เวียงแว่นฟ้า - เดินตามรอยกรรม
<<
กันยายน 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
19 กันยายน 2557

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 23







สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม  -  บทที่ 23




เจ้าอาวาสวัดป่ามะม่วงกำลังฉันภัตตาหารเช้าอยู่ที่ชั้นล่างของกุฏิ ตั้งใจว่าฉันเสร็จจะขึ้นไปเขียนหนังสือต่อที่ชั้นบน แต่แล้วก็มีอันต้องเสียความตั้งใจ เมื่อชายหญิงคู่หนึ่งช่วยกันประคองถาดทองเหลืองเดินเข่าเข้ามาหา ในถาดมีก้อนหินสีนวลวางอยู่ เป็นหินรูปทรงไข่ไก่่ แต่มีขนาดใหญ่กว่าประมาณห้าสิบเท่าตัว

เมื่อเข้ามาในระยะหัตถบาส คนทั้งสองวางถาดลงแล้วก้มกราบท่านพระครูสามครั้ง

ฝ่ายชายถามว่า "หลวงพ่อคือท่านพระครูเจริญใช่ไหมครับ"
แทนคำตอบท่านพระครูกลับถามว่า "โยมมีธุระอะไรกับอาตมาหรือ"
"ครับ ผมชื่อมนตรี ภรรยาชื่อสุมาลี บ้านอยู่ช่องแคแต่ไปสอนหนังสืออยู่ที่ตาคลีครับ"
"อ้อ เป็นครู แล้วไปไหนกันมา ทานข้าวแล้วหรือยัง"
"ยังไม่หิวค่ะ" ครูสุมาลีตอบ
"ไม่หิวไม่ได้สิ ถึงเวลากินก็ต้องกิน สมชายพาแขกไปทานอาหารหน่อย" ท่านหันไปสั่งศิษย์วัด

ครูสองคนจึงต้องเดินตามนายสมชายไปยังโรงครัว ครู่ใหญ่จึงกลับมาที่กุฏิอีกครั้ง ท่านพระครูแปรงฟันบ้วนปากเสร็จแล้วและกำลังรออยู่

"เอาหินมาถวายอาตมาหรือจะเอามาให้ปลุกเสก"

ท่านถามยิ้มๆ คนสมัยนี้เชื่อถืออะไรต่ออะไรให้เปรอะไปหมด พระบางรูปถึงกับยึดอาชีพทำ 'ปลัดขิก' จำหน่ายจ่ายแจกประชาชน โดยอ้างว่าเป็นเครื่องรางของขลัง ผัวเมียคู่นี้อาจจะมาทำนองเดียวกัน ท่านคาดการณ์ล่วงหน้า

"จะเอามาถวายครับ หลวงพ่อกรุณารับไว้ด้วย หินก้อนนี้มีที่มาแปลก ถ้าผมเล่าให้ฟังท่านอาจจะไม่เชื่อ" ครูมนตรีพูดออกตัวไว้ก่อน

"ลองเล่าไปก่อนซิ แล้วอาตมาจะบอกทีหลังว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ"

ครูมนตรีจึงเริ่มเล่าว่า "ผู้ปกครองนักเรียนเขาเอามาให้เพื่อนผมซึ่งเป็นครูอยู่ที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องมีอยู่ว่าสองผัวเมียได้ไปทำไร่ที่ตำบลหนึ่งในอำเภอนั้น ไปปลูกกระท่อมอยู่ในป่า เมียเขาก็ไปเก็บหินมาสามก้อน จะเอามาทำเป็นเส้าก่อไฟหุงข้าว พอทำเสร็จก็ก่อไฟ ปรากฏว่าหินก้อนนั้นมันร้องได้ มันร้องว่า 'กูร้อน กูร้อน เอากูมาเผาทำไม เดี๋ยวกูจะหักคอมีง' สองผัวเมียจึงเอาหินก้อนนั้นออกแล้วไปหาก้อนใหม่มาแทน

รุ่งขึ้นอีกวันก็ลองเอาก้อนนี้มาทำเส้าอีก มันก็ร้องแบบเดียวกับวันก่อน เขาจึงเอาไปไว้หน้าหิ้งพระ ตกกลางคืนก็ไปเข้าฝัน ว่าอยากไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดป่ามะม่วง ขอให้พาไปด้วย สองผัวเมียไม่รู้ว่าวัดนั้นอยู่ที่ไหน จึงไม่ได้พาไป คืนที่สองก็มาเข้าฝันอีก ขอให้พาไปวัดป่ามะม่วง จะไปเรียนกรรมฐานกับท่านพระครูเจริญ คืนที่สามก็มาบอกอีก คราวนี้บอกที่ตั้งของวัดด้วย สองผัวเมียจึงมาเล่าให้เพื่อนผมฟัง และขอร้องให้เพื่อนผมช่วยจัดการให้ เพราะเขาไม่มีเงินค่าเดินทาง เพื่อนผมเขาไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ แต่ก็รับไว้เพราะสงสารสองผัวเมีย ซึ่งมีท่าทางทุกข์ร้อนและวิตกกังวลมาก

