1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
27 สิงหาคม 2557
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 21
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 21
เสียงด่าหมาแมวดังลั่นวัดแต่เช้า หลังจากวันที่นางบุญรับเข้ามาช่วยทำครัว บรรดาอุบาสกอุบาสิกาตลอดจนพระสงฆ์องค์เณร ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดป่ามะม่วง มีอันต้องกำหนด 'เสียงหนอ' วันละหลายครั้ง เพราะนางบุญรับสามารถด่าได้หลายเวลาต่อวัน พระบัวเฮียวกำลังนั่งสมาธิอยู่ก็มีอันต้องกำหนด 'เสียงหนอ' แทนการกำหนดพอง-ยุบ กำหนดอยู่นานก็ไม่อาจระงับความฟุ้งซ่านรำคาญใจลงได้ ไม่ชอบหน้าแม่ครัวคนนั้นเป็นทุนอยู่แล้ว ครั้นมาได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดแสบหูเช่นนั้นเข้าอีก ความไม่ชอบซึ่งเป็นโทสะอ่อนๆนั้นก็เพิ่มระดับขึ้นมาจนกลายเป็นความเกลียดชังและอาฆาตมาดร้าย พระหนุ่มรู้สึกเกลียดผู้หญิงที่ชื่อบุญรับ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง เกลียด เกลียดเหลือเกินแล้ว ในที่สุดท่านก็เลยนั่งกำหนด 'เกลียดหนอ' ไปจนถึงเวลาหกโมงเช้า ออกจากสมาธิแล้วจึงเตรียมตัวออกบิณฑบาต แม้จะเดินออกห่างวัดไปจนเสียงด่าตามมาไม่ถึง แต่ก้ยังรู้สึกว่ามันก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดเวลา จิตของท่านจึงถูกพยาบาทนิวรณ์เข้ากลุ้มรุมโดยที่เจ้าตัวมิทันได้ระแวดระวัง คิดเคียดแค้นชิงชังนางบุญรับไปตลอดทาง จนลืมกำหนด 'ขวา-ซ้าย ขวา-ซ้าย' ยามเยื้องย่าง เวลาเจ็ดนาฬิกาเศษ ท่านพระครูกลับจากบิณฑบาต กำลังเดินเข้าประตูวัดมา รถกระบะสีน้ำตาลคันหนึ่งก็วิ่งแซงหน้าท่านมาจอดที่ลานวัด ยังไม่ทันได้ดับเครื่อง เด็กหนุ่มผิวคล้ำหน้าตาคมสันก็ลงจากที่นั่งคนขับ ปีนขึ้นไปทางด้านหลังของรถ เปิดท้ายแล้ว 'ผลักด้วยเท้า' สุนัขสิบกว่าตัวที่ยืนหน้าสลอนอยู่ท้ายรถลงมาจนหมด ปิดท้ายรถเรียบร้อยแล้วจึงกระโดดลงมา ก้าวเข้าไปนั่งในที่นั่งคนขับแล้วออกรถ ท่านพระครูรีบโบกมือเรียก "ช้าก่อนพ่อหนุ่ม เดี๋ยวมาคุยกันก่อน พ่อหนุ่มเบรครถดังพรืด ยื่นหน้าคมคายออกมาถามว่า "มีอะไรหรือครับ" เขาไม่ได้ทำความเคารพ ซึ่งท่านพระครูก็เข้าใจและรู้ว่าเป็นธรรมเนียมของคนมุสลิม ที่จะไม่เคารพผู้ใดหรือสิ่งใดนอกจากพระเจ้าสูงสุดคืออัลลอฮ์เท่านั้น "มาจากไหนล่ะ เธอน่ะ ทำไมถึงได้ขนหมามาปล่อยที่วัดนี้" "ผมมาจากชะไว มะให้เอามาปล่อยเพราะมันกัดแพะ เจ้าหมาพวกนี้เราไม่ได้เลี้ยง มันมากันเอง มะให้เอามาปล่อย ผมเป็นมุสลิม คนมุสลิมเขาไม่เลี้ยงหมาครับ" เด็กหนุ่มอธิบาย 'มะ' เป็นคำมุสลิมใช้เรียกมารดาของตน "อ้อ..