สากฏิโก โดย บุญวรรณี : นิยายอิงตำนานล้านนาและเมืองหริภุญชัย
ไม่ได้อัพบล็อก "ห้องสมุดส่วนตัว" เสียนาน ได้เวลาปัดฝุ่นกรุ๊ปบล็อกนี้บ้าง อ่านหนังสือจบไปหลายสิบเล่ม แต่ไม่ค่อยได้มารีวิวบอกต่อกันเลย
เล่มแรกของปี 61 ที่นำมาบอกต่อกันนี้ ประเดิมด้วย.. นิยายอิงประวัติศาสตร์หรือนิยายพีเรียด เป็นแนวที่ จขบ.นิยมชมชอบอ่านมากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุภาษาพูดและเขียน สวยงามไพเราะเพราะพริ้งกว่านิยายทั่วไป
แถมยังได้ความรู้จากเนื้อหาที่ได้อ่านมากกว่าความบันเทิง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเลือกนักเขียน เพราะมีความมั่นใจในคุณภาพของเรื่องราวที่เอามาอ้างอิง ไม่ใช่พีเรียดที่นักเขียนมโนเอาเองโดยไม่มีเค้ามูลความจริง
สำหรับนิยายอิงประวัติศาตร์ล้านนา ที่จะพูดถึงนี้ เป็นนิยายเล่าเรื่องราวของโอรสองค์เล็กของเจ้าแม่จามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งเมืองหริภุญชัย ปัจจุบันคือจังหวัดลำพูน เป็นบ้านพี่เมืองน้องของเมืองเชียงใหม่
มีเพื่อนสนิทแนะนำให้อ่าน ก็เลยลองหามาอ่านดูค่ะ
สากฏิโก โดย บุญวรรณี
หนังสือทำมือ 2 เล่มจบ 1,084 หน้า ราคา 700 บาท
สากฎิโก เป็นเรื่องราวของโอรสฝาแฝดของพระนางจามเทวี โดยมีโอรสองค์เล็กของพระนางจามเทวี "เจ้าราชบุตรอนันตยศ" เป็นผู้ดำเนินเรื่องราว
เริ่มจาก อนันตยศเจ้าราชบุตร ได้ฝันถึงหญิงสาวนางหนึ่ง ต้องการความช่วยเหลือถึงสามวันสามคืนติดกัน เลยมีจิตมุ่งมั่นที่จะออกตามหา โดยใช้เกวียนเป็นพาหนะในการเดินทาง จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่องนี้
สากฏิโก ในภาษาบาลีหมายถึง ผู้เที่ยวไปด้วยเกวียน สาวงามที่เจ้าราชบุตรอนันตยศ ฝันถึงสามวันสามคืนติด จนไม่อาจหักห้ามใจได้นั้น
ดั่งเดือนกลางฟ้า เจิดจ้ากลางใจ งามเนตรสว่างใส แจ่มหล้า วงพักตร์ดุจอุทัย ไขแสง นาแม่ จักดำดินแหวกฟ้า ตามหานางเดียว
จึงดั้นด้นออกตามหาจนได้เจอหญิงสาวในฝัน ซึ่งเป็นราชธิดาของเมืองสาแก๋ ที่เจอเหตุเภทภัยของบ้านเกิดเมืองเมืองเกิดจนต้องปลอมตัวเป็นชายหนีหลบหนีออกนอกเมือง จนได้เจอกับเจ้าราชบุตร ด้วยบุพเพสันนิวาสของทั้งสองคน
ทั้งสองหนุ่มสาวได้ฝ่าฟันอันตราย อุปสรรคนานับประการ จนกระทั่งได้เสกสมรส และได้ปกครองเมืองเขลางคนคร หรือ ลำปางในปัจจุบัน
ตลอดการเดินทางของเจ้าราชบุตรอนันตยศจนกระทั่งได้เจอหญิงสาวในฝัน คุณบุญวรรณี ได้นำเอาเรื่องราวของตำนานล้านนาต่าง ๆ มาสอดแทรกดำเนินเรื่องราว ระหว่างเดินทางของเจ้าราชบุตรอนันตยศได้อย่างกลมกล่อม
ไม่ว่าจะเป็น ตำนานฤาษีสร้างเมือง พระนางจามเทวี ขุนวิลังคะ พญาช้างพู้ก้ำงาเขียว เจ้าหลวงสุวรรณคำแดง เสือเยน และมีเรื่องให้ตื่นเต้นอื่นอีกมากมาย
และได้เห็นถึงคนไทยสมัยอดีตกาล แบ่งออกเป็นหลายชนเผ่า อาทิเช่น
เงี้ยว หมายถึง ชาวไทใหญ่ ลื้อ หมายถึง ชาวไทลื้อ เม็ง หมายถึง ชาวมอญ โยน หมายถึง ชาวไทยวน ลัวะ หมายถึง ชาวลัวะ
นอกจากได้รู้เรื่องราวของตำนานล้านนาต่าง ๆ แล้ว นิยายเรื่องนี้ได้สอดแทรกคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ โดยเน้นเรื่องศีล อันเป็นเกราะกำบังความชั่วร้ายให้กับตัวเอกของเรื่อง
ศีลเปรียบได้ดั่ง อาภรณ์ ฤาพัสตราภรณ์ ห่มไว้ ศีลย่อมสะท้อน แจ่มแจ้ง จักงามฤาทรามได้ ด้วยศีลประดับตน
ศีลเปรียบประดุจ อาวุธ แม้มิได้สัปยุทธ ห้ำหั่น เป็นเกราะช่วยหยุด ยั้งภัย นาพ่อ ใครจักตัดบั่น มุ่งร้ายได้ฤา
:: :: ::
อ่านแล้วสนุกค่ะ แรก ๆ ค่อนข้างอ่านยากไปหน่อย ภาษาที่ใช้เขียนนิยายเรื่องนี้ ส่วนใหญ่เล่าเป็นภาษาพื้นเมืองปะปนคำศัพท์โบราณ แต่ก็ไม่ยากที่จะทำความเข้าใจเพราะมีแปลไว้ท้ายหน้าประกอบด้วย
หากไม่ใช่คนเหนือหรือพอรู้ภาษาเหนืออยู่บ้าง อ่านช่วงแรกอาจจะรู้สึกติดขัด เข้าใจคำยากอยู่ แต่อยากให้คิดซะว่า.. เป็นกำไรของผู้อ่าน ที่นอกจากจะได้รู้ตำนานของล้านนาแล้ว ยังได้เรียนรู้คำเมืองอีกด้วย
เนื่องจากเป็นหนังสือทำมือ อาจหาอ่านยากสักนิด ถ้าใครต้องการอ่านแล้วหาไม่ได้ ลองติดต่อนักเขียน "คุณบุญวรรณี" โดยตรงค่ะ
:: :: ::
เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2560 จขบ.ไปเที่ยว สวนพฤกษาศาตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ไปเดิน Canopy Walks ทางเดินเหนือเรือนยอดไม้ แล้วเจอจุดที่เกี่ยวพันกับเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญเป็นอย่างยิ่ง
ในตำนานของจามเทวีวงศ์ ช่วงหนึ่งมี ขุนวิลังคะ ตกหลุมรักพระนางจามเทวี ได้เพียรส่งฑูตมาสู่ขอพระนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ถูกพระนางจามเทวีปฎิเสธทุกครั้งไป
ขุนวิลังคะก็ไม่ยอมแพ้ ต่อมาได้ส่งคนมาสู่ขอพร้อมกับท้าประลอง ด้วยความที่เป็นคนมีวิชาอาคม จึงท้าประลองว่าหากตนเองพุ่งหอกจากยอดดอยสุเทพ ให้ตกลงกลางเมืองหริภุญชัยได้ พระนางจามเทวีต้องเสกสมรสด้วย
พระนางจามเทวีจึงใช้อุบายทำให้ตบะของขุนวิลังคะได้เสื่อมลง ทำให้ขุนวิลังคะไม่สามารถเอาชนะพระนางตามที่ได้ท้าประลองไว้ จึงเสียใจเป็นอย่างยิ่ง การพุ่งหอกครั้งที่สามจึงโยนหอกให้ตกลงที่หน้าอกของตัวเองจนเสียชีวิต
ขุนวิลังคะได้ขอให้นำร่างของตัวเองมาฝังไว้ที่ขุนหลวง เพื่อจะได้มองเห็นเมืองหริภุญชัยตลอดเวลา แต่ตอนที่นำร่างขุนวิลังคะไปฝังนั้้น โลงศพได้คว่ำตกลงจากเกวียนตรงดอยหนึ่ง
ดอยนั้นจึงได้ชื่อว่า ดอยม่อนคว่ำหล้อง มาจนถึงทุกวันนี้ และจากจุดหนึ่งบนทางเดิน Canopy walks สามารถมองเห็น ดอยม่อนคว่ำหล้อง ในประวัติศาสตร์จามเทวีวงศ์อย่างชัดเจน
คำว่า "คว่ำหล้อง" หมายถึง โลงศพพลิกคว่ำ เสียดายวันที่ไปมัวแต่ถ่ายรูปป้ายอธิบาย ไม่ได้ถ่ายรูปดอยม่อนคว่ำหล้องมาให้ชมกัน ไว้คราวหน้าเนอะ (รู้สึกติดไว้หลายงานเหลือเกิน)^^
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2561 |
|
49 comments |
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2561 21:04:15 น. |
Counter : 3484 Pageviews. |
|
|
|
กำลังเดินทาง
ไว้ถึงที่หมายเค้ามาอ่านอีกทีค่ะ