คืนแรกที่อยู่ที่บ้านเพื่อนผมก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน เพื่อนผมก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าฟังสองผัวเมียเล่าแล้วตัวเองก็เลยเก็บไปฝัน พอคืนที่สองก็มาเข้าฝันอีก เขาก็ชักเอะใจแต่ก็ยังไม่เชื่อ คืนที่สามก็บอกว่าพรุ่งนี้จะมีเพื่อนมาจากตาคลี ให้ฝากไปกับเพื่อน ถ้าไม่ฝากจะหักคอให้ตายหมดทั้งบ้าน คราวนี้เพื่อนผมชักจะกลัวๆ แต่ก็ยังไม่เชื่อและนึกไม่ออกว่าเพื่อนคนไหนจะมาหา เขาไม่เคยมีเพื่อนอยู่ตาคลี คือเขารู้แต่ว่าผมอยู่ช่องแค ทีนี้ช่วงนั้นผมไปเยี่ยมญาติที่เป็นนายอำเภออยู่ที่ลำปลายมาศ ผมจึงแวะเยี่ยมเพื่อนด้วย พอเขาเห็นผม เขามีท่าทางประหลาดใจมาก ถามว่าผมมาจากไหน พอผมบอกว่ามาจากตาคลี เขาถึงกับหน้าซีดแล้วเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง และขอร้องให้ผมเอาหินก้อนนี้มาด้วย เรื่องก็มีเท่านี้แหละครับ"

ระหว่างที่ครูมนตรีเล่า ท่านพระครูนิ่งฟังโดยไม่ซักถาม ต่อเมื่อผู้เล่าๆจบจึงถามขึ้นว่า "หินก้อนนี้มาอยู่ที่บ้านครูได้กี่คืนแล้ว"

"คืนเดียวครับ ผมมาถึงเมื่อวานตอนค่ำ รุ่งเช้าก็นำมาที่นี่เลย"
"แล้วเมื่อคืนมีใครมาเข้าฝันหรือเปล่า"
"ไม่มีครับ ไม่มีเหตุการณ์อะไร"
"แล้วครูเชื่อหรือเปล่า"
"ผมยังไม่เชื่อครับ แต่ถ้ามีคนมาเข้าฝันเหมือนอย่างที่เพื่อนผมเล่าก็อาจจะเชื่อ แล้วหลวงพ่อเล่าครับ เชื่อหรือเปล่า"

ก่อนตอบคำถาม ท่านพระครูใช้ 'เห็นหนอ' ตรวจสอบเสียก่อน แล้วจึงพูดว่า "อาตมาเชื่อ เท่าที่ฟังมาก็พอจะสรุปได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะอาตมาเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอยู่แล้ว" ท่านอธิบายโดยพยายามไม่ให้เป็นการ 'อวดอุตริมนุสสธรรม' "อาตมาคิดว่าหินก้อนนี้คงจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับที่เขานำมาสร้างปราสาทหินพนมรุ้ง และคงจะมีวิญญาณสิงอยู่"

"วิญญาณของผู้หญิงหรือผู้ชายคะหลวงพ่อ" ครูสุมาลีถามแล้วมองอย่างหวาดๆไปที่หินก้อนนั้น

"เข้าใจว่าเป็นผู้ชาย เป็นคนหนึ่งที่ช่วยสร้างปราสาทหินพนมรุ้งแล้วถูกหินตกลงมาทับตาย วิญญาณก็เลยสิงอยู่ในก้อนหิน ไม่ยอมไปไหน"

"แต่เพื่อนผมเขาบอกว่าสองผัวเมียไปพบในป่านะครับ" ครูมนตรีแย้ง

"ถูกแล้ว มีคนมาขโมยไปจากปราสาทหิน คงเป็นนักท่องเที่ยว เห็นรูปร่างแปลกๆ เลยขโมยไป แล้วก็คงจะถูกวิญญาณอาละวาด เลยเอามาทิ้งในป่า กระทั่งสองผัวเมียไปพบเข้า"

"แล้วทำไมเขาถึงอยากมาอยู่วัดนี้ล่ะครับ"
"เอ อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าครูอยากทราบอาตมาก็จะถามเขาให้เอาไหม" ท่านถามทีเล่นทีจริง