แล้วทำไมมาไกลถึงที่นี่ จากชะไวมานี่ก็ผ่านวัดมาเป็นร้อยๆ ต้องมาถึงที่นี่ให้เปลืองน้ำมันทำไมเล่า" "มะกำชับมาครับ บอกว่าให้เอามาปล่อยที่วัดป่ามะม่วง มันจะได้ไม่ถุกคนรังแก มะว่าเจ้าของวัดนี้เขาใจดี มันจะมีความสุขกว่าอยู่ที่อื่น ถึงมะจะเกลียดพวกมัน แต่ก็ไม่อยากเห็นมันถูกรังแกครับ" "อ้อ..ยังงั้นหรอกหรือ งั้นกลับไปบอกมะของเธอด้วยว่าหลวงพ่อวัดนี้ สั่งให้มาปล่อยอีกหลายๆคันรถ รับรองว่าอยู่วัดนี้แล้วปลอดภัย" ท่านตั้งใจประชดแต่เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ จึงตอบว่า "ครับ แล้วผมจะบอกมะตามนี้" พูดจบก็ออกรถอย่างเร็วโดยไม่ร่ำลา ท่านพระครูมองตามพลางส่ายหน้าช้าๆ วัดนี้ไม่รู้เป็นอะไร แมวมาหาหมามาสู่มิได้ขาด เมื่อวันก่อนก็มีคนเอาแมวใส่กระสอบซ้อนท้ายมอเตอร์ไซดิ์มาปล่อย จนวัดเกือบจะกลายเป็นที่อยู่ของสิงห์สาราสัตว์ไปแล้ว นายสมชายซึ่งหิ้วปิ่นโตเดินมาทันท่านที่ลานวัดพูดขึ้นว่า "เขาเอาหมามาปล่อยอีกแล้วหรือครับหลวงพ่อ ทำไมต้องมาปล่อยที่วัดนี้ด้วยก็ไม่รู้ วัดอื่นมีถมเถไปไม่เอาไปปล่อย" "เขาว่ามันจะได้ไม่ถูกรังแก" ท่านพระครูอ้าง 'เขาว่า' "ไม่ถูกยังไงได้ ยายบุญรับตีมันทุกวัน ผมงี้หนวกหูจะแย่แล้ว เมื่อไหร่ยายนี่จะไปๆเสียทีก็ไม่รู้" เขาบ่น ถึงกุฏิท่านสมภารก็วางบาตรลง แล้วจึงเข้าไปล้างมือล้างเท้าในห้องน้ำจนสะอาดหมดจด เช็ดให้แห้งก่อนลงมือฉันอาหารที่ลูกศิษย์วัดจัดสำรับไว้รอท่า ฉันเสร็จจึงเข้าไปล้างปากแปรงฟัน ซึ่งหมายความว่า 'สิ้นสุดการบริโภคสำหรับวันนี้' จากนั้นจึงมานั่งยังอาสนะประจำของท่าน รู้ว่าพระบัวเฮียวจะต้องมาให้สอบอารมณ์ "หลวงพ่อครับ ผมแย่แล้ว" ลูกศิษย์รายงานทันทีที่มาถึงและกราบอาจารย์แล้ว ทั้งๆที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ ท่านพระครูก็ต้องถามไปตามมารยาทว่า "แย่ยังไง ไหนว่าไปซิ" "ผมเกลียดยายบุญรับจนปฏิบัติไม่ได้ จิตมันตกจนดึงไม่ขึ้น ทำยังไงดีล่ะครับหลวงพ่อ" "นั่นแหละ พยายาทนิวรณ์กำลังครอบงำเธอ ทำไมไม่ใช้โยนิโสมนสิการขจัดมันเสีย ปล่อยให้ระรานอยู่ทำไม" คนเป็นศิษย์ไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร อาจารย์จึงขยายความต่อให้ "การละพยายาทนิวรณ์ต้องใช้โยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุติ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า....ภิกษุทั้งหลาย เจโวิมุติมีอยู่ การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเจโตวิมุตินั้น ไม่เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. ..