1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
24 มิถุนายน 2557
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 14
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 14 พระบัวเฮียวกับนายจ่อยมาถึงกุฏิ ท่านพระครูก่อนเวลาสิบแปดนาฬิกาเล็กน้อย นางสาวจุกเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนมารออยู่แล้ว หล่อนมากับแม่ชีวัยกลางคนซึ่งนายจ่อยไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แม่ชีก้มลงกราบพระบัวเฮียวสามครั้ง ซึ่งนางสาวจุกก็ทำตาม "จุกมารอที่นี่นานแล้วหรือ" นายจ่อยถามคู่หมั้น ซึ่งดูแปลกตาเมื่ออยู่ในชุดแม่ชี แม้จะไม่ได้โกนผมก็ตาม "ก่อนหน้าพี่จ่อยนิดเดียวเองจ้ะ" พระบัวเฮียวมองคู่หมั้นของนายจ่อย ตั้งข้อสังเกตว่าปากของหล่อนออกสีชมพูเรื่อๆ ไม่ยักเป็นสีแดงๆ เหมือนปากโยมผ่องพรรณกับโยมวรรณวิไล สาวบ้านนอกกับสาวเมืองกรุงคงจะต่างกันตรงสีของปากนี่เอง แต่ถึงอย่างไรคุณโยมสองพี่น้องก็สวยกว่า ท่านคิดเองสรุปเองเสร็จสรรพ "หลวงพี่อย่ามองคู่หมั้นผมนานนักซี ผมหึงนะ" นายจ่อยเย้า "อ้าว...คู่หมั้นคุณหรอกเรอะ ไม่แนะนำแล้วอาตมาจะรู้ได้ยังไง" พระบัวเฮียวเย้าบ้าง "ก็ใครจะไปทราบเล่าครับว่าหลวงพี่ไม่รู้ หลวงพี่ฉลาดออกจะตายไป ไม่น่ามาตกม้าตายตอนจบเลย" นายจ่อยเปรียบเทียบไปคนละเรื่อง "อ้าว..นี่จะจบแล้วหรือ ยังไม่ทันได้ออกแขก ไหงจะลาโรงเสียแล้ว" พระบัวเฮียวอุตส่าห์โต้ตอบให้เข้าเรื่อง แม่จุกมองหน้าพระที คู่หมั้นที สงสัยว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน นึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำแม่ชี จึงพูดขึ้นว่า "พี่จ่อยจ๊ะ นี่แม่ชีเจียนที่หลวงน้าให้ฉันไปอยู่ด้วย เป็นหัวหน้าสำนักชีของวัดนี้" นายจ่อยยกมือไหว้ "ผมขอฝากคู่หมั้นผมด้วยนะครับ" นายจ่อยรีบฝากฝัง "ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ สมชายเขาบอกฉันแล้วว่าหนูจุกเป็นคู่หมั้นของหลานชายหลวงพ่อ" แม่ชีเรียกท่านพระครูว่าหลวงพ่อเหมือนคนอื่นๆ แม้เธอจะแก่กว่าท่านสามปีก็ตาม "แม่ชีมาอยู่วัดนี้นานแล้วหรือครับ" สมัยที่นายจ่อยบวชเณรอยู่ที่นี่ยังไม่มีแม่ชีเลย "เข้าปีที่หกแล้วจ้ะ ฉันมาจากวัดบ้านใต้โน่น" เธอชี้ไปทางทิศใต้ของวัด "แล้วทำไมย้ายวัดเสียเล่าครับ" "โอ้ย ไม่ย้ายยังไงไหว ทั้งพระทั้งเณรขาดระเบียบวินัย ศีลขาด ศีลพร่อง จนแทบไม่มีเหลือ ข้างฝ่ายชีด้วยกันก็คอยอิจฉาตาร้อน ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เว้นแต่ละวัน หาความสงบไม่ได้" แม่ชีเล่า นายจ่อยแอบคิดในใจว่า 'เอาอีกแล้ว รายการตำหนิติติงพระอีกแล้ว เฮ้อ..