'บุรุษผู้มากับก้อนหิน' นั่งหมอบอยู่ต่อหน้าท่าน แต่ครูสองคนไม่เห็น แต่ถึงจะไม่เห็นก็เชื่อและกลัว จึงกล่าวปฏิเสธพร้อมกัน

"ไม่ต้องหรอกครับ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ"

"อ้าว อาตมาพูดกับเขาได้นะจะบอกให้"

ท่านพระครูพูดยิ้มๆ แล้วพูดกับผู้ชายที่หมอบอยู่ตรงหน้า แต่ในสายตาของครูสองคนดูเหมือนท่านกำลังพูดกับก้อนหิน

"เชิญอยู่ตามสบายนะ อยู่ที่กุฏิอาตมานี่แหละ แขกไปใครมาจะได้คอยต้อนรับ แล้วอาตมาจะสอนกรรมฐานให้"

แล้วท่านก็พยักหน้าช้าๆ พลางออกเสียง อ้อ..อ้อ เหมือนกำลังฟังก้อนหินพูด ครูสองคนมองหน้ากันพลางนึกในใจว่า 'หลวงพ่อรูปนี้ท่าจะเพี้ยน'

ท่านพระครูรีบหันมาแก้ว่า "อาตมาไม่ได้เพี้ยน อาตมากำลังพูดกับเขาจริงๆ ไม่เชื่อไปเอาหมอมาตรวจดูก็ได้ว่าอาตมาเป็นโรคประสาทหรือเปล่า"

คำพูดของท่านพระครูทำให้คนฟังงุนงงนัก ครูมนตรีคิดในใจว่า 'อ๋อ..พระอภิญญา หลวงพ่อองค์นี้ต้องได้อภิญญา'

"เขาวานอาตมาให้ช่วยขอบใจครู บอกว่าแล้วจะตามไปให้หวยที่บ้าน"

ครูสุมาลีตาเป็นประกายเพราะอยากรวย

"ตกลงผมพาเขามาถูกวัดแล้วใช่ไหมครับ" ครูมนตรีถาม ความข้องใจสงสัยปราสนาการไปหมดส้ิ้น

"ถูกแล้ว เขาพอใจมากทีเดียว น่าอนุโมทนานะ ตายไปแล้วยังอยากทำความดี คนเป็นๆเสียอีกกลับประมาทมัวเมาในชีวิต"

ท่านนึกไปถึงสมภารที่วัดฝั่งตรงข้าม แต่ครูมนตรีกลับคิดว่าท่านหมายถึงเขา จึงรีบออกตัวว่า "ครับ ต่อไปนี้ผมจะเลิกเที่ยวเตร่ เลิกเป็นคนสำมะเลเทเมาอย่างเด็ดขาด"

ครูมนตรีเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าที่แล้วๆมาเขาไม่ได้ทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบของลูกเมียเท่าไร่นัก

"สาธุ ขอให้ทำได้จริงๆเถอะ หนูขอนิมนต์หลวงพ่อเป็นพยานด้วยนะคะ" ครูสุมาลียกมือขึ้นสาธุ พร้อมกับอาราธนาท่านพระครูให้เป็นพยาน

"ตกลง อาตมาจะเป็นสักขีพยานให้ อ้อ..แล้วอาตมาขอบิณฑบาตอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องสูบบุหรี่ อยากให้เลิกเสีย เพราะมันมีแต่โทษ หาประโยชน์ไม่ได้เลย"

"ครับ ผมสัญญาว่าจะเลิกให้หมด" ครูหนุ่มรับคำด้วยศรัทธาในท่านพระครูยิ่งนัก
"ดีแล้ว เมื่อเลิกสิ่งไม่ดีได้ ต่อไปก็ให้เคร่งครัดในศีล รักษาศีลให้ได้ทั้งสองคนนั่นแหละ เอาแค่ศีลห้าก็พอ เมื่อศีลเพียบพร้อมก็จะได้มาฝึกสมาธิ ชีวิตจะได้เจริญรุ่งเรือง"

"ค่อยๆไปทีละขั้นไม่ดีหรือครับหลวงพ่อ มากเกินไปเดี๋ยวผมจะรับไม่หมด" ครูนตรีขอต่อรอง

"รับไม่หมดแน่ ถ้าครูไม่ฝืนใจ การทำความดีต้องฝืนใจนะครู ไม่งั้นก็ทำไม่ได้ นี่ครูยังโชคดีนะที่ได้คู่ดี ถ้าเขาไม่ดีคงทิ้งครูไปเสียนานแล้ว อย่าโกรธนะ อาตมาพูดตรงๆอย่างนี้แหละ" ท่านรู้ว่าบุรุษตรงหน้าอยู่ในข่าย 'สอนได้' จึงสอน