ปฏิบัติก็เช่นการกำหนดนิมิตในเมตตาเป็นอารมณ์การประกอบเนืองๆ ซึ่งเมตตาภาวนา การพิจารณาถึงความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเองเป็นต้น" ท่านพระครูมองหน้าลูกศิษย์ รู้ว่ายังไม่เข้าใจ จึงถามว่า "จะต้องให้แจกแจงรายละเอียดไหม" "ดีเหมือนกันครับ เพราะผมรู้แต่หลักการ ส่วนรายละเอียดยังทราบไม่ซึ้งนัก" "งั้นก็ตั้งใจฟังให้ดี การเจริญเมตตาหรือการแผ่เมตตานั้น ลำดับแรกจะต้องแผ่ให้ตัวเองก่อน" "ทำไมต้องให้ตัวเองก่อนล่ะครับ ก็เราไม่ได้เกลียดตัวเอง เราเกลียดคนอื่นก็ควรจะแผ่ให้คนที่เราเกลียด" พระบัวเฮียวแย้ง ท่านพระครูจึงแถลงว่า "การที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้แผ่เมตตาแก่ตัวเองก่อน เพราะเท่ากับทำตัวเราให้เป็นพยานว่า ตัวเราเป็นผู้รักสุข เกลียดทุกข์ อยากอยู่ ไม่อยากตาย ฉันใด คนอื่นๆหรือสัตว์อื่นๆ ก็ฉันนั้น" "แต่ถ้าเราอยากตาย ไม่อยากอยู่ล่ะครับ" พระญวนเริ่มยวน ท่านพระครูปรามว่า "ขอที อย่าชักใบให้เรือเสีย ชอบออกนอกลู่นอกทางเสียเรื่อย" "ครับ ครับ ไม่ออกก็ได้ครับ นิมนต์หลวงพ่อเทศน์ต่อ ผมไม่ขัดแล้วครับ" เมื่อลูกศิษย์นิมนต์ อาจารย์จึงแสดงธรรมต่อไปว่า "โดยธรรมชาติแล้ว ไม่ว่าคนหรือสัตว์ต่างก็รักตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ดังมีพุทธพจน์แสดงไว้ว่า..บุคคลตามค้นไปด้วยใจตลอดทุกทิศ ก็มิได้พบผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนที่ไหนเลยฉันใด ตนของคนอื่นๆก็ย่อมเป็นที่รักของเขามากฉันนั้น เพราะฉะนั้น..ผู้รักตนเองจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น. .นี่แหละถึงต้องให้แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน ไหนเธอแผ่เมตตาให้ตัวเองเป็นหรือเปล่า ลองว่าให้ฟังสักหน่อยซิ" "หลวงพ่อจะเอาแบบบาลีหรือแบบไทยเล่าครับ" "เอาทั้งสองแบบนั่นแหละ" "งั้นก็เอาบาลีก่อนแล้วตามด้วยไทยนะครับ" พระหนุ่มกระแอมแก้เขินแล้วจึงท่องด้วยเสียงค่อนข้างดังว่า "อะหังสุขิโต โหมิ นิททุกโข โหมิ อะเวโร โหมิ อัพยาปัชโฌ โหมิ อะนีโฆ โหมิ สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ ขอข้าพเจ้าจงถึงซึ่งความสุขเถิด ขอข้าพเจ้าอย่าได้มีซึ่งความเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้มีควาทุกข์กายทุกข์ใจเลย ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีความสุข รักษาตนอยู่เถิด..." "ดีมาก จำแม่นดี เอาละ..