ข่าวช็อก.....น้องที่โดนรุ่นพี่ซ่อมที่โรงเรียนเตรียมทหารเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่า......โอ้ว....
จริงๆได้ข่าวมาตั้งแต่แรกๆแล้ว
แต่ไม่ได้สนใจ
คิดๆอยู่ว่า เมื่อไหร่มันจะจบจะสิ้นสักที ข่าวแบบนี้
คิดต่อไปถึงระบบอำนาจ....บลาบลาบลา
แต่ก็ยังไม่ได้สนใจจริงจัง
จนได้รับเมลมาบอกข่าว...
น้องที่ตาย เป็นน้องสภาโรงเรียนเรา
เอ่อ...อึ้ง...
ตอนแรกจำน้องไม่ค่อยได้
ต้องคิดไปนานๆ ถึงจะนึกออก
แล้วก็เอาชื่อจริงน้องไปเซิร์ชในเน็ตดูอีกที
เฮ้ย ใช่จริงๆด้วย
กระบวนการความคิดเพื่อที่จะดึงความทรงจำเกี่ยวกะน้องออกมาจากหัว
ทำให้คิดถึงโรงเรียนเก่าขึ้นมา
ต้องเล่าก่อนว่าโรงเรียนเราแปลกๆนิดนึง
คือมีเด็กมอห้าเป็นพี่สภา(นักเรียน) มีหน้าที่จัดการกิจกรรมนักเรียนทั้งหมดในปีนั้น
เช่น งานเดินขึ้นดอยสุเทพ กีฬาสี เชียร์และแปรอักษรในงานกรีฑาจังหวัด
และอื่นๆ
ส่วนน้องที่เข้ามอหนึ่งมาในปีนั้นก็จะอยู่ในความดูแลของพี่มอห้า ประมาณว่าจับเป็นคู่ปีไป เช่น เราเป็นสภารุ่นสามเอ็ด น้องสภาเรารุ่นสามห้า เป็นต้น
โรงเรียนเราก็ไม่ใหญ่โต เด็กแต่ละชั้นมีไม่เกินสองร้อย
ส่วนมากจะรู้จักกับเกือบทั้งโรงเรียน (ฮา)
เด็กมาใหม่ กะคนจัดการ มันก็ต้องใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่า
เหมือนมีความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ
นี่พี่สภาเรานะ....
นี่น้องสภาเรานะ....
ข้างบนพูดไปเรื่องเชียร์และแปรอักษร
เหมือนเป็นสิ่งที่แอบพิเศษนิดนึง
คาดว่าเพราะโรงเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย รั้วอะไรก็ไม่มี อาจารย์ที่สอน(เมื่อก่อน)ก็ไปยืมนักศึกษามา
คนเดินผ่านโรงเรียน ก็มีแต่นักศึกษา
เลยทำให้เราเองพอมาอยู่โรงเรียนนี้แล้วรู้สึกว่าโตขึ้น
เหมือนเป็นนักศึกษา
นักศึกษามีระบบ SOTUS มีร้องเพลงเชียร์ มีระบบว้าก
เราก็มี...นะเออ...
