ประมุขแห่ง...บางคอทู่...ผู้เผด็จการ....
"พ่ออุ่มและแม่เอม"...ของพวกเรา...
วันนี้พักเรื่องป้าแมวไว้ก่อนน้า ขอเล่าเรื่องของ "ประมุข"ของบ้านเราก่อนนะคะ...
ถ้าพ่อเรียนสูงกว่านี้
. ประโยคนี้มีสองความหมายสำหรับคนสองคน
สำหรับคนเป็นพ่อ...เหอ!..เหอ!..เหอ!.. ใบหน้าร้อนผ่าว ควันออกหู...อูย!... พูดไปได้ไงเนียะ ระเบิดลงทันทีเลย นี่แกดูถูกชั้นนี่ ไม่ใช่ชั้นเหรอ แกถึงได้มีวันนี้น่ะ! จะแก้ตัวไงล่ะ เพราะคนพูดน่ะไม่ได้คิดจะดูถูกพ่อเลยซักนิด ที่จริงคนพูดน่ะต้องการจะสื่อ ให้พ่อได้รู้ว่าพ่อช่างเก่งมากๆ ขนาดพ่อเรียนจบแค่ชั้นประถมปีที่สามนะ แต่พ่อได้อบรมสั่งสอนลูก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือการเล่าการเรียนก็ตาม พ่อทำได้ดีเยี่ยมมากๆเลย เพราะฉะนั้นถ้าพ่อได้เรียนสูงกว่านี้ คนที่พูดคงจะไม่ใช่จบแค่ปริญญาโทเพียงอย่างเดียวแน่ๆ และผู้ที่พูดประโยคนี้ก็คือป้าแมวน่ะเอง เอาละซีบ้านที่อบอุ่น เลยกลายเป็นอุ่นจัดไปเลย ที่จริงเหตุการณ์นี้ผู้เขียนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอกค่ะ ป้าแมวเป็นคนเล่าให้ฟังเอง
พ่อเป็นคนที่หัวโบราณพอสมควร แต่พ่อก็เห็นความสำคัญ ของการศึกษาเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้าเรื่องการเรียนแล้วละก็ พ่อจะสนับสนุนเต็มที่ เนื่องจากว่าพวกเราป้าแมวและผู้เขียน ไม่ใช่เป็นคนที่มีรูปลักษณ์งดงาม ดังนั้นพ่อจะสอนให้ป้าแมวเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง สอนให้ยืนด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาใครดังนั้น ป้าแมวจึงได้ดำเนินชีวิตตามที่พ่อได้วางไว้ บวกกับความทะเยอทะยานของตัวเองด้วย พ่อสอนว่ารูปลักษณ์นั้นเป็นสังขาร สักวันก็ต้องเสื่อมโทรม แต่สติปัญญาความรู้นั้น จะติดตัวเราไปจนลมหายใจสุดท้าย
ตามที่เคยเล่ามาแล้วว่าป้าแมวและผู้เขียน มาจากครอบครัวที่ยากจน ต้องอาศัยยูในห้องแถวในกรมทหาร แต่พ่อก็ดิ้นรนหางานทำทุกอย่าง เริ่มจากเป็นคนงานในกรมช่างแสง ต่อจากนั้นก็มีญาติผู้น้องของพ่อ มาชวนให้ไปทำงานที่โรงงานยาสูบ ในแผนกช่างกลโรงงาน ซึ่งพ่อก็ทำด้วยความขยันขันแข็ง ตั่งแต่เป็นคนงานจนได้เป็นหัวหน้าช่าง พ่อไม่ได้ทำแต่กลางวันเพียงอย่างเดียว วันใดถ้ามีงานพิเศษ(โอ-ที)พ่อจะทำทันที เพราะนั่นหมายถึงค่าแรง ที่จะได้เพิ่มขึ้น "การทำงานของพ่ออุ่มที่โรงงาน..."