เมื่อแผ่เมตตาให้ตัวเองเป็นอันดับแรกแล้ว จากนั้นจึงแผ่ไปในผู้อื่น ตั้งแต่บุคคลที่รักมาก บุคคลกลางๆ คือไม่รักไม่เกลียด ไปจนถึงบุคคลที่เป็นศัตรู แต่ถ้าแผ่เมตตาให้ศัตรูปแล้วเกิดโทสะขึ้น ให้ปฏิบัติตามวิธีระงับความโกรธที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ ซึ่งมีถึงเก้าวิธี" "แต่ถ้าใช้ทั้งเก้าวิธีแล้วยังไม่หายโกรธเล่าครับ" "ก็แสดงว่าคนๆนั้นกิเลสหนาตัณหามาก จนไม่อาจรับฟังคำสั่งสอนได้ ก็ตัดหางปล่อยวัดไป ถือว่าเป็นพวกบัวติดโคลนตม ที่เรียกว่า ปห-ปรมะ" "แล้วคนที่ไม่มีทางจะตัดจะทำอย่างไรดีครับ อย่างผมนี่ตอนเกิดแม่ไม่ได้ให้หางมาด้วย" พระญวณอดยวนไม่ได้ "บัวเฮียว รู้สึกว่าเธอจะถนัดเถลไถลเสียจริงเชียวนะ ฉันจะว่าเธอยังไงจึงจะเจ็บแสบ จะได้จดได้จำเสียที" ท่านพระครูว่า "ถ้าจะว่าใครให้เจ็บให้แสบก็ต้องว่า..เดี๋ยวเอามีดโกนปาดแล้วราดด้วยทิงเจอร์...รับรองทั้งเจ็บทั้งแสบเชียวครับ" พระบัวเฮียวเสนอแนะ ความสุขของท่านคือการได้ยั่วพระอาจารย์ อยากเห็นท่านโกรธ เพราะท่านไม่เคยโกรธให้เห็น เขาว่ากันว่าผู้เป็นพระอรหันต์จะไม่โกรธ หรือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ "งั้นฉันก็จะขึ้นไปเขียนหนังสือละนะ จะไม่บอกเธอหรอกว่าวิธีระงับความโกรธที่พระพทุธองค์ทรงสอนไว้มีอะไรบ้าง จะปล่อยให้เธอโกรธยายบุญรับ ให้เธอต้องถูกไฟโทสะแผดเผาให้ไหม้เกรียมกรอบเป็นปลาย่างไปเลย" ท่านพระครูต่อว่ายืดยาว แต่คนเป็นศิษย์ก็รู้วาอาจารย์ไม่ได้โกรธ เพราะหน้าท่านไม่บึ้ง เสียงของท่านก็ไม่เกรี้ยวกราดอย่างเสียงนางบุญรับ "แหมหลวงพ่อก็ ผมพูดเล่นๆ ก็ทำใจน้อยไปได้ นิมนต์สาธยายต่อเถิดครับ ผมไม่ยั่วแล้ว" "แน่นา เอาละ งั้นก็ตั้งใจฟังให้ดี การปฏิบัติเพื่อระงับความโกรธวิธีแรกคือให้ระลึกถึงโทษของความโกรธ ว่าความโกรธนั้นให้โทษด้วยประการต่างๆ หาคุณมิได้เลย ถ้าคนเขามาโกรธเราแล้วเราโกรธตอบ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนเลวเสียยิ่งกว่าคนที่โกรธก่อนนั้นอีก ผู้ไม่โกรธตอบคนที่โกรธคนก่อน ผู้นั้นได้ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะยาก ฉะนั้นถ้าเธอโกรธตอบยายบุญรับ ก็แปลว่าเธอเลวกว่ายายบุญรับเสียอีก ถ้าลองวิธีนี้แล้วยังไม่ได้ผลก็ให้ใช้วิธีที่สอง คือให้ระลึกถึงควาดีของเขา ธรรมดาคนเรานั้นว่าโดยทั่วไป คนแต่ละคนก็ต้องมีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดีอยู่ในตัว เราก็คิดถึงแต่ส่วนดีของเขา ส่วนที่ไม่ดีก็อย่าไปคิด ถ้าหาส่วนดีของเขาไม่ได้จริงๆ ก็ให้นึกสงสารเขา คิดเสียว่า...โธ่ น่าสงสาร ต่อไปคนๆนี้จะต้องประสบผลร้ายต่างๆ เพราะความประพฤติไม่ดีอย่างนี้ นรกรอเขาอยู่..เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็จะระงับความโกรธได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ก็ให้ลองวิธีที่สาม คือให้คิดถึงความจริงที่ว่าการโกรธคือการทำให้ตัวเองทุกข์ คนที่โกรธแล้วเป็นสุขนั้นไม่มีในโลก เมื่อคิดได้อย่างนี้เราก็ไม่โกรธ เพราะเรื่องอะไรจะไปทำให้ตัวเองทุกข์ จริงไหม" "จริงครับ แล้วถ้ายังไม่หายโกรธ จะทำอย่างไรอีกครับ" "ก็ใช้วิธี่ที่สี่ คือให้พิจารณาว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมที่มีความโกรธเป็นเหตุมันรังแต่จะทำความเสื่อมเสียให้ตัวเอง เพราะทั้งเราและคนอื่นๆต่างก็มีกรรมเป็นของตัวเอง เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่อาศัย เราทำกรรมใดไว้ก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น และกรรมที่เกิดจากความโกรธนั้นจะทำให้บรรลุความหลุดพ้นก็หาไม่ จะให้ได้ทิพยสมบัติหรือมนุษยสมบัติก็หาไม่ มีแต่จะทำให้ตัวเองตกต่ำลงไปจนถึงตกนรกหมกไหม้ เมื่อพิจารณาได้อย่างนี้แล้วก็ไม่ควรปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นในตัวเรา แต่ถ้ายังไม่หายโกรธก็ลองใช้วิธีที่ห้า คือให้พิจารณาพระจริยวัตรแต่ปางก่อนของพระศาสดา ว่าพระพุทธเจ้าของเราน้้น กว่าจะตรัสรู้ก็ได้ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายมาตลอดระยะเวลายาวนาน ได้ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยยอมเสียสละแม้แต่พระชนม์ชีพของพระองค์เอง เมื่อทรงถูกข่มเหงกลั่นแกล้งเบียดเบียนด้วยวิธีการต่างๆ ก็ไม่ทรงเคืองแค้น ทรงเอาดีเข้าตอบ ถึงเขาจะตั้งตัวเป็นศัตรูขนาดจะปลงพระชนม์ ก็ไม่ทรงมีจิตประทุษร้าย เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มีปรากฏในชาดก เช่นเรื่องมหาเวสสันดรโชดก เป็นต้น เธอสามารถไปอ่านเองได้ หัดอ่านเสียบ้างจะได้หูตากว้างขวางขึ้น ไม่ใช่ดีแต่ปากกว้างเอาแต่กินอย่างเดียว" ท่านแกล้วเหน็บแนมด้วยรู้ว่าคนเป็นศิษย์ 'ติดในรส'" "ครับ แล้วผมจะไปหาอ่าน ต่อวิธีที่หกเถิดครับ" พระบัวเฮียวไม่ต่อกลอน เพราะกลัวจะเข้าเนื้อมากขึ้น "วิธีที่หก ให้พิจารณาถึงการเกี่ยวข้องกันในวัฎสงสาร ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นพี่น้องชาย ไม่เคยเป็นพี่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดาของเรา มิใช่หาได้ง่าย... อันนี้ก็หมายความว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ จะต้องเคยเกี่ยวข้องกันมาในอดีตชาติ มิชาติใดก็ชาติหนึ่ง อย่างยายบุญรับก็อาจจะเคยเป็นแม่ พี่สาวหรือน้องสาวของเธอในอดีตชาติ ชาตินี้จึงต้องมาเจอกันอีก เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ควรใจร้ายต่อเขา" "แต่ถ้าเขาใจร้ายต่อผมเล่าครับ" "อันนั้นมันก็เรื่องของเขา ถ้าตัวเราไม่ผูกเวร เวรมันก็จะระงับลงได้ในส่วนของเรา ถ้าเขาโกรธเขาก็ทุกข์ ส่วนเราไม่โกรธเราก็ไม่ทุกข์" "ที่เรียกว่าตบมือข้างเดียวไม่ดังใช่ไหมครับ" "เอ อันนี้ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเพราะไม่เคยตบ ตั้งแต่บวชมานี่ยังไม่เคยตบมือ ไม่ว่าจะข้างเดียวหรือสองข้างก็ไม่เคย" ท่านพระครูนึกสนุกจึงพูดยวนกับคนญวณ "ดีแล้วครับ พลวงพ่อทำถูกแล้ว เป็นพระเป็นเจ้า ขืนตบมือตบไม้ ประเดี๋ยวศีลก็เปื่อยหมดเท่านั้น" "เอาละๆ พอแล้ว พูดเลอะเลือนลามปามไปมันจะไม่ดี ทีนี้ก็มาว่ากันถึงวิธีที่เจ็ด คือพิจารณาอานิสงค์ของเมตตา ความโกรธมีโทษ ก่อผลร้ายมากมายฉันใด เมตตาก็มีคุณก่อให้เกิดผลดีมากฉันนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรระงับความโกรธเสีย แล้วตั้งจิตเมตตาขึ้นมาแทน ให้เมตตานั่นแหละช่วยกำจัดและป้องกันความโกรธไว้ในตัว ผู้มีเมตตาย่อมสามารถเอาชนะใจคนอื่น ซึ่งเป็นชัยชนะที่เด็ดขาด ไม่กลับไปแพ้ ผู้ตั้งอยู่ในเมตตาได้ชื่อว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นพระพุทธองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ 11 ประการคือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดารักษา ไฟ พิษ หรือศาสตราไม่กล้ำกราย จิตเป็นสมาธิเร็ว ผิวหน้าผ่องใส ไม่หลงตาย และประการสุดท้ายคือเมื่อยังไม่บรรลุธรรมเบื้งสูง ก็จะได้ไปเกิดในพรหมโลกเป็นอย่างต่ำ" "แล้วถ้ายังไม่หายโกรธเล่าครับ" "ก็ให้ลองวิธีที่แปด คือพิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ วิธีนี้เป็นการพิจารณาระดับปรมัตถ์ เข้าใจยาก ฉันจะยังไม่อธิบายให้เธอฟังในตอนนี้ ให้เธอปฏิบัติได้สูงพอสมควรก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ตอนนี้พูดไปแล้วเธอก็คงไม่เข้าใจ เอาละ..ฉันจะรวบรัดไปถึงวิธีสุดท้ายเลย คือพิจารณาทำทานสังวิภาค การทำทานสังวิภาคคือการให้ของๆตนแก่ศัตรู และรับของๆเขามาเพื่อตน แต่ถ้าของๆ เขาไม่บริสุทธิ์ ก็พึงให้แต่ของๆ ตนฝ่ายเดียว ไม่รับของๆ เขา เมื่อทำเช่นนี้ ความอาฆาตในบุคคลนั้นจะระงับไป การให้เป็นวิธีแก้ความโกรธที่ได้ผลชะงัด สามารถระงับเวรที่ผูกกันมายาวนานให้สงบลงได้ เป็นเมตตากรุณาที่แสดงออกในการกระทำ พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงอานุภาพยิ่งใหญ่ของทานคือการให้นั้นว่า ...การให้เป็นเครื่องฝึกคนที่ยังฝึกไม่ได้ การให้ยังสิ่งประสงค์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ ผู้ให้ก็เบิกบานขึ้นมาด้วยการให้ ฝ่ายผู้รับก็น้อมลงมาพบด้วยปิยวาจา.. . นี่แหละการระงับความโกรธวิธีสุดท้าย เธอเห็นแล้วใช่ไหมว่าเสด็จพ่อของพวกเรา ท่านทรงสอนไว้ละเอียดละออลึกซึ้งยิ่งนัก เธออยากจะฟังเรื่องของพระสาวกรูปหนึ่งที่ไม่เคยผูกโกรธต่อผู้ใดเลย อยากฟังไหมล่ะ ฉันจะได้เล่า" "หลวงพ่ออยากเล่าหรือเปล่าเล่าครับ ถ้าอยากเล่าผมก็อยากฟัง" คนฟังมานานเริ่มยั่ว "ถ้าฉันไม่อยากเล่าล่ะ เธอจะว่าอย่างไร" คนเล่ายั่วตอบ "ถึงหลวงพ่อไม่อยากเล่าแต่ผมก็อยากฟัง งั้นหลวงพ่อเล่าเถิดครับ นิมนต์" พูดพร้อมกับประนมมือขึ้นนิมนต์ "เรื่องมีว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เชตวนาราม พระสาวกชื่อปุณณะได้เข้าไปกราบทูลขอให้ประทานโอวาท พระศาสดาจึงทรงแสดงธรรมให้ไม่เพลิดเพลินยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ แลธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ เมื่อดับความเพลิดเพลินได้ ทุกข์ก็ดับ พระปุณณะกราบทูลว่าท่านจะไปอยู่ชนบทชื่อสุนาปรันตะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าชาวสุนาปรันตะดุร้าย ถ้าเขาด่าว่าเธอจะทำอย่างไร พระปุณณะกราบทูลว่าข้าพระองค์คิดว่าด่าก็ยังดีกว่าทำร้ายด้วยมือ ตรัสถามว่าถ้าเขาทำร้ายด้วยมือจะทำอย่างไร กราบทูลว่ายังดีกว่าใช้ก้อนดินทำร้าย ตรัสถามว่าถ้าเขาใช้ท่อนไม้ทำร้ายจะทำอย่างไรกราบทูลว่ายังดีกว่าทำร้ายด้วยศัสตรา ตรัสถามว่าถ้าเขาทำร้ายด้วยศัสตราจะทำอย่างไร กราบทูลว่า ยังดีกว่าฆ่าด้วยศัสตราที่คม ตรัสถามว่าถ้าเขาฆ่าด้วยศัสตราที่คมจะทำอย่างไร กราบทูลว่า บุคคลบางคนยังต้องหาคนมาฆ่า แต่นี่ดีที่ไม่ต้องหา เขามาฆ่าให้เอง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาและตรัสอนุญาตให้พระปุณณะไปอยู่ชนบทที่สุนาปรันตะได้ พระปุณณะไปอยู่ ณ ที่น้ั้น ก็ได้แสดงธรรมให้พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตะชนบทกลับใจ แสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกาเป็นจำนวนมากภายในพรรษานั่นเอง และท่านเองก็ได้วิชชา 3 ภายในพรรษานั้นเหมือนกัน" เมื่อท่านพระครูเล่าจบ พระบัวเฮียวก็พูดขึ้นว่า "ผมจะจดจำเรื่องราวของพระสาวกรูปนี้ไว้เป็นอุธาหรณ์ จะพยายามทำให้ได้อย่างท่าน" "ดีแล้ว ฉันขออนุโมทนา และเชื่อว่าเธอต้องทำได้" พระบัวเฮียวถามต่อว่า "หลวงพ่อครับ การแผ่เมตตานั้น เราจะแผ่ให้สัตว์ด้วยได้ไหมครับ" "ทำไมจะไม่ได้ อย่าว่าแต่สัตว์เลย แม้แต่พืชก็แผ่ให้ได้ มีคนเขาทดลองทำมาแล้ว ได้ผลเกินคาดเชียวละ อย่างยายบุญรับนั่น ถ้าแกเปลี่ยนจากด่ามาเป็นแผ่เมตตา แกก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับหมากับแมวอย่างนั้น แกโกรธว่ามันขี้เรี่ยราดสกปรก ก็เลยไปด่าไปตีมัน หมาแมวมันก็มีจิตใจ ไปทำอย่างนั้นมันก็โกรธ เลยแกล้งขี้เลอะเทอะใหญ่ ขี้ตัวเดียวไม่พอ ยังไปชวนเพื่อนมันมาช่วยขี้ ถ้ายายบุญรับแผ่เมตตาให้มัน มันก็เลิกแล้วก็บอกให้เพื่อนมันเลิกด้วย" "มันเลิกขี้ก็ตายสิครับหลวงพ่อ" "ไม่ตายหรอก ฉันหมายถึงว่ามันเลิกขี้เรี่ยราด ไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่ให้สกปรกเหมือนทุกวันนี้" ท่านพระครูตั้งใจตอบ ทั้งๆที่รู้ว่าศิษย์ตั้งใจยวน "งั้นหลวงพ่อก็น่าจะสอนให้แกแผ่เมตตา ผมจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงด่าของแก" "ทำไมจะไม่สอน สอนจนไม่รู้จะสอนยังไงแล้ว แต่แกรับไม่ได้ อุตส่าห์ชื่อบุญรับ แต่ไม่ยักยอมรับสิ่งดีๆ ฉันจัดแกไว้ในพวก 'ทวนกระแส' คนบางคนสอนยาก คนที่มาวัดนี้ไม่ได้แปลว่าสอนง่ายหมดทุกคน" "มันเป็นไปตามกรรมที่เขาทำมาน่ะครับ" พระบัวเฮียวว่า "ทั้งทำมาทั้งทำไปนั่นแหละ ถึงกรรมที่ทำมาจะไม่ดี แต่กรรมที่จะทำต่อไปก็สามารถแก้ไขให้มันดีได้ แต่เขาก็ไม่ยอมแก้ไข คนพวกนี้นับวันจะมีมากขึ้น" "ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมของเขาใช่ไหมครับ" "ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เอาละถึงเวลาที่เธอต้องกลับไปปฏิบัติที่กุฏิแล้ว ฉันเองก็จะขึ้นไปเขียนหนังสือเหมือนกัน อย่าลืมแผ่เมตตาให้ยายบุญรับล่ะ" ท่านเตือน "ไม่ลืมครับ ฟังหลวงพ่อพูดผมก็หายโกรธไปตั้งครึ่งแล้ว ผมรับรองว่าจะกำจัดพยาบาทนิวนณ์ออกไปจากจิตให้ได้ ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูง ที่ช่วยชี้ทางสว่างให้ ผมไปละครับ" พระหนุ่มก้มลงกราบท่านสมภารสามครั้งแล้วจึงลุกออกมา ผู้แต่ง: ดร สุทัสสา อ่อนค้อม หมวด Book Blog
Create Date : 27 สิงหาคม 2557
23 comments
Last Update : 27 สิงหาคม 2557 13:41:38 น.
Counter : 1632 Pageviews.
โดย: nulaw.m (คนบ้า(น)ป่า ) 27 สิงหาคม 2557 22:29:37 น.
โดย: กระดาษหนึ่งใบเข้าใจชีวิต (Opey ) 28 สิงหาคม 2557 4:03:15 น.
โดย: พรไม้หอม 28 สิงหาคม 2557 9:21:07 น.
โดย: moresaw 29 สิงหาคม 2557 20:21:38 น.
โดย: mambymam 30 สิงหาคม 2557 0:28:27 น.
โดย: หอมกร 30 สิงหาคม 2557 9:57:11 น.
โดย: อุ้มสี 30 สิงหาคม 2557 16:14:47 น.
โดย: mambymam 2 กันยายน 2557 23:34:06 น.
โดย: หอมกร 3 กันยายน 2557 8:14:12 น.
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 3 กันยายน 2557 20:55:33 น.
โดย: pantawan 3 กันยายน 2557 23:39:00 น.
โดย: เนินน้ำ 5 กันยายน 2557 0:15:18 น.
เวียงแว่นฟ้า
!-- Stat ทำงาน วันที่ 26 กพ 55
แต่ต้องพรุ่งนี้มาอ่าน จองที่ไว้ก่อน
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
เริงฤดีนะ Movie Blog ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
anigia Parenting Blog ดู Blog
เวียงแว่นฟ้า Book Blog ดู Blog