะนำของหลวงพี่เกือบตลอดเวลา เพื่อนเจ้าสาวเขาสวยจนผมประหม่า" ฟังแล้วท่านพระครูอดรนทนไม่ได้ จึงขัดขึ้นว่า "รู้สึกเธอจะชื่นชมแต่คนสวยๆ เท่านั้นนะ บัวเฮียว ไม่รู้หรือว่าสตรีคือศัตรูพรหมจรรย์" พระบัวเฮียวตอบแบบล้อเลียนว่า "รู้สิครับหลวงพ่อ อาตมารู้หมดแต่อาตมาก็อดไม่ได้ " "ทำพูดดีไปเถอะ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน" ท่านพระครูชักหมั่นไส้ "ดูท่าทางคุณอยากสึกใช่ไหม คุณบัวเฮียว" พระมหาบุญถาม "อยากครับ ผมอยากสึกออกไปแต่งงาน เห็นเขาแต่งกันแล้วผมก็อยากแต่งบ้าง" พระบัวเฮียวสารภาพ "แล้วคุณคิดว่าะได้แต่งหรือเปล่า" "คิดว่าน่าจะได้ หลวงพี่ไม่เห็นหรือ พระวัดป่ามะม่วงตั้งหลายองค์ที่รูปหล่อน้อยกว่าผม ก็ยังสึกออกไปแต่งงาน แล้วทำไมผมจะทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้" "มันไ่ม่ได้อยู่ที่ดีกรีของความหล่อหรอก แต่มันอยู่ที่กรรม ถ้าเราไม่ได้ทำกรรมกับใครไว้ก็ไม่ต้องมาชดใช้ คนที่เขาแต่งงานกันก็เพื่อมาร่วมกันใช้กรรม สำหรับเธอเขาเรียกว่าไม่มีคู่กรรม เชื่อสิ ชาตินี้เธอไม่มีโอกาสได้แต่งงานหรอก" ท่านพระครูชี้แจง ซึ่งทำให้ใจของพระบัวเฮียวเหี่ยวแห้งหดหู่ โดยที่ท่านไม่ได้เจตนา เมื่อเดินมาถึงท่าน้ำ ก็ต้องรอเรืออีกหลายนาทีกว่าเขาจะพายกลับมารับ พระจันทร์ค่อนดวงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า พวกผู้ชายที่นั่งกินเหล้าอยู่ที่โต๊ะติดทางเดินยังไม่ลุกไปไหน เสียงที่คุยชักจะดังมากขึ้น เพราะต่างก็กำลังเมาได้ที่ แล้วใครคนหนึ่งก็สบถขึ้นว่า "...หมาตัวไหนตดวะ สงสัยแม่มันคงใส้เน่า เหม็นฉิบหายเลย" พูดด้วยความโกรธผสมกับความเมา "พูดยังงั้นมันก็ไม่สวยสิวะ เรื่องขี้เรื่องตดมันอดกันไม่ได้โว้ย หรือว่าแม่มึงไม่เคยตด" ชายที่นั่งติดกันพูดเสียงดังด้วยความโกรธ ท่านพระครูกระซิบกับพระบัวเฮียวว่า "คอยดูนะบัวเฮียว เดี๋ยวได้ดีกัน" "หลวงพ่อไปห้ามไว้ก่อนไม่ดีหรือครับ" พระบัวเฮียวออกความเห็นเพราะกลัวลูกหลง "ท่านพระครูตอบว่า "พูดกับคนเมาจะไปรู้เรื่องอะไร ดีไม่ดีจะเจ็บตัวอีกด้วย ก็คนไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมพ่อซัดได้ทั้งนั้น" เสียงทะเลาะรุนแรงขึ้น มีการด่าอย่างหยายคาย ในที่สุดก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย แล้วก็ถึงขั้นตะลุมบอนกัน "หลวงพ่อ ทำไงดี ทำไงดี" พระบัวเฮียวกระซิบเสียงสั่น ขาก็พลอยสั่นไปด้วย "เฉยไว้ ไม่ต้องกล้ว มากับฉันรับรองว่าปลอดภัย" พระบัวเฮียวชำเลืองไปที่โต๊ะนั้น เห็นคนหนึ่งคว้าขวดเหล้ามาฟาดลงไปบนศีรษะของอีกคน ผู้ถูกฟาดล้มฟุบคาโต๊ะ เลือดแดงฉาน "หลวงพ่อครับ ผมจะเป็นลมอยู่แล้ว" พระบัวเฮียวรู้สึกใจสั่น ขาสั่น เคยเห็นแต่เลือดวัวควาย ไม่เคยเห็นเลือดคน "กำหนดสิคุณบัวเฮียว" พระมหาบุญแนะ "กำหนดไม่ไหวครับ มันกลัวจนตั้งสติไม่ได้" "งั้นวันนี้ก็แปลว่าคุณสอบตก ต้องกลับไปฝึกอีกมาก โน่น..