ไม่เข้าใจเลย พระสมัยนี้ท่านคิดยังไงกันถึงได้ทำให้คนเขาว่าอยู่เรื่อย' "ฉันก็เลยมาขอหลวงพ่ออยู่วัดนี้ พาเพื่อนชีมาด้วยอีกสามคน หลวงพ่อให้พวกฉันอยู่บนศาลา สองปีต่อมาท่านก็สร้างสำนักชีให้ ก็ค่อยเป็นสัดเป็นส่วนหน่อย ตอนนี้มีแม่ชีอยู่ราวๆ สามสิบคน" "แล้วเป็นไงครับ พระวัดนี้ดีหมดทุกรูปไหม" นายจ่อยตั้งใจจับผิดพระวัดนี้ โดยเฉพาะพระบัวเฮียว "ถ้าหลวงพ่อละก้อ ดีไม่มีที่ติ แต่รูปอื่นๆ ฉันไม่กล้ารับประกัน" แม่ชีแบ่งรับแบ่งสู้ "โยม อาตมาก็ไม่เคยทำเสียหายอะไรเลยนะ" พระบัวเฮียวร้อนตัว "ก็ดีแล้วนี่คะ จะได้อยู่ไปนานๆ ถ้าทำเสียหายมีหวังถูกสั่งย้ายวัด" แม่ชีพูดตรงไปตรงมา จนพระบัวเฮียวต้องนิ่งไป ท่านพระครูลงมาเวลาสิบแปดนาฬิกาตรง ทุกคนต่างทำความเคารพ ยังมิทันที่ท่านจะได้พูดจาทักทายใคร อาคันตุกะสามคน เป็นสตรีสองและบุรุษหนึ่งก็พากันเดินเข้ามา ท่าคลานของคนอายุน้อยที่สุดนั้นดูตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยเนื่องจากน้ำหนักมาก หล่อนกราบท่านพระครูสามครั้งก่อนจะบอกอีกสองคนให้ทำตาม "เตี่ยจ๊ะ แม่จ๊ะ กราบท่านสิจ๊ะ ท่านพระครูไง" หลังจากคนทั้งสองกราบเสร็จ หล่อนก็กล่าวกับท่านพระครูว่า "หลวงพ่อจำหนูได้ไหมคะ" หล่อนแทนตัวเองว่าหนู ทั้งที่แก่กว่าท่านถึงสามปี "จำได้สิ คุณนายดวงสุดา ท่านผู้ว่าฯ ไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ" ท่านหมายถึงสามีของหล่อนซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด "ไม่ได้มาค่ะ หนูมาจากท่าพระ ไปรับเตี่ยกับแม่มาเข้ากรรมฐาน เตี่ยชื่อเส็งค่ะ คนเขาเรียกว่าเถ้าแก่เส็ง ส่วนแม่ชื่อกิมง้อ" หล่อนแนะนำ "ดีจริง อุตส่าห์พาพ่อแม่มาสร้างกุศล ลูกดีๆ อย่างนี้หายากนะเถ้าแก่" ฝ่ายนั้นยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ "แล้วคุณนายจะให้พ่อแม่อยู่กี่วันล่ะ" ท่านพระครูถาม "เจ็ดวันค่ะ หรือแม่กับเตี่ยว่าไง" "ตามใจลื้อ ลื้อจาให้เตี่ยอยู่กี่วังก็แล้วแต่ลื้อ" เถ้าแก่ตอบ เขาไม่เคยขัดใจบุตรสาว ไม่ว่าหล่อนจะให้ทำอะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น เขามีลูกสาวคนเดียว อุตส่าห์ทะนุถนอมเลี้ยงดูมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แล้วหล่อนก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง ความรู้ก็จบขั้นมหาวิทยาลัย ฐานะก็เป็นถึงภรรยาท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และที่สำคัญที่สุดคือหล่อนมีหลานชายหัวแก้วห้วแหวนให้เขาถึงสี่คน คนโตเรียนหมอใกล้จบแล้ว "งั้นก็ลองดูแค่เจ็ดวันก่อน ถ้าชอบค่อยอยู่ต่อ" หล่อนสรุป "เมื่อไหร่คุณนายจะมาเข้าบ้างล่ะ" ท่านพระครูถาม คุณนายมาที่วัดนี้บ่อย มาทำบุญบ้าง ฟังเทศน์บ้าง แต่ยังไม่เคยมาเข้ากรรมฐาน "หนูยังไม่ว่างเลยค่ะ หลวงพ่อ เดี๋ยวก็ต้องเตรียมจัดงานหาเงินช่วยกาชาด เอาไว้ให้คุณเอี่ยมปลดเกษียณแล้วค่อยมาเข้าด้วยกัน" หล่อนหมายถึงสามี "อาตมาว่ามันจะไม่ยังงั้นน่ะซี พอถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ ก็จะมาบอกว่าต้องเลี้ยงหลาน มีหลายรายเชียวที่อาตมาชวนแล้วมาไม่ได้ อ้างว่าลูกยังไม่โต พอลูกโตก็อ้างว่าต้องช่วยเลี้ยงหลาน พอหลานโตยังไม่ทันได้เลี้ยงเหลน ก็กลับบ้านเก่าเสียแล้ว เลยไม่ได้บุญกุศลติดตัวไป อาตมากลัวว่าคุณนายจะเป็นเหมือนเขาน่ะซี" "ไม่เหมือนค่ะ ไม่เหมือนแน่ๆ หนูกับคุณเอี่ยมตกลงกันไว้แล้วค่ะว่าจะไม่ยอมเลี้ยงหลานเด็ดขาด ลูกใครๆก็เลี้ยงกันเอาเอง" "อ้อ..คุณนายเลี้ยงลูกเอง ว่างั้นเถอะ" "คุณนายยิ้มเขินๆ แก้ตัวว่า "ก็เตี่ยกับแม่เขาเห่อหลาน ไม่ยอมให้หนูเลี้ยงสักคน เขาคงสงสารหนูสงสารหลาน ที่ต้องระหกระเหินย้ายตามคุณเอี่ยมไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ก็เลยเหมาเอาไปเลี้ยงให้หมด" "ฉันเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ทันเบื่อ ก็เลยเลี้ยงหลานเสียเบื่อไปเลยค่ะ" คุณกิมง้อพูดบ้าง เธอพูดไทยชัดกว่าสามี เพราะเพื่อนฝูงของเธอส่วนใหญ่เป็นคนไทย "ประเดี๋ยวมีหลานของลูกมาให้เลี้ยงก็หายเบื่อมั้ง" ท่านพระครูหมายจะลองใจ "ไม่หายเบื่อค่ะ ฉันสัญญากับเตี่ยหนูดวงไปแล้ว ว่าออกจากวัดไปเราจะปฏิบัติกรรมฐานกันทุกวัน งานการก็เลิกทำ เราสบายแล้ว เก็บหอมรอมริบไว้มากพอสมควร ในวัยชราก็ตั้งใจจะหาบุญหากุศลใส่ตัวไว้เป็นเสบียงในชาติหน้า ที่ฉันได้ดิบได้ดีในชาตินี้ก็คงเพราะทำบุญมาดี ก็ต้องทำดีต่อไปอีกเป็นการเติมเสบียง" คุณกิมง้อจาระไน "แหม..