ผู้เขียนจำได้ว่าวันไหนพ่อทำโอ-ที คืนนั้นพ่อจะกลับดึกมาก แต่ทุกคืนที่พ่อกลับบ้านมา พ่อจะมีก๋วยเตี๋ยวราดหน้ามาฝากพวกเราทุกคน ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วจะรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ในขณะนี้(ที่กำลังเขียนอยู่) ผู้เขียนจะเห็นภาพห่อก๋วยเตี๋ยว ที่ใช้ใบตองสดวางบนกระดาษหนังสือพิมพ์ ที่ห่อเป็นรูปทรงปีรามิตและผูกด้วยเชือกกล้วย นึกแล้วก็ให้เกิดความหิวเสียนี่กระไร
พ่อจะไม่เคยบอกพวกเราเลย ว่ารักเราแค่ไหนและ เข้มงวดกับพวกเรา(พวกเราในที่นี้ก็คือ แม่ ป้าแมว พีชาย และผู้เขียน)ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งผู้เขียนเองคิดว่าพ่อนี่ช่างเผด็จการเสียจริงๆ ลับหลังพ่อผู้เขียนจะพูดเสมอว่า พ่อปกครองพวกเราด้วยระบอบบิดาธิปไตร(บาปจริงๆเลยยย...) ตอนผู้เขียนเล็กๆพ่อจะตามใจทุกอย่าง แต่พอค่อยๆโตขึ้นพ่อก็เริ่มเข้มงวดขึ้นทีละน้อยๆ
เริ่มตั่งแต่ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ ผู้เขียนเกเรไปโรงเรียนแต่ไม่ยอมเรียนเต็มวัน พอพักเที่ยงก็ร้องกลับบ้าน(โรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน) จนคุณครูต้องให้พี่ชายพากลับบ้าน ดังนั้นพ่อจึงพาไปเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นโรงเรียนสตรีล้วน ชื่อว่าโรงเรียนสตรีประชากร ตรงนี้ผู้เขียนงอแงไม่ได้แล้ว เพราะโรงเรียนอยู่ไกลบ้าน ด้วยความที่คิดว่าเราเป็นคนโปรดของพ่อ บางวันผู้เขียนโดนคุณครูดุ พอกลับมาบ้านก็คิดว่าพ่อต้องเข้าข้างเราแน่ๆ ที่ไหนได้กลับโดนพ่อดุซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งทำให้ผู้เขียนเริ่มสับสน และเริ่มสงสัยว่าพ่อรักเราจริงหรือเปล่า "ดนตรีที่พ่อรักมาก..."
เรื่องเผด็จการของพ่อยังไม่หมด ถ้ามีโอกาสผู้เขียนจะนำมาเล่าต่อในคราวหน้า แต่ถึงอย่างไร ทุกวันนี้ที่พวกเราประสพความสำเร็จได้ ในจุดหนึ่งซึ่งมาจากการอบรมสั่งสอนของพ่อ พ่อสอนให้รู้จักการอดออม โดยพ่อจะให้ผู้เขียนและพี่ชายหัดเก็บเงิน เพื่อฝากออมสินในวันเสาร์ทุกเสาร์ครั้งละห้าบาท (จำได้ว่าทองสมัยนั้นบาทละประมาณไม่เกินห้าร้อย) ไม่ใช่ว่าพ่อให้พวกเราหัดฝากเงินแต่ผู้เดียว พ่อกับแม่ก็เก็บเล็กผสมน้อยด้วยเหมือนกัน เมื่อได้เงินพอสมควร ก็พอดี มีญาติผู้หวังดีมาบอกขายที่กับพ่อ พ่อกับแม่ก็ปรึกษากันว่า จะซื้อทั้งหมดประมาณสองไร่ แล้วเอามาแบ่งขาย พวกเราจึงได้มีบ้านอยู่เป็นของตัวเองตั้งแต่นั้นมา ไม่ต้องอยู่ห้องแถวอีกแล้ว