เรือมาโน่นแล้ว" เมื่อเรือเข้ามาจอดเรียบร้อย สมภารรูปหนึ่งและลูกวัดสองรูปจึงพากันลงเรือ คราวนี้พระมหาบุญไม่ต้องช่วยแจว เพราะฝีพายเป็นหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสัน นั่งกันเรียบร้อยแล้ว ท่านพระครูจึงเอ่ยขึ้นว่า "เห็นไหมบัวเฮียว เห็นโทษของการขาดสติหรือยัง นี่ถ้าคนพวกนั้นมาเข้ากรรมฐาน ก็จะไม่มีเรื่องต้องตีกันหัวร้างข้างแตกอย่างนั้น" "นั่นสิครับ ถ้าหมอนั่นกำหนด 'กลิ่นหนอ' เสียก็คงไม่มีเรื่อง นี่จะมีคนตายไหมครับหลวงพ่อ" "ไม่หรอก เดี๋ยวตำรวจเขาก็มาจัดการเอง" ท่านพระครูตอบ "ผมว่าสาเหตุของเรื่องมันไม่ได้อยู่ที่การผายลมหรอกครับหลวงพ่อ มันอยู่ที่เหล้าต่างหาก คนพวกนั้นพอเหล้าเข้าปากก็เห็นช้างตัวเท่าหมู" พระมหาบุญว่า "ไม่แต่คนพวกนั้นหรือพวกไหนหรอก พอเมาขึ้นมาก็ต้องเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่งั้นพระพุทธองค์จะสอนหรือ ...สุราเมรยมัชชปมาหัฎฐานา สุราเมรัยเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท .. ศีลข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าละเมิดขัอนี้ข้อเดียว ก็สามารถละเมิดข้ออื่นๆ ได้ทั้งหมด ฉันถึงอยากให้ทุกคนเจริญสติปัฏฐานสี่ จะได้ไม่ขาดสติ" "แต่บางคนเขาก็เลือกที่จะอยู่แบบไม่มีสตินะครับหลวงพ่อ เพราะถึงจะรู้ว่าสุราทำให้ขาดสติ เขาก็ยังดื่มทั้งๆรู้" "คนพวกนี้น่าสงสารนะท่านมหา" "สงสารทำไมครับหลวงพ่อ ผมว่าเราไม่ควรสงสารคนชั่ว" พระบัวเฮียวขัดขึ้น "เธอไม่รู้อะไร คนชั่วนั่นแหละน่าสงสาร เพราะเขาไม่รู้ว่านรกกำลังรอเขาอยู่ ก็เลยประมาทมัวเมาในชีวิต คนทุกวันนี้มักจะตั้งอยู่ในความประมาทกันเสียเป็นส่วนใหญ่ น่าเสียดายที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้ใช้ความเป็นมนุษย์ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง" ขึ้นจากเรือภิกษุทั้วสามรูปก็เดินไปที่รถ ซึ่งนายสมชายเตรียมเปิดประตูรออยู่แล้ว "เป็นไง รอนานไหม" ท่านพระครูทัก "ก็หลับไปตื่นหนึ่งแหละครับ ไม่ไหว ยุงชุมชะมัด อากาศหนาวๆ อย่างนี้ไม่น่ามียุง" ลูกศิษย์พูดเป็นเชิงบ่น ขณะนั่งมาในรถ พระมหาบุญเปิดฉากสนทนาขึ้นว่า "ความไม่ประมาทนี่สำคัญนะครับหลวงพ่อ ขนาดพระพุทธองค์จะปรินิพพานอยู่แล้ว ยังทรงเตือนภิกษุทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท" "ถูกแล้ว สมัยที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็ตรัสสอนเรื่องความไม่ประมาทอยู่บ่อยครั้ง ทรงอุปมาอุปไมยว่า......รอยเท้าของสัตว์โลกทั้งหลายไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ย่อมลงในเท้าช้างได้ทั้งหมด รอยเท้าช้างเรียกว่าเป็นยอดของรอยเท้าเหล่านั้นโดยความใหญ่ฉันใด กุศลธรรมทั้งหลายย่อมมีความไม่ประมาทเป็นมูล ประชุมลงในความไม่ประมาทได้ทั้งหมด ความไม่ประมาทเรียกได้ว่าเป็นยอดของธรรมเหล่านั้นฉันนั้น..." "แหม..