แจ๋วจริงๆ ความคิดของอาม้านี่แจ๋ว" ท่านพระครูชมเปาะ ท่านมักเรียกสตรีที่สูงอายุกว่าท่านว่าอาม้า "นานๆอาตมาถึงจะเจอคนแบบนี้สักคน ที่เห็นน่ะ ประเภทไม่ยอมละไม่ยอมวางแทบทั้งนั้น เมื่อวานมาหาอาตมาคนนึง หน้าตาเศร้าหมองมาเชียว ถูกเมียยักยอกเครื่องเพชรหนีตามหนุ่มไป ก็จะไม่หนียังไงเล่า ตัวเองอายุเจ็ดสิบ เมียเพิ่งยี่สิบแปด อาตมาเคยเตือนแล้วแต่เขาไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องกฏแห่งกรรม เอาละ ไหนๆก็พูดมาแล้วก็จะเล่าให้ฟังเสียเลย ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์นะ" แล้วท่านก็ออกตัว่า "นี่อาตมาไม่ได้เอาเขามานินทานะ เพราะไม่ได้ออกชื่อออกเสียง ที่เล่าเพราะอยากให้เอาไปคิดเป็นการบ้าน ว่ากรรมดีกรรมชั่วมันมีจริง" แล้วท่านก็เริ่มเล่า "คนนี้เขาเป็นนายพล จะเป็นพลโทหรือพลเอกอาตมาก็จำไม่ได้เสียแล้ว เขาเคยมาหาอาตมาครั้งแรกตอนอายุ 58 ก็สิบสองปีมาแล้ว มาถึงก็มาถามว่าเขาจะแต่งงานอีกดีไหม อาตมาก็ถามว่าตอนนี้อายุเท่าไหร่ เขาก็ตอบว่า 58 ส่วนคนที่จะเป็นเจ้าสาวอายุสิบหก เป็นคนสวย เป็นลูกสาวจ่า ลูกน้องของเขาเอง พ่อแม่เจ้าสาวยินดียกให้ อาตมาก็เลยตั้งสติกำหนดเห็นหนอ ก็เห็นหมด เห็นอะไรรู้ไหม" ท่านถามพระบัวเฮียว "เห็นกฏแห่งกรรมใช่ไหมครับ" พระบัวเฮียวตอบแบบย้อนถามอีกทีหนึ่ง "ถูกแล้ว ท่านนายพลคนนี้มีอกุศลกรรมติดมาแต่ชาติก่อน โดยเฉพาะเรื่องผิดศีลข้อกาเม จำไว้นะ คนที่ผิดศีลห้าต้องรับกรรมทุกคน คือถ้าผิดศีลมาจากชาติก่อน ชาตินี้ต้องมารับกรรม อาตมาวิจัยมาแล้ว ถูกต้องแน่นอน ไม่มีผิดพลาดเลย เป็นต้นว่า คนที่มีปาณาติบาตติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์จาก ชาติก่อน มาชาตินี้จะต้องอายุสั้น ถึงจะเกิดมาสวยมารวยอย่างไรก็จะอยู่ได้ไม่นาน จะต้องตายตั้งแต่อายุยังไม่ถึงครึ่งคน พวกที่อทินนาทานติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ มีทรัพย์สินเงินทองจะต้องถูกเขาลักขโมย บางทีก็ถูกปล้น เรียกว่าทรัพย์อยู่กับตัวไม่ได้ มันร้อน เพราะเคยไปลักไปขโมยของคนอื่นเขามา พวกที่กาเมสุมิจฉาจารติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ จะมีเมีย มีผัว ต้องเป็นของคนอื่นเขาหมด คือมีเมียๆ ก็มีชู้ มีผัวๆ ก็มีเมียน้อย" "มีเมียน้อยก็ดีนี่ครับหลวงพ่อ ผมว่าดีกว่ามีเมียมาก" พระบัวเฮียวอดขัดคอไม่ได้ ""มีเมียน้อยในที่นี้แปลว่ามีเมียมาก" ท่านพระครูกล่าวแก้ "แล้วมีเมียมากในที่นี้แปลว่าอะไรเล่าครับ" "อ้าว..ก็แปลว่ามีเมียน้อยไง ทำฉลาดน้อยไปได้" พระหนุ่มเลยเงียบไปได้ ท่านพระครูจึงเล่าต่อว่า "ส่วนคนที่มีมุสาวาทติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ มักถูกเขาหลอก พูดจาอะไรก็ไม่มีคนเชื่อถือถ้อยคำ สำหรับศีลข้อสุดท้าย อันนี้สำคัญมากเพราะกรรมมันตกทอดไปถึงลูก คนที่ผิดศีลข้อห้าคือสุราเมรยะฯ ถ้าติดมาหกสิบเปอร์เซ็นต์ มีลูกกี่คนๆก็จะปัญญาอ่อนหมด ถ้าไม่ถึงกับปัญญาอ่อนก็ไม่ฉลาด เรียนไม่ถึงขั้นปริญญา นี่อาตมาวิจัยมาหมดแล้ว ทีนี้มาต่อเรื่องนายพล อาตมาก็เห็นว่า...." "ขอประทานโทษเถิดค่ะ หลวงพ่อ หนูยังไม่เข้าใจศีลข้อสุดท้าย ว่าทำไมกรรมจะตกถึงลูก ก็แปลว่าทำกรรมแทนกันได้สิคะ" คุณนานดวงสุดาถามขึ้น "ไม่ใช่ยังงั้นหรอกคุณนาย เราทำกรรมแทนกันไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องของกรรมจัดสรร คือคนที่จะเกิดมาปัญญาอ่อนนั้นก็เพราะตัวเขาทำกรรมมาเอง ไม่ใช่พ่อแม่ทำให้ แต่กรรมมันจัดให้ไปเกิดกับคนที่ทำผิดศีลข้อห้า มันก็เลยดูเหมือนว่าทำกรรมแทนกัน แต่ที่จริงไม่ใช่ กรรมมันเพียงแต่ไปจัดสรรให้ไปประจวบกันเข้าเท่านั้น พูดแบบนี้คุณนายพอจะเข้าใจหรือยัง" "พอจะเข้าใจค่ะ นิมนต์หลวงพ่อเล่าเรื่องนายพลต่อเถิดค่ะ" ท่านพระครูจึงเล่าต่อไปว่า "อาตมาเห็นว่าท่านนายพลผิดศีลข้อสามติดมาจากชาติก่อน มีเมียห้าคนก็หนีตามชู้หมด อาตมาก็แกล้งลองใจโดยถามว่าแล้วภรรยาของท่านว่าอย่างไร เขาจะยอมให้แต่งกับเด็กคราวลูกคราวหลานหรือ ท่านก็โกหกอาตมาว่าท่านกับภรรยาหย่ากันแล้ว และบอกด้วยว่ามีภรรยาคนเดียว กำลังจะแต่งกับคนที่สอง คือคนที่อายุสิบหก อาตมาเลยพูดตรงๆว่าท่านอย่าโกหกอาตมาเลย ภรรยาท่านหนีตามชู้ไปใช่ไหม ท่านมีภรรยามาแล้วห้าคน ล้วนแต่หนีตามชู้ไปหมด ท่านต้องพูดความจริงอาตมาถึงจะคุยด้วย ถ้าโกหกก็เลิกพูดกัน ในที่สุดท่านก็ยอมรับว่าใช่ แล้วถามอาตมาว่ารู้เรื่องของท่านได้อย่างไร ใครเล่าให้ฟัง อาตมาก็ตอบว่าไม่มีใครเล่าให้ฟังหรอก อาตมารู้เอง ท่านก็เลยศรัทธา บอกอาตมาว่าอยากแต่งงานกับเด็กคนนี้ ขอให้อาตมาช่วยดูให้ด้วยว่าจะอยู่กันยืดไหม อาตมาก็บอกว่าอย่าแต่งเลย เพราะท่านมีกรรมข้อกาเมสุมิจฉาจารติดมา ถ้าแต่งก็จะเป็นเหมือนคนอื่นๆ อีก ท่านก็ขอให้อาตมาช่วย อาตมาก็บอกว่าไม่สามารถฝืนกฏแห่งกรรมได้ ก็ขอร้องให้ท่านล้มเลิกความตั้งใจ แต่ท่านไม่เชื่อ ก็ไปแต่งงานกับเด็กคนนั้นจนได้ แต่งงานได้สองปีก็เกษียณ ผู้หญิงก็มีชู้ ท่านก็ไม่โกรธ เพราะรู้ว่ามันเป็นกฏห่งกรรม ผู้หญิงเขาก็ทนอยู่ด้วยเพราะหวังสมบัติ จะรอให้ผัวตาย ว่างั้นเถอะ อยู่มาจนสิบสองปีนายพลก็ยังไม่ตาย เขาก็เลยขนเครื่องเพชรและของมีค่าอื่นๆหนีไปอยู่กับชู้เสียเลย นายพลก็เสียใจ นึกถึงอาตมาขึ้นมาได้ก็มาหา มาปรับทุกข์ แต่อาตมาก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ชวนให้มาเข้ากรรมฐานก็ไม่เอา