การกลับมาของกองเรือดำน้ำแห่งราชนาวีไทย (1)
พ.ศ. 2453
ในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยมีแนวความคิดที่จะปรับปรุงกำลังรบทางเรือ ให้ทันสมัยขึ้น โดยมองเรือดำน้ำเป็นอาวุธสงครามทางเรือที่มนุษย์เพิ่งรู้จัก และเป็นอาวุธที่น่ากลัวมากที่สุด ด้วยความสามารถซ่อนพรางอยู่ใต้น้ำ สามารถวางตัวในน่านน้ำโดยไม่ถูกตรวจจับและมีตอร์ปิโดเป็นอาวุธสำคัญ พ.ศ. 247x
ต่อมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กองทัพเรือได้เสนอซื้อเรือดำน้ำ เพื่อใช้ในการป้องกันอ่าวไทยจำนวน 3 ลำ ในวงเงิน 800,000 บาท โดยผู้ประมูลได้คือ บริษัท Mitsubishi เสนอเรือดำน้ำขนาดกลาง ชั้น Kaichu รุ่น RO -33 จำนวน 4 ลำ พร้อมการฝึกอบรมในประเทศญี่ปุ่น
ระวางขับน้ำบนผิวน้ำ 374.5 ตัน น้ำหนักขณะดำ 430 ตัน ความยาวตลอดลำ 51 เมตร ความกว้างสุด 4.1 เมตร ความสูงถึงหลังคาหอเรือ 11.65 เมตร กินน้ำลึก 3.6 เมตร อาวุธมีปืนใหญ่ 76 มม. 1 กระบอก ปืน 8 มม. 1 กระบอก ตอร์ปิโด 45 ซม. 4 ท่อ เครื่องจักรใหญ่ชนิดดีเซล 2 เครื่อง ๆ ละ 8 สูบ กำลัง 1,100 แรงม้า เครื่องไฟฟ้ากำลัง 540 แรงม้า (ใช้เดินใต้น้ำ) ทหารประจำเรือ 33 คน ความเร็ว : ความเร็วมัธยัสถ์ 10 นอต รัศมีทำการ : รัศมีทำการ 4,770 ไมล์
6 พฤษภาคม พ.ศ. 2479 วางกระดูกงูเรือลำที่หนึ่งและสองที่อู่เมืองโกเบ 1 ตุลาาคม พ.ศ. 2479 วางกระดูกงูเรือลำที่สามและสี่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2479 ปล่อยเรือลำที่หนึ่งและสองลงน้ำ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 ปล่อยเรือลำที่สามและสี่ลงน้ำ
5 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เรือดำน้ำทั้งหมดออกจากน่านน้ำประเทศญี่ปุ่น ผ่านเกาะไต้หวัน และฟิลิบปินส์ โดยไม่อาศัยเรือพี่เลี้ยง 29 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เรือทั้งหมดเดินทางถึงประเทศไทย 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ขึ้นระวางประจำการ
เรือดำน้ำในกองทัพเรือไทยได้รับการตั้งชื่อตามตัวละครผู้มีอิทธิฤทธิ์ทางน้ำคือ 1. ร.ล.มัจฉาณุ 2. ร.ล.วิรุณ 3. ร.ล.สินสมุทร 4. ร.ล.พลายชุมพล
17 มกราคม 2484
เมื่อเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส เรือดำน้ำ 4 ลำได้ลาดตระเวน อยู่หน้าฐานทัพเรือของอินโดจีนฝรั่งเศส ใช้เวลาอยู่ใต้น้ำทั้งสิ้นลำละ 12 ชั่วโมง คือระหว่าง 06.00 น. ถึง 18.00 น. ส่วนกลางคืนแล่นลาดตระเวนบนผิวน้ำ
พ. ศ. 2488
เมื่อโรงไฟฟ้าสามเสนและวัดเลียบถูกระเบิดทิ้งระบิดจนเสียหาย ทำให้กรุงเทพขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ผู้จัดการไฟฟ้ากรุงเทพ ฯ ทราบว่า เรือดำน้ำจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ จึงขอร้องมายังกองทัพเรือ ให้ ร.ล.มัจฉาณุ กับ ร.ล.วิรุณ ไปเทียบท่าบริษัทบางกอกด๊อก ทำการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้รถรางสายหลักเมือง ถนนตก วิ่งได้
นอกจากนี้สัมพันธมิตรยังโปรยทุ่นระเบิดแม่เหล็กปิดเส้นทางเรือเอาไว้ ทำให้เรือรบและเรือสินค้าต้องหยุดนิ่ง ในขณะนั้น ร.ล.พลายชุมพล และ ร.ล.สินทมุทร ซึ่งออกปฏิบัติราชการไม่สามารถเดินทางกลับกรุงเทพได้ จึงต้องแวะที่เกาะสีชัง จนกว่าจะทำการกวาดทุ่นระเบิดแม่เหล็กเสร็จเรียบร้อย
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือดำน้ำเหล่านี้ชำรุดทรุดโทรมไปตามอายุขัย และที่สำคัญคือไม่สามารถจัดหาแบตเตอรี เพื่อให้คงสภาพการเป็นเรือดำน้ำได้ เพราะไม่สามารถสั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นฝ่ายแพ้สงครามและถูกยึดครอง
30 พฤศจิกายน 2494
เรือดำน้ำรุ่นแรกของราชนาวีไทยทั้งหมดถูกปลดประจำการ กองทัพเรือได้ขายให้โรงงานเหล็กท่าหลวง บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย เพื่อเอาไปหลอมทำเป็นเหล็กเส้น บางส่วนของเรือเหล่านี้ยังคงไปชม ได้ทิ่พิธภัณฑ์กองทัพเรือ จังหวัดสมุทรปราการ
Create Date : 25 เมษายน 2554 |
|
2 comments |
Last Update : 17 สิงหาคม 2554 22:38:14 น. |
Counter : 1275 Pageviews. |
|
|
แวะมาเจิมบอกขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