โดยพี่สภาก็จะสอนน้องสภา สอนกันไป เป็นรุ่นๆ
นั่งในห้องเรียน ถอดนาฬิกา หลังตรง มองมาข้างหน้า
มีสต๊าฟท์หน้าสอนร้องและควบคุมบรรยากาศภายในห้อง
สต๊าฟข้างแปดคนเป็นคนร้องเพลง แล้วก็เตือนน้องๆ เวลามีคนร้องกินแรง(อ้าปากพะงาบๆเฉยๆ)
น้องตบมือไม่ถูก ร้องเร็วไป ช้าไป ร้องเบา(ซึ่งก็ต้องเตือนบ่อยๆ ถึงร้องดังแล้วก็เหอะ)
แล้วก็มีสต๊าฟว้าก อยู่ข้างหลัง
จำไม่ได้แล้วว่าทำไมเราได้เป้นสต๊าฟหน้า ปกติสต๊าฟหน้ามักจะรักเด็ก ร้องเพลงแม่น
ซึ่งไม่ค่อยจะใช่เราเท่าไหร่
เหตุผลที่นึกออกตอนนี้คือ...สงสัยดูโหดดี
เด็กๆสมัยนี้โตเร็ว ข้อมูลข่าวสารมากมาย
เค้าไม่กลัวบรรยากาศห้องเชียร์อีกต่อไป
แต่เค้ากลัวเจ๊หน้าห้อง
ฮา
น้องที่เสียไม่ใช่น้องห้องที่เรารับผิดชอบ
แต่เราเคยไปสอนร้องเพลง เหมือนกับตอนนั้นมีเรื่องต่อต้านห้องเชียร์มั้ง
เค้าเลยให้สลับสต๊าฟหน้ากัน
ถึงไม่รักเชียร์ แต่สอนกันทุกวัน มันก็ผูกพัน
เราว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ ที่คนที่สอนเราคนแรก จะยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราเสมอ
ตอนเราอยู่มอสอง แล้วต้องเข้าห้องเชียร์อีกทีกับพี่รุ่นถัดมา
ก็รู้สึกว่า....พี่สภาเราดีกว่าเป็นไหนๆ
เราเองก็ไม่ได้สอนดีอะไรมั้ง แต่พอน้องๆเจอคนอื่นแปลกหน้าแปลกตา
เค้าก็ยังอยากได้เราเหมือนเดิม
เหมือนห้องน้องที่เสีย
เหมือนมีการต่อต้านด้วยนะ ตอนพักก็ไม่ยอมคุยกะเรา
(หาว่าเราโหด
)
จำน้องคนที่เสียได้ก็ตอนนี้ละมั้ง ตอนน้นยังเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอยู่เลย
แต่หน้าตาซนมากๆ ตอนน้นถามกันใหญ่ ว่าเราจะมาสอนห้องนี้ถาวรรึเปล่า
อยากได้พี่สต๊าฟชุดเก่าคืน
มันรู้สึกแปลกๆเวลาเห็นชื่อคนที่รู้จักอยู่ในหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะข่าวไม่ดี
มันอึ้งๆ หวิวๆ แล้วความทรงจำเกี่ยวกับคนนั้นก็เริ่มโผล่ขึ้นมาในหัว
ถึงแม้ว่าความทรงจำพวกนั้นมันจะน้อยนิดก็ตาม
กลับมาพูดถึงอำนาจรุ่นพี่
มีคนต่อต้านตลอดว่าเรื่องว๊าก เรื่องรับน้อง มันเกี่ยวกะการทำให้รักกันตรงไหน
เราว่ายังไงมันก็มีผล
ถึงจะขึงขังยังไง ออกจากบรรยากาศนั้นมาเราก็เป็ฯพี่เป็นน้อง เป็นอะไรที่สนิทขึ้น
รู้ไส้รู้พุง รู้ว่าตอนที่อยู่ในหน้าที่จะโหดนะ แต่ปกติก็คือปกติ
ไม่ปฏิเสธเลยว่าระบบพวกนี้ ถึงมันจะโหดร้ายบ้าง แต่มันทำให้ความเป็นปัจเจกลดลง
กลายเป็นความผูกพัน
นึกถึงตัวเองตอนมอหนึ่งที่ตอนแรกโคตรเกลียดเสียงพี่สต๊าฟว้ากคนหนึ่ง
แต่ตอนหลังๆ นั่งลุ้นตลอด เพราะอยากฟัง ฮา
ตัวหลักการมันโอเคอยู่แล้ว
แต่ปัญหามันก็เกิดตลอด...เรื่องทำเกินเหตุ
กรณีน้องคนนี้ก็เหมือนกัน
เพราะทำเกินเหตุ มันถึงเกิดเรื่อง
เพราะตัวบุคคล ไม่ใช่เพราะหลักการ
เพราะใจคนมันเปลี่ยน เวลามีอำนาจเข้ามาอยู่ในมือ
มีอำนาจสั่งแล้วจิตสำนึกมันลดลง
มันคะนอง มันคิดน้อย และมันไม่คิดถึงคนอื่น
สุดท้ายก็ต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อ
เราไม่อยากว่าพวกคนที่ผิด
เพราะลองคิดดู...ตอนนี้พวกนั้นคงเหมือนตกนรก
และก็จะถูกเรื่องนี้หลอกหลอนไปตลอดชีวิต
อยากให้เรื่องนี้ทำให้เกิดจิตสำนึก
แค่คนมีจิตสำนึก เรื่องแย่ๆก็ไม่เกิดดอก
เรื่องอำนาจและจิตสำนึก
น่าเบื่อว่ะ
หลับให้สบาย ฝันดีนะแฟรงค์