"ไม่โกรธหรอกครับ ผมจะโกรธผู้ที่หวังดีต่อผมได้อย่างไร เป็นบุญของผมเหลือเกินที่ได้มารู้จักหลวงพ่อ ปกติผมเป็นคนรั้น พ่อแม่สั่งสอนก็ไม่เคยเชื่อฟัง แต่น่าแปลกที่มาเชื่อหลวงพ่อได้ ก่อนนี้ผมไม่ค่อยนับถือพระสักเท่าไหร่"

"ทำไมเป็นยังงั้นล่ะ"

"ก็พระบางรูปทำให้ผมหมดศรัทธาน่ะครับ ขอประทานโทษ หลวงพ่อรู้จักหลวงตาอ้อนไหมครับ" เขาหมายถึงภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งกิตติศัพท์ในทางลบของท่านเป็นที่รู้จักกันดี

"รู้จักซิ ทำไมจะไม่รู้จัก ท่านออกดัง"

"นั่นแหละครับ ผมแทบจะเลิกนับถือพระก็เพราะหลวงตาอ้อนนี่แหละ ผมไม่เล่าดีกว่า เดี๋ยวหลวงพ่อจะหาว่าผมว่าพระว่าเจ้า"

ถึงครูมนตรีจะไม่เล่า แต่ท่านพระครูก็รู้ เพียงแต่ท่านอยากรู้ท่านก็รู้ได้ หากเรื่องนั้นไม่เกินความสามารถของ 'เห็นหนอ' ท่านพระครูรู้ว่าที่ครูมนตรีผิดใจกับหลวงตาอ้อนเพราะถูกยืมเงินแล้วไม่ได้คืน เป็นเงินค่อนข้างมากและที่สำคัญกว่านั้นคือ มันเป็นเงินที่ครูมนตรีไปขอยืมมาจากมารดาอีกทีหนึ่ง

"แต่เดี๋ยวนี้ผมนับถือพระแล้วนะครับ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าพระดีๆยังมีอยู่ นี่ถ้าไม่ได้มาพบหลวงพ่อ ความคิดเช่นนี้คงยังไม่เกิด" ครูมนตรีพูดอย่างจริงใจ

"ดีแล้วที่ครูคิดได้อย่างนี้ เพราะคนที่ไม่นับถืพระนั้ถือว่าบาปไปครึ่งนึงแล้ว"
"บาปยังไงคะหลวงพ่อ" ครูสุมาลีถาม

"บาปในแง่ที่ว่าจิตเป็นอกุศลน่ะสิครู" แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า "อาตมาขออนุโมทนาบุญด้วยที่ครูหันมานับถือพระอีก เท่ากับเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองเหมือนกัน ที่จริงคุณพ่อคุณแม่ของครูก็เป็นคนดีนี่นา ดีมากเสียด้วย ทำไมครูไม่เอาเยี่ยงอย่างท่านล่ะ จริงไหมครู" ท่านถามครูสุมาลี

"จริงค่ะหลวงพ่อ คุณพ่อคุณแม่เขาแสนจะดี ที่หนูยอมแต่งงานกับเขาก็เพราะคิดว่าเขาคงดีเหมือนคุณพ่อคุณแม่" เธอถือโอกาสเล่นงานสามี

"เอาละๆ ต่อไปนี้เขาจะเป็นคนดีแล้ว เรื่องเก่าอย่าเอามารื้อฟิ้น"

ท้านพระครูปรามเมื่อเห็นคนถูกว่าถลึงตาเข้าใส่ภรรยา พลางเถึยงในใจว่าก็ทำไมไม่แต่งงานกับพ่อแม่ฉันซะเลยล่ะ"

"ผมเห็นจะต้องกลับก่อนละครับ วันหลังจะหาโอกาสมากราบหลวงพ่ออีก"
"เจริญพร แล้วไม่ต้องไปทะเลาะกันนะ เลิกทะเลาะกันเมื่อไหร่ก็รวยเมื่อนั้น" ท่านชิงห้ามไว้ก่อนเพราะรู้ว่าคนคู่นี้ทะเลาะกันเป็นประจำ

"ค่ะ หนูเลิกทะเลาะกับเขาแล้วค่ะ" ครูสุมาลีตอบ เพราะอยากรวย

"อ้อ..ขับรถขับราอย่าให้เร็วเกินไป รู้สึกว่าครูชอบขับรถเร็วเป็นวัยรุ่นเลย" ท่านเตือนอีก

ครูมนตรีรู้สึกประหลาดใจที่ท่านรู้เกี่ยวกับตัวเขาไปเสียทุกเรื่อง ทำให้ความศรัทธาที่มีต่อท่านยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น

"นั่นสิคะ หลวงพ่อกรุณาช่วยปรามด้วยเถิดค่ะ หนูพูดเขาไม่เคยฟัง ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ" ครูสุมาลีถือโอกาสรายงานความประพฤติของสามีอีกครั้ง

"หลวงพ่อครับ ผมเบื่อคนช่างฟ้องจังเลย ไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหนดี" คนเป็นสามีพูดอย่างรำคาญ

"ครูก็อย่าทำให้เขาฟ้องนักสิ แล้วก็ไม่ต้องเอาไปทิ้งที่ไหนหรอก เก็บเอาไว้ให้ดีๆ ถ้าทิ้งเขาเรานั่นแหละจะแย่ นี่อาตมาพูดตามข้อเท็จจริงนะ ไม่ได้เข้าข้างครูผู้หญิง"

คนถูกเตือนเถียงแบบข้างๆคูๆ ว่า "ไม่แย่หรอกครับหลวงพ่อ ทิ้งแล้วผมก็ไปหาคนใหม่ รับรองว่าจะให้สวยกว่าผอมกว่าคนนี้ ผมทำได้จริงๆนะครับ"

"อาตารู้ว่าครูทำได้ แต่คุณภาพมันไม่เหมือนกันหรอกน่า ของเก่าน่ะมีค่ามากกว่า เหมือนเครื่องลายครามไง ยิ่งเก่ายิ่งแพง"

"แต่คนไม่ใช่เครื่องลายครามนี่ครับหลวงพ่อ โดยเฉพาะผู้หญิง ยิ่งเก่าก็ยิ่งแก่ ยิ่งแก่ก็ยิ่งพูดมาก พวกผู้ชายเราถึงให้สมญาพวกผู้หญิงว่าเป็นพวกแก่ง่ายตายยาก"

"ใช่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นเมียหลวง" ท่านรู้เท่าทันทำให้เขาเถึยงไม่ออก

"เอาละ ไม่ต้องไปหาคนใหม่ให้เหนื่อย คนนี้แหละดีแล้ว คนใหม่เขาจะมารักลูกของเราหรือก็เปล่า เชื่ออาตมาเถอะ แล้วก็เลิกทะเลาะกันเสีย เลิกได้เมื่อไหร่รับรองว่ารวยเมื่อนั้น อาตมารับรองให้รวยมาหลายคู่แล้ว"

ท่านพระครูพูดอย่างรู้ใจ เพราะธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนนั้น เรื่องร่ำรวยต้องมาก่อนเสมอ หลังจากนั้น 'ธรรมะ' จึงจะตามมา

"ค่ะ หนูจะเลิกทะเลาะกับเขาอย่างเด็ดขาด" ครูสุมาลีรีบตอบเพราะอยากรวย
"ผมกราบลาละครับ"

สองสามีภรรยากราบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้งแล้วจึงลุกออกมา เมื่อรถถึงถนนใหญ่คนขับก็แกล้งขับเหมือนเต่าคลาน

ภรรยาคิดว่ารถเสียจึงถามว่า "รถเป็นอะไรหรือคะคุณ"
"ไม่เป็นอะไรหรอก ก็คุณไม่ชอบให้ขับเร็ว ก็เลยขับช้าๆ"

คนตอบแกล้งยวนอย่างเห็นได้ชัด คนถามไม่พูดอะไรอีก นึกถึงคำพูดของท่านพระครูที่ว่าถ้าเลิกทะเลาะกันได้ก็จะรวย เธอจึงจำเป็นต้องนิ่ง มีใครบ้างที่ไม่อยากรวย

เห็นภรรยาไม่ต่อล้อต่อเถียง ครูมนตรีก็ชักจะรำคาญตัวเอง จึงเร่งความเร็วขึ้น แต่ก็ไม่เร็วเหมือนที่เคยขับ ด้วยระลึกถึงคำเตือนของท่านพระครู


วันพระเป็นวันที่ท่านพระครูไม่รับนิมนต์ไปข้างนอก เนื่องจากผู้คนจำนวนมากจะพากันมาที่วัดด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกันไป บ้างมาเพื่อถวายของ อาจเป็นข้าวปลาอาหารหรือปัจจัย บ้างมาเพื่อสนทนาธรรม บ้างก็มาเรื่องธุรกิจการทำมาหากิน และบ้างก็มาปรึกษาปัญหาชีวิต โดยเฉพาะเรื่องครอบครัว ซึ่งคนพวกหลังนี้ส่วนใหญ่จะมีอาการของ 'โรคประสาท' ติดมาด้วย พระบัวเฮียวให้สมญาคนพวกนี้ว่า 'พวกเอาปัญหามาให้พระ' และแม้งานจะยุ่งจนแทบหาเวลาว่างไม่ได้ หากท่านพระครูก็เมตตาพวกเขา รับฟังทุกเรื่องทุกปัญหาตลอดจนช่วยแก้ไข ช่วยแนะนำเท่าที่จะช่วยได้

ผู้ที่รับคำแนะนำของท่านไปปฏิบัติก็สามารถแก้ปัญหาได้ ส่วนพวกที่ไม่สันทัดการปฏิบัติก็เปลี่ยนไปวัดอื่น ที่เขาใช้วิธีการอื่นในการแก้ปัญหา เช่นรดน้ำมนต์ ปลุกเสกลงเลขลงยันต์ หรือแม้กระทั่งแจกเครื่องรางของขลัง บรรดาพวกผู้มีปัญหาก็มีอันต้องเสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมาก หากก็ไม่ได้ผลเพราะเป็นการแก้ที่ไม่ถูกวิธี

"หลวงพ่อครับ เป็นพระไปรับฟังปัญหาทางโลกได้หรือครับ" พระบัวเฮียวถามเชิงติติง

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ มันก็เป็นธรรมะเหมือนกัน คำว่า 'ธรรมะ' นั้นนอกจากจะหมายถึงคำสั่งสอนขงพระพุทธเจ้าแล้ว ยังหมายถึงธรรมชาติได้อีกด้วย เพราะสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนก็คือธรรมชาติ พระองค์ไม่ทรงสอนในเรื่องที่ไม่เป็นธรรมชาติ"

"แล้วธรรมชาติคืออะไรครับ คือผมอยากทราบความหมายที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา"

"ธรรมชาติก็คือสิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัยและเสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย คือเมื่อมีเหตุปัจจัยมาทำให้มันเกิดมันก็เกิดขึ้น เมื่อมีเหตุปัจจัยมาทำให้มันเสื่อมสลายมันก็เสื่อมสลายไป เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น เพราะเกิดจากการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย พระพุทธศาสนาไม่เชื่อว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นได้เองโดยปราศจากเหตุปัจจัย"

"อย่างกรรมก็เป็นเรื่องธรรมชาติใช่ไหมครับ"

"ถูกแล้ว ฉะนั้น..คนที่ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องผลของกรรม เขาก็ต้องถูกธรรมชาติลงโทษ เธอคงเห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าทางโลกกับทางธรรมไม่ได้ขัดแย้งกันแต่ประการใด การจะทำให้คนหันมาสนใจทางธรรม ก็ต้องช่วยเขาแก้ปัญหาทางโลกเสียก่อน เพราะถ้าจิตใจเขายังร้อนรนกระวนกระวาย เขาก็รับธรรมะไม่ได้ สมัยพุทธกาล เวลาที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ ก็ทรงช่วยแก้ปัญหาทางโลกให้เขาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องผิดวิสัยแต่ประการใดที่พระช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน แต่ก็ต้องแก้ให้ถูกจุด ต้องให้ตัวเองอยู่เหนือปัญหา อย่าลดตัวเองลงไปพัวพันจนกลายเป็นเรื่องเสื่อมเสียขึ้น"

"คือช่วยได้ แต่ต้องช่วยอย่างมีสติใช่ไหมครับ"

"ถูกแล้ว สติมีความสำคัญมาก การฝึกสติให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอจึงจำเป็น จะเรียกว่าจำเป็นที่สุดก็ได้ พระพุทธองค์ตรัสสอนว่าธรรมที่มีอุปการะมากคือ 'สติสัมปชัญญะ'

"แต่การฝึกสติก็ทำยากมากนะครับหลวงพ่อ ยิ่งฝึกก็ยิ่งรู้ว่ามันยาก นี่ผมก็ฝึกมาย่างเดือนที่สามแล้ว ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ก้าวหน้าสักเท่าไหร่"

"นั่นเธอรู้สึกไปเอง ที่จริงแล้วเธอก้าวหน้า ฉันรู้"

ฟังถ้อยคำของอาจารย์แล้วพระบัวเฮียวรู้สึกมีกำลังใจขึ้น แต่ก็อดจะพูดออกมาจากความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ว่า "ดูเหมือนผมยิ่งฝึก กิเลสมันก็ยิ่งเพิ่ม ดูท่าทางมันจะไม่ยอมหมดไปง่ายๆเลย"

"นั่นแหละฉันถึงบอกว่าเธอก้าวหน้า คนที่ไม่ฝึกเขาจะไม่รู้หรอกว่ากิเลสในตัวเขานั้นมีมากมายเพียงไร กิเลสมันมีทั้งอย่างหยาบและอย่างละเอียด ยิ่งละเอียดก็ยิ่งขจัดออกได้ยาก กิเลสอย่างหยาบเป็นกิเลสทางกายกับวาจา อันนี้ใช้ศีลชำระล้างออกได้ แต่กิเลสอย่างละเอียดต้องใช้การฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อปัญญาเกิดขึ้นจึงจะสามารถขจัดกิเลสอย่างละเอียด ซึ่งเป็นกิเลสทางใจออกไปได้ และปัญญาจะเกิดได้ก็ต้องทำให้จิตสงบเสียก่อน การฝึกสติก็เพื่อให้จิตสงบที่เรียกว่าการฝึกสมาธิ การปฏิบัติจึงต้องมีพร้อมทั้ง ศีล สมาธิและปัญญา ที่เรียกว่าการฝึกอบรมแบบไตรสิกขา"

"กิเลสอย่างละเอียดนี่ขจัดยากจังนะครับ"

"เธอเคยร่อนแป้งไหมล่ะ การร่อนแป้งนั้นร่อนเท่าไหร่ก็ยังมีกากเหลืออยู่ ไม่ว่าจะใช้ตะแกรงถี่ขนาดไหนและจะร่อนสักกี่ครั้ง ก็ต้องมีกากเหลืออยู่ทุกครั้ง เพราะกากนั้นมันจะละเอียดขึ้นๆ ตามจำนวนครั้งที่ร่อน การฝึกอบรมจิตก็เช่นเดียวกัน ยิ่งเราปฏิบัติละเอียดเท่าไหร่ กิเลสมันก็ละเอียดตาม การขจัดกิเลสให้หมดไปโดยสิ้นเชิง จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและต้องใช้ความเพียรสูง แต่ถึงจะยากสักเพียงใดก็ไม่เหนือความสามารถของมนุษย์ผู้มีความเพียรไปได้้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก จริงไหม"

"จริงครับ และวัดป่ามะม่วงก็มีพระอรหันต์แล้ว" พระบัวเฮียวตั้งใจ 'หยั่งภูมิธรรม' ของผู้เป็นอาจารย์

"อย่าพูดลามปามไป มันไม่ดี แล้วเขาไม่เรียก 'ออ-ระ-หัน' ที่ถูกต้องออกเสียงว่า 'อะ-ระ-หัน' จำไว้ ทีหลังจะได้ไม่เรียกผิดๆ ให้ผู้รู้เขาติเตียนได้"

"ครับผม ถ้าอย่างนั้นผมขอกราบลากลับไปกุฏินะครับ"
"อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ยังไม่ทันมีเรื่องเลยจะกลับเสียแล้ว" ท่านพระครูเย้า
"จะรีบไปร่อนแป้งครับผม"

ลูกศิษย์กราบแล้วจึงลุกออกไป






ผู้แต่ง  :  ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม













Create Date : 19 กันยายน 2557
Last Update : 19 กันยายน 2557 22:04:16 น. 24 comments
Counter : 1516 Pageviews.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
อุ้มสี Travel Blog ดู Blog
Close To Heaven Food Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

--------------------

การทำความดีต้องฝืนใจ ไม่งั้นก็ทำไม่ได้
เห็นด้วยเลยค่ะ เพราะความดีทำยากกว่าความไม่ดี

ขอบคุณนะคะ จะได้มีสติเตือนตัวเองเสมอ ๆ



โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 19 กันยายน 2557 เวลา:14:42:22 น.  

 
พระบัวเฮียวท่านก็ขำๆดี อ่านมาถึงท่านมักจะได้ยิ้มแทบทุกครั้ง


เติมกำลังใจค่ะ


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 19 กันยายน 2557 เวลา:19:25:13 น.  

 
เป็นนิทานธรรมะที่ดีมากนะครับ อ่านแล้วได้ข้อคิด
และอารมณ์ดีด้วย

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
สมาชิกหมายเลข 861805 Education Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog



โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) วันที่: 19 กันยายน 2557 เวลา:21:08:38 น.  

 
ชอบการเปรียบเทียบเรื่องร่อนแป้งค่ะ
แต่นิคนึกไปถึงการร่อนทรายเวลาก่อสร้างเลย

พระที่ไม่ค่อยอยู่ในพระวินัยก็พบเห็นบ้าง เป็นธรรมดา
แต่ไม่ไปมองเค้าจนเราหมดศรัทธาค่ะ
นิคคิดงั้นนะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Sweet_pills Food Blog ดู Blog
Tui Laksi Health Blog ดู Blog
haiku Art Blog ดู Blog
tuk-tuk@korat Music Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: ที่เห็นและเป็นมา วันที่: 19 กันยายน 2557 เวลา:23:13:48 น.  

 
ยังไม่ทันมีเรื่องเลยจะกลับเสียแล้ว ^^
งานเขียนให้ข้อคิดและแฝงอารมณ์ขันด้วยนะคะ

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต

secreate Food Blog ดู Blog
prizella Travel Blog ดู Blog
ชมพร About Weblog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
..................

นอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:0:35:01 น.  

 
มาติดตามอ่านต่อครับ
เวียงแว่นฟ้า Book Blog



โดย: moresaw วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:9:49:47 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
อ่านทีละนิดดีเหมือนกันค่ะ


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog




โดย: หอมกร วันที่: 20 กันยายน 2557 เวลา:20:38:04 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
ALDI Food Blog ดู Blog
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ป้าคาล่า Hobby Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

สุขสันต์วันหยุดนะครับ


โดย: puzzle man (เตยจ๋า ) วันที่: 21 กันยายน 2557 เวลา:8:13:07 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
phunsud Food Blog ดู Blog
คนบ้า(น)ป่า Home & Garden Blog ดู Blog
เตยจ๋า Dharma Blog ดู Blog
pantawan Health Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น

อรุณสวัสดิ์จ้ะ


โดย: Opey วันที่: 22 กันยายน 2557 เวลา:4:10:12 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ

สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านต่อค่ะ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Opey Art Blog ดู Blog
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
Tristy Food Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: pantawan วันที่: 23 กันยายน 2557 เวลา:0:14:19 น.  

 
มาโหวตครับ เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog


โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 25 กันยายน 2557 เวลา:23:33:30 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
มัลลิกา ป 402 Blog about TV ดู Blog
jamaica Home & Garden Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
เฉลิมลาภ ทราบแล้วเปลี่ยน Music Blog ดู Blog
Sweet_pills Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
--------------------
ทักทายยามเช้าขอรับ


โดย: ขุนเพชรขุนราม วันที่: 26 กันยายน 2557 เวลา:8:10:47 น.  

 
แวะมาเยี่ยมครับ ยังไม่เปลี่ยนหน้าเนอะ
ไว้กลับมาใหม่


โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) วันที่: 27 กันยายน 2557 เวลา:19:08:42 น.  

 
สวัสดีครับ

นาน ๆจะมีเวลามาเยี่ยมเยียนกันทีนะครับ งานมันมากอยู่

แต่ก็คงต้องหาเวลามาร่อนตะแกรงใฝ่ธรรมบ้างละครับ


โดย: find me pr วันที่: 28 กันยายน 2557 เวลา:18:48:18 น.  

 

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

เอากำลังใจมาฝากค่ะ


โดย: AppleWi วันที่: 30 กันยายน 2557 เวลา:22:11:40 น.  

 
แวะมาขอบคุณสำหรับโหวตค่ะ
ส่งยิ้มส่งกำลังใจให้คุณเวียงแว่นฟ้า จะได้มีแรงอัพบล็อกใหม่นะคะ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 1 ตุลาคม 2557 เวลา:19:47:08 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ยังไม่อัพบล็อกใหม่เหรอคะ



โดย: หอมกร วันที่: 2 ตุลาคม 2557 เวลา:8:37:02 น.  

 
มาติดตามอ่านต่อ ขอบคุณครับ

เวียงแว่นฟ้า Dharma Blog


โดย: Insignia_Museum วันที่: 2 ตุลาคม 2557 เวลา:21:25:25 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแว่นฟ้า


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Tristy Food Blog ดู Blog
pantawan Health Blog ดู Blog
blueberryblossom Photo Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ
ขอบคุณที่แวะไปฟังเพลงด้วยกันค่ะ




โดย: mambymam วันที่: 3 ตุลาคม 2557 เวลา:19:56:11 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเวียงแว่นฟ้า

ขอบคุณมากนะคะสำหรับกำลังใจให้ต๋า

นอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 4 ตุลาคม 2557 เวลา:23:34:43 น.  

 
จริงด้วยค่ะ การทำความดี ต้องฝืนใจนะคะ


บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ฟ้าใสวันใหม่ Home & Garden Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น




โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:19:08:25 น.  

 
แวะมาส่งความคิดถึงค่ะคุณแว่นเวียงฟ้า
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ไวน์กับสายน้ำ Diarist ดู Blog
ร่มไม้เย็น Dharma Blog ดู Blog
ญามี่ Education Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: เฉลิมลาภ ทราบแล้วเปลี่ยน วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:21:03:31 น.  

 
ทักทายวันออกพรรษา และขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 8 ตุลาคม 2557 เวลา:13:47:15 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่ะคุณแว่นเวียงฟ้า
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
ญามี่ Literature Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


โดย: jamaica วันที่: 8 ตุลาคม 2557 เวลา:21:01:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เวียงแว่นฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
[Add เวียงแว่นฟ้า's blog to your web]