หลวงพ่อยังกะเป็นตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่แน่ะ" พระบัวเฮียวออกปากชม แต่แล้วกลับตั้งข้อสงสัยว่า "แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นพระพุทธพจน์จริงๆ เพราะพระองค์ก็เสด็จปรินิพพานไปตั้งสองพันกว่าปีแล้ว" "เป็นชาวพุทธถ้าไม่เชื่อคัมภีร์พระไตรปิฎกก็เอวังเท่านั้นเอง จริงๆนะบัวเฮียว ฉันไม่ค่อยเข้าใจเธอสักเท่าไร เรื่องที่น่าสงสัยเธอก็ไม่สงสัย แต่เรื่องที่ไม่น่าสงสัยเธอกลับสงสัย รู้สึกว่าเธอชอบทวนกระแสอยู่เรื่อยเชียวนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พระธรรมคำสอนเป็นสิ่งท้าทายให้พิสูจน์ ถ้าไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง แล้วเธอจะรู้ว่าพระธรรมคำสอนเป็นสัจธรรมโดยแท้" ท่านพระครูถือโอกาส 'เทศน์นอกธรรมาสน์' "ผมเชื่อครับ เชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อพิสูจน์มาหมดแล้วนี่ครับ" คนถูกเทศน์ตอบเสียงอ่อย นายสมชายขับรถออกจากตัวจังหวัด แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายเอเซีย ประมาณสามสิบนาทีก็มาจอดที่หน้ากุฏิท่านพระครู พระบัวเฮียวถามว่า "พรุ่งนี้เช้าหลวงพ่อมีธุระไปไหนหรือเปล่าครับ" "อ้อ..ลืมบอกไป พรุ่งนี้เป็นวันแต่ง เราต้องไปถึงบ้านงานเจ็ดโมงเพื่อเจริญพระพุทธมนต์ ฉันเช้าแล้วก็กลับวัด ประมาณสิบโมงจะมีโยมมาหา จะมาสร้างหอประชุมให้ จะต้องใช้เงินเป็นล้านเชียวนะท่านมหา" ประโยคหลังท่านพูดกับพระมหาบุญ "เขามีหนังสือมาบอกท่านหรือครับ" "เปล่าหรอก" "แล้วทำไมหลวงพ่อรู้เล่าครับ" พระบัวเฮียวถามทั้งที่ไม่น่าถาม "ก็ 'เห็นหนอ' เขาบอกเมื่อเช้ามืดนี่เอง" ท่านพระครูรู้ว่าพระบัวเฮียวมีข้อสงสัยจะถาม ก็เลยตัดบทว่า "เอาเถอะ พรุงนี้ฉันจะให้เธอกับท่านมหาบุญอยู่ฟังด้วย หลังจากนั้นเธอมีอะไรจะถามก็ถามได้" พระบัวเฮียวดีใจอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่พระมหาบุญรู้สึกเฉยๆ เพราะท่านสามารถปรับความยินดียินร้ายให้สมดุลกันได้แล้ว ผู้แต่ง : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม หมวด Book Blog
Create Date : 10 กรกฎาคม 2557
36 comments
Last Update : 10 กรกฎาคม 2557 1:29:02 น.
Counter : 1468 Pageviews.
โดย: เนินน้ำ 10 กรกฎาคม 2557 8:22:09 น.
โดย: ชะ แว้ป แอบ มา ดู ... IP: 101.108.122.94 10 กรกฎาคม 2557 13:07:50 น.
โดย: puzzles (เตยจ๋า ) 11 กรกฎาคม 2557 6:17:16 น.
โดย: หอมกร 11 กรกฎาคม 2557 17:14:52 น.
โดย: schnuggy 12 กรกฎาคม 2557 1:13:21 น.
โดย: กิ่งฟ้า 12 กรกฎาคม 2557 18:23:27 น.
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 12 กรกฎาคม 2557 21:56:11 น.
โดย: moresaw 14 กรกฎาคม 2557 11:46:57 น.
โดย: AppleWi 14 กรกฎาคม 2557 15:08:35 น.
โดย: เนินน้ำ 15 กรกฎาคม 2557 5:58:18 น.
โดย: multiple 16 กรกฎาคม 2557 8:30:44 น.
โดย: mambymam 16 กรกฎาคม 2557 10:53:14 น.
โดย: Love You .. IP: 101.108.126.10 16 กรกฎาคม 2557 13:13:45 น.
โดย: พรไม้หอม 16 กรกฎาคม 2557 14:21:22 น.
โดย: anigia 16 กรกฎาคม 2557 19:01:59 น.
โดย: mambymam 17 กรกฎาคม 2557 3:54:36 น.
โดย: เนินน้ำ 17 กรกฎาคม 2557 6:58:19 น.
โดย: pantawan 17 กรกฎาคม 2557 23:55:10 น.
โดย: เนินน้ำ 18 กรกฎาคม 2557 7:56:36 น.
โดย: ชมพร 18 กรกฎาคม 2557 10:27:00 น.
โดย: Opey 19 กรกฎาคม 2557 21:19:16 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
มาโหวตให้คนแรกเลย อิอิ..
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog