ไม่ใช่บอกใบ่ไปแทงเลขเด็ดนะคะ มานเปนอายุที่เหมือนกับมากก็จริง แต่ในความเป็นจริงผู้เขียนว่าผู้เขียนหน้าจะยังเด็กอยู่นา...เพราะความคิดความอ่านของลูกหลานบางคนในblogแห่งนี้ ยังดีกว่าผู้เขียนอยู่เยอะเลย คงเป็นเพราะเป็นลูกคนสุดท้องมังคะ และคนอื่นๆ(หมายถึงในครอบครัวผู้เขียน)เค้าเกิดมาเค้าก็ล่วนแต่ลำบากกันมาทั้งนั้น ส่วนผู้เขียนเกิดมาก็สบาย...มาเลย เพราะพ่อแม่เริ่มมีรับประทานขึ้นมานิ้ดดดนึง ถ้าจะลำบากก็คงจะเป็นเพราะ ชอบหาเรื่องใส่ตัวเองนั่นละเป็นประจำ...ที่สำคัญดั้นนน...ทามให้คนรอบข้างเค้าพลอยลำบากยุ่งยากไปด้วยนี่ซี มันหน้าเบิร์ดตัวเองจริงๆสาเหตุที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวก็คือ ความอยากที่จะสร้างความภาคภูมิใจ ให้กับครอบครัวและตัวเองนี่ละ แต่ก็แทบจะไม่เคยสำเร็จอะไรซักอย่าง จะดูดีมีประโยชน์ที่สุดในชีวิต ก็คงจะเป็นเรื่องการดูแลแม่ในยามแก่เฒ่านี่ละค่ะ
ได้อยู่ใกล้ชิดแม่ เนื่องจากแม่ในตอนนั้น อายุก็เจ็ดสิบกว่าจะแปดสิบแล้ว เริ่มช่วยตัวเองไม่ค่อยได้แล้ว เพราะสะโพกแม่หักต้องใส่เหล็กข้างใน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องหยุดงานทุกอย่าง เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดแม่(ที่จริงช่วงนั้นทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จซะอย่าง ไม่รู้ว่าถ้างานประสบความสำเร็จ ผู้เขียนจะได้อยู่ปนนิบัติแม่มั้ยเนียะ!) ผู้เขียนได้ช่วยแม่ทุกอย่างไม่ว่าจะหาอาหารการกินให้แม่ อาบน้ำแต่งตัวให้แม่ แม้แต่เวลาแม่จะถ่ายหนักเบา ผู้เขียนก็เป็นคนทำความสะอาดให้แม่ทุกอย่าง ซึ่งเป้นความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ไปที่ไหนผู้เขียนจะคุยตลอด ก็มันภูมิใจน่ะ ไม่รู้สึกรังเกียดเลยได้เทกระโถนล้างกระโถนให้แม่ ผู้เขียนได้ดูแลแม่จนแม่ ได้จากไปเมื่ออายุแปดสิบเจ็ด
ทุกวันนี้ไม่มีวันใดเลยที่จะไม่คิดถึงแม่ โดยเฉพาะวันที่15 ธันวาคม ของทุกๆปี เพราะชีวิตหนึ่งต้องเจ็บปวดทรมานมาก ส่วนอีกชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสเป็นคนสำคัญ ของชุมชนเล็กๆ ณ.หมู่บ้านบางคอทู่ และได้เป็นขวัญใจของชุมชนแห่งนั้น
ตอนเล็กๆพอวันที่15 ธันวาคมเมื่อไร แม่จะเป็นคนเตรียมอาหารคาวหวาน และดอกไม้ธูปเทียนให้ผู้เขียนใส่บาตร จำได้ว่ากับข้าวแม่จะทำไม่แกงวุ้นเส้น ก็ผัดวุ้นเส้น ขนมก็จะเป็นฝอยทองตลอด แม่บอกว่าอายุจะได้ยืนยาว และร่ำรวยเงินทอง แม่จะเตรียมให้เท่ากับอายุบวกอีกหนึ่ง ก็คือถ้าอายุสิบขวบก็ใส่บาตรสิบเอ็ดองค์ สมัยก่อนพระมีเยอะผู้เขียนได้ใส่จนถึงอายุประมาณสิบสองสิบสามมังคะ แต่พอต่อๆมาพระเริ่มน้อยลงก็ได้ใส่เก้าองค์ และต่อมาพระก็ยิ่งน้อยลงหนักเข้าไปอีก ก็เลยได้ใส่ห้าองค์ ซึ่งบางปีก็ไม่ได้ใส่บาตรแต่ได้ถวายสังฆทานแทน
และสังฆทานก็จะเป็น อาหารที่ปรุงขึ้นมาเอง ไม่ไปซื้อแบบเป้นกระป๋องๆ ที่เค้าจัดไว้แบบสมัยนี้ ต้องมีอาหารคาวห้าอย่าง ของหวานห้าอย่าง หรือของหวานสามอย่างและผลไม้อีกสองชนิด และมีดอกไม้ธูปเทียน พร้อมด้วยปัจจัยเป็นเงินทำบุญ ตามอัตภาพก็จะทำสององค์หรือสามองค์ โดยไปทำที่วัด ซึ่งที่จริงแล้วสมัยก่อน จะใช้นิมนต์ที่หน้าบ้าน แต่มาปัจุบัญ พระบางองค์ท่านพรรษาน้อย ท่านรับไม่เป็น ที่บ้านผู้เขียนเลยต้องไปทำที่วัด โดยไปบอกกับลูกศิษฐ์วัด และเค้าก็จะไปนิมนต์พระที่รับเป็น มารับสังฆทาน ที่ผู้เขียนจัดไปถวายให้เรียบร้อย
ตอนเล็กๆก่อนใส่บาตร แม่ก็จะสอนให้จบข้าวพระ และอฐิฐานให้เป็นเด็กดี เรียนหนังสือเก่งๆเป็นที่รักของคนทั่วไป แต่พอโตขึ้นๆผู้เขียนก็เป็นคนจัดหาเอง ก็ยังคงทำอย่างที่แม่สอนไว้ แต่จะอฐิฐานใหม่ว่าบุญกุศลทั้งหลายที่ได้ทำในครั้งนี้ ขออุทิศให้แม่และพ่อ ให้แม่และพ่อได้รับแต่ความสุข และสงบไม่ว่าชาติใดภพใดก็ตาม และขอให้ได้เกิดเป็นลูกของแม่และพ่ออีกทุกๆชาติไป...สาธุ
ผู้เขียนและป้าจิ๋มญาติผู้น้อง ตอน..เล็กๆ..
ป้าจิ๋มและผู้เขียน ตอน..โตขึ้นมาโหน่ยย..
คุณตาทรัพย์และคุณยาย(หารูปคุณยายไม่เจอ)เป็นเพื่อนบ้าน ที่ดูแลผู้เขียนตอนพ่อแม่ไปทำงาน และเป็นคนสอนกิริยามรรยาทให้ผู้เขียนตอนเล็กๆ(แต่พอโตแล้วกลับซุ่มซ่ามแฮะ!..)
เรียนประถมและมัธยมที่รร.สตรีประชากรถ่ายกับป้าต้อยญาติผู้น้อง
เรียนที่พระนครใต้ รร.พาไปที่พระราชวังบางประอิน
บรรดาเพื่อนๆซึ่งบางคนเป็น ครูบาอาจารย์กันแทบทั้งนั้น(เพื่อนคนไหนที่บังเอินผ่านเข้ามาในblogแห่งนี้ และจำได้อย่าลืมเข้ามาทักทายกันบ้างน้า...)
ถ่ายกับป้าอ๊อด ป้าขาวที่ข้างสระน้ำ หน้าวิทยาลัยเทคนิกกรุงเทพ ในขณะนั้น
ณ.ที่รร.อนุบาลอรจิตต์เมื่อประมาณสิบเจ็ด สิบแปดปีที่แล้ว(จากซ้ายค่ะ) ครูเหมียว ป้าแต๋ว ผู้เขียน ครูปุ้ม ครูติ (เป็นอดีตไปแล้ว...เสียดาย ก็สายเสียแล้ว!...)
เปิดเผยตัวจริงแล้วจ้า...คนหนายผู้เขียน คนหนายป้าแมว...ครายทายถูกให้...จอ๋งบากกก...