เนื่องจากพ่อทำงานหนักมาตลอดชีวิต (แต่ไม่ผอมเลย) จึงทำให้พ่อมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจและความดัน และเมื่อพ่อเกษียรแม่จึงขอร้องให้พ่ออยู่บ้านเฉยๆ ซึ่งที่จริงพ่อคิดไว้ก่อนที่จะเกษียรว่า พ่อตั้งใจว่าจะเปิดโรงกลึงที่หน้าบ้านของเรา แต่เพราะแม่สงสานและเป็นห่วงพ่อจึงขอร้องไว้ ดังนั้นพ่อจึงอยู่บ้านเฉยๆ แต่บางครั้งพ่อก็จะไปเล่นเครื่องสายตามงานต่างๆ ที่บรรดาเพื่อนๆพ่อชวนไป ซึ่งเครื่องดนตรีที่พ่อชอบเล่นมากๆก็คือซอด้วง หรือบางทีก็ซออู้
วันที่พ่อจะจากพวกเราไป วันนั้นเรากินข้าวเย็นกันพร้อมหน้า หลังจากนั้นพ่อก็ขึ้นนอน ก่อนนอนพ่อจะสวดมนต์ที่ห้องพระและเมื่อสวดเสร็จ พ่อก็จะเอาซอด้วงคู่ใจมาเล่นเพลงโปรดของพ่อ พวกเราก็นั่งดูหนังกันข้างล่าง แม่ก็เก็บล้างอยู่ในครัว ซักพักใหญ่ๆก็ได้ยินพ่อไอ ไอ ไอไม่หยุด จนพ่อลงมาข้างล่าง และเข้าห้องน้ำ ซึ่งพ่อก็ยังไออยู่ไม่ขาดระยะ จนแม่เอะใจบอกพ่อว่าคุณพ่อไม่ต้องใส่กลอนนะ และซักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนพ่อทำอะไรหล่น ดังมากๆ แม่จึงเข้าไปดู พ่อตกลงมาจากที่นั่ง พวกเราตกใจทำอะไรไม่ถูกเลย เพื่อนบ้านที่เป็นญาติๆกัน ก็มาช่วยกันแบกพ่อออกจากห้องน้ำ และตามหมอมาดูอาการ แต่ก็สายเสียแล้วในตอนนั้นผู้เขียนบอกไม่ถูก ว่ารู้สึกอย่างไรมันงงไปหมด ไม่มีน้ำตาเลยสักหยด ช่างเป็นลูกที่เนรคุณจริงๆ เพราะที่ผ่านมาผู้เขียนไม่เคยคิดว่าพ่อรักผู้เขียนเลย เพราะพ่อจะดุจะว่าผู้เขียนตลอด "ห้อวแถวที่ป้าแมวเคยอยู่...ครอบครัวของเรา...บ้านน้ำพักน้ำแรงของพ่อและแม่..."
แต่พอหลังจากที่พ่อจากไปได้ระยะหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วพ่อรักผู้เขียนมากๆ เพราะผู้เขียนไปเจอหนังสือที่พ่อเขียนไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่งว่า ที่ดินที่....ให้ไว้เพื่อ...ไปเรียนต่อเมืองนอก (แต่ผู้เขียนก็ไม่รักดีเสียเลย...ไม่ไปเพราะกลัวอยู่คนเดียว...) และป้าแมวเคยเล่าให้ฟังว่า พ่ออยากให้ผู้เขียนไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่จากประสพการณ์ของป้าแมว ป้าคิดว่าอยากให้ไปที่ญี่ปุ่นมากกว่า เพราะผู้เขียนเรียนจบแผนกผ้าและเครื่องแต่งกายมา ซึ่งเรื่องนี้ทำให้พ่อเคืองป้าแมวมาก พ่อว่าป้าแมวอิจฉาน้อง...
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ผู้เขียนเสียใจมาก เพราะได้รู้ว่าพ่อก็รักเรามากเหมือนกัน ทำยังไงผู้เขียนถึงจะถ่ายบาปตรงนี้ได้นะ ...ใครช่วยตอบที...
***ป้าหู้ขอความกรุณานะคะ***
อย่าให้รูปมีความกว้างเกิน 350 Pixelเลยน้า ป้าอ้วง..อยู่แว้วอ่ะ..มาง..อึก..อัก..อ่ะจ่ะ
และขอขอบพระคุณ"คุณครูทุกๆท่าน" ป้ามด,น้ำฝน,หลานไรอัน,น้องบัว,น้องสา,ตาหยึมกึ๋ย,คุณเอ้ หลานทาสบอย,หลานสมารท์หล่อสูด..ซู๊ด.. โอ้ยเยอะแยะเลยบรรยายมะหมด อย่าโกรธ"ป้าอ้วงดำจายดี"คงนี้เยยน้า..
♬เพลง : รักเธอสุดหัวใจ - นันทิดา แก้วบัวสาย
|
ment ก่อน พรุ่งนี้ค่อยแวะมาอ่านนะคะ หนูมะไหวแล้วค่ะ ขอนอนก่อน