หลักการฟังคำพูดของผู้อื่น
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ครั้งนั้นแล ทรงเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ได้ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย! ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่น จะพึงกล่าวกะพวกเธอมีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑. กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๒. กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๓. กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือหยาบคาย ๔. กล่าวด้วยคำมีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ ๕. กล่าวด้วยจิตเมตตาภายในหรือประสงค์ร้าย
ภิกษุทั้งหลาย! เมื่อผู้อื่นจะพูดด้วยประการใด ๆ ก็ตาม พวกเธอพึงตั้งจิตอย่าให้แปรปรวน เราจะไม่พูดจาที่ลามก เราจะสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจะต้องมีเมตตาจิต ไม่มีความโกรธภายในใจ เราจะแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้น เราจะต้องแผ่เมตตาจิตไปไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง
ภิกษุทั้งหลาย! หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีที่จับสองข้าง มาเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายของเธอ ด้วยการกระทำของพวกโจรนั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดมีจิตคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไว้ไม่ได้นั้น
ภิกษุทั้งหลาย! แม้เพราะเหตุนั้น พวกเธอพึงปฏิบัติอย่างนี้ว่า จิตของเราจะไม่แปรปรวน เราจะไม่พูดคำที่ลามก เราจะอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยสิ่งเป็นประโยชน์ เราจะมีเมตตาจิต ไม่มีความโกรธภายใน เราจะแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลเหล่านั้น และบุคคลทั่วไปอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้.”
กกจูปมสูตร ๑๒/๒๑๐
พระสูตรนี้ ทรงมุ่งให้สาวกรับฟังคำพูดของคนอื่นทุกประเภท ไม่ว่าจะพูดดีหรือพูดร้าย อ่อนหวานหรือหยาบคาย ให้เรามีจิตเมตตาอยู่ตลอดเวลา หักห้ามโทสะเมื่อได้ฟังคำหยาบคาย หรือไม่เป็นที่สบอารมณ์ เพื่อระงับเวรอันจะเกิดจากความอาฆาตพยาบาทนั้น
ทรงสั่งสอนถึงกับว่า ถ้ามีพวกโจรมาเลื่อยท้องไส้ของเราอยู่ แม้จะเจ็บปวดเจียนขาดใจตาย ก็ยังต้องแผ่เมตตาจิตให้พวกโจร จะป่วยกล่าวไปไยถึงคำพูดที่ไม่เจ็บปวดร่างกายเล่า หากเรามีจิตคิดโกรธแม้แต่น้อยหนึ่ง เราก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า
คำสอนตอนนี้ ถ้าใครพยายามปฏิบัติตามได้ในชาตินี้ก็จะไม่มีภัยเวรเลย ถ้าล่วงลับดับขันธ์ ก็หวังสุคติ โลก สวรรค