นี่แหละ ฟังเอาไว้แล้วเก็บเอาไปคิดเป็นการบ้าน" ฟังแล้วผู้ที่นั่งอยู่ที่นั้นต่างพากันทอดถอนใจ ขณะเดียวกันก็คิดว่าพวกตนโชคดีที่มีโอกาสมาเข้ากรรมฐาน "แล้วนี่คุณนายจะกลับเลยหรือจะค้างวัดซักคืนสองคืน" ท่านพระครูถามคุณนายดวงสุดา "กลับเลยค่ะ คนขับรถเขารออยู่ เดี๋ยวจะให้เขาขนเสื้อผ้าของเตี่ยกับแม่มาให้ หลวงพ่อจะให้พักที่ไหนคะ" "โยมผู้หญิงให้พักกับแม่ชี ส่วนโยมผู้ชายให้พักกุฏิพระบัวเฮียว คุณนายไม่ต้องห่วง อาตมาจะจัดการให้เรียบร้อย" "เมื่อกี้หลวงพ่อเรียกพ่อแม่คุณนายดวงสุดาว่าเถ้าแก่กับอาม้า ไหงมาเปลี่ยนเป็นโยมผู้หญิงกับโยมผู้ชายเสียเล่าครับ" พระบัวเฮียวคิดจะถามท่านพระครูเช่นนี้ หากก็เกรงว่าจะถูกท่านย้อนให้เสียหน้าอีก จึงได้แต่คิดเท่านั้น คุณนายดวงสุดาหยิบซองสีขาวออกมาจากกระเป๋าถือ เพื่อถวายท่านพระครู "หนูขอถวายปัจจัยเป็นค่าอาหารเลี้ยงพระเณรและผู้มาเข้ากรรมฐานค่ะ" ท่านพระครูยื่นผ้ากราบออกไปรับประเคน คุณนายประเคนเสร็จก็ก้มลงกราบสามครั้งพร้อมกล่าวลา ก่อนลุกออกไปก็หันไปพูดกับบิดามารดาว่า "หนูไปละนะ ขอให้เตี่ยกับแม่ตั้งใจปฏิบัติ อย่าเกเรล่ะ แล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญไปให้หนูด้วย" พระบัวเฮียวรู้สึกว่าคุณนายดวงสุดาสอนพ่อแม่ราวกับสอนลูก เลยชักสงสัยว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นลูกกันแน่ คุณนายลุกออกไปสักประเดี๋ยว คนขับรถก็นำกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบมาส่งให้เถ้าแก่และภรรยา แล้วจึงกลับออกไป ท่านพระครูให้สองสามีภรรยาขึ้นกรรมฐานพร้อมกับนายจ่อยและคู่หมั้น โดยแม่ชีเจียนเป็นผู้กล่าวนำให้คนทั้งสี่กล่าวตาม ขึ้นกรรมฐานแล้วท่านพระครูแนะแนวทางแก่คนทั้งสี่ว่า ก่อนที่จะเริ่มต้นปฏิบัติ จำเป็นต้องรู้ปริยัติสักเล็กน้อยพอเป็นเค้า นั่นก็คือต้องเข้าใจความหมายของคำว่า จิต อารมณ์ และสติ เสียก่อน เพราะสามคำนี้มีความสำคัญมาก "พระบัวเฮียวช่วยอธิบายหน่อยซิ ว่าจิดคืออะไร" "จิตคือธรรมชาติรับรู้อารมณ์ครับ" พระบวชใหม่ตอบ "แล้วอารมณ์คืออะไร แม่ชีเจียนช่วยอธิบายสู่กันฟังหน่อยเป็นไร" ท่านถามแม่ชีเป็นการทดสอบไปในตัว "อารมณ์คือสิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยวค่ะ" แม่ชีตอบ "ถูกแล้ว อารมณ์ในที่นี่จึงมีความหมายแตกต่างไปจากความหมายที่ใช้กันโดยทั่วไป เพราะหมายถึงอารมณ์ 6 ซึ่งได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ และธรรมารมณ์ โยมสองคนพอจะเข้าใจที่อาตมาพูดไหม" "ม่ายเข้าจาย" เถ้าแก่เส็งตอบพร้อมกับส่ายหน้า ส่วนคุณกิมง้อเพียงแต่ยิ้ม "ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ปฏิบัติมากๆ แล้วจะรู้ได้เอง" ท่านพระครูให้กำลังใจ เพราะรู้ว่าผู้มีอายุสองคนนี้ต้องทำได้ และจะก้าวหน้ากว่าสองหนุ่มสาวที่นั่งทำตาปริบๆ อยู่ตรงหน้าท่านเสียอีก "เอาละ เมื่อเข้าใจความหมายของจิตและอารมณ์แล้ว ทีนี้ก็มาทำความเข้าใจกับคำว่า สติ สติแปลว่าความระลึกรู้ สติทำหน้าที่ผูกจิตไว้กับอารมณ์ ในพระสูตรให้ความหมายของสติว่าเป็นเครื่องผูกจิต" "ทำไมต้องผูกจิตไว้ล่ะจ๊ะหลวงน้า" นายจ่อยก็คิดจะถามเหมือนกัน พอดีคู่หมั้นถามเสียก่อน "ที่ต้องผูกจิตก็เพราะจิตมันไม่อยู่นิ่ง มันซัดส่ายไปหาอารมณ์โน้น อารมณ์นี้อยู่ตลอดเวลา การจะฝึกจิตให้ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์เดียว จึงต้องเอาสติมาผูกมันเอาไว้ เหมือนเวลาเราจะฝึกวัว เราก็ต้องใช้เชือกผูกวัวไว้กับหลักเสียก่อนจึงจะฝึกได้ สติจึงเปรียบเหมือนเชือก จิตก็คือวัว ส่วนอารมณ์ก็คือหลัก สติทำหน้าที่ผูกจิตไว้กับอารมณ์ ก็เหมือนเชือกทำหน้าที่ผูกวัวไว้กับหลัก ทีนี้เข้าใจหรือยังล่ะ" "เข้าใจครับหลวงน้า เข้าใจชัดแจ้งแจ่มแจ๋วเลยครับ" คนเลี้ยงวัวรีบตอบ "โยมสองคนล่ะ พอจะเข้าใจที่อาตมาพูดบ้างไหม" ท่านถามบิดามารดาของคุณนายดวงสุดา "พอเข้าใจค่ะ" คุุณกิมง้อตอบ ส่วนเถ้าแก่เส็งพยักหน้า จากนั้นท่านเจ้าของกุฏิจึงขึ้นไปเขียนหนังสือต่อยังชั้นบนของุฏิ แม่ชีเจียนพานางสาวจุกและคุณกิมง้อกลับไปฝึกเดินจงกรมที่สำนักชี ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านหลังวัด ท่านพระครูเคยเล่าให้แม่ชีฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ ส่วนที่เรียกว่าหลังวัดเคยเป็นหน้าวัดมาก่อนเพราะการไปมาต้องอาศัยเรือมาขึ้นฝั่งที่หน้าวัด ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนสายเอเซียผ่านด้านหลังวัด ผู้คนก็หันมาใช้ถนนแทนเรือ หลังวัดจึงกลายเป็นหน้าวัดไปโดยปริยาย พระบัวเฮียวสอนเดินจงกรมให้เถ้าแก่เส็งและนายจ่อยที่กุฏิท่านพระครูนั่นเอง เพราะกว้างขวางพอที่จะเดินได้ครั้งละหลายคน ส่วนกุฏิที่ท่านอยู่นั้นมีเนื้อที่พอเดินได้คนเดียวเท่านั้น คืนนี้ก็ต้องนอนกันถึงสามคน ก็คงจะอึดอัดกันสักหน่อย โชคยังดีที่เป็นหน้าหนาว ท่านพระครูสั่งนายสมชายให้นำผ้าห่มไปเพิ่มให้แล้ว สาธิตวิธีเดินจงกรมให้เป็นตัวอย่างแล้ว พระบัวเฮียวจึงให้คนทั้งสองลองเดิน เถ้าแก่เส็งตั้งอกตั้งใจเต็มที่และเดินได้ถูกต้องตามที่ครูสอน ส่วนนายจ่อยค่อยๆ จับๆ จดๆ สอนก็ยากจนครูออกจะหนักใจ ก็พอจะมองออกว่าอุปนิสัยไม่มาทางนี้ "หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่าการทำความดีต้องฝืนใจ อาตมารู้ว่าคุณไม่ชอบ แต่ในเมื่อคุณตั้งใจจะทำความดีแล้ว คุณก็ต้องพยายามฝืนความรู้สึกไปให้ได้" ท่านพูดเป็นการเป็นงาน เห็นพระเอาจริง นายจ่อยก็ชักกลัว อีกอย่างก็ชักจะรู้สึกอายคนแก่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างขมักเขม้น 'เอาละวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองตั้งใจทำดูหน่อยเป็นไร คงไม่ถึงตายหรอก น่า' นายจ่อยให้กำลังใ จตัวเอง แล้วก็เลยตั้งอกตั้งใจเดินเป็นอย่างดี ผู้แต่ง : ดร. สุทัสสา อ่อนค้อม หมวด Book Blog
Create Date : 24 มิถุนายน 2557
41 comments
Last Update : 24 มิถุนายน 2557 11:14:22 น.
Counter : 1912 Pageviews.
โดย: เนินน้ำ 24 มิถุนายน 2557 10:07:19 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 24 มิถุนายน 2557 21:40:55 น.
โดย: AppleWi 24 มิถุนายน 2557 23:52:47 น.
โดย: เนินน้ำ 25 มิถุนายน 2557 0:47:30 น.
โดย: mambymam 25 มิถุนายน 2557 22:46:49 น.
โดย: mambymam 26 มิถุนายน 2557 0:07:46 น.
โดย: พรไม้หอม 26 มิถุนายน 2557 10:47:51 น.
โดย: ดรสา 26 มิถุนายน 2557 21:36:42 น.
โดย: anigia 27 มิถุนายน 2557 19:34:47 น.
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 27 มิถุนายน 2557 20:33:13 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 27 มิถุนายน 2557 22:58:26 น.
โดย: Rhododendron (Opey ) 28 มิถุนายน 2557 0:31:42 น.
โดย: วนารักษ์ 29 มิถุนายน 2557 9:10:17 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 29 มิถุนายน 2557 13:16:05 น.
โดย: pantawan 30 มิถุนายน 2557 2:05:56 น.
โดย: mambymam 30 มิถุนายน 2557 8:05:04 น.
โดย: schnuggy 30 มิถุนายน 2557 17:05:39 น.
โดย: Armando (เตยจ๋า ) 1 กรกฎาคม 2557 4:52:02 น.
โดย: เนินน้ำ 2 กรกฎาคม 2557 10:53:43 น.
โดย: **mp5** 2 กรกฎาคม 2557 22:36:21 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
จัด ปะ ...
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
AppleWi Beauty Blog ดู Blog
กิ่งฟ้า Dharma Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Literature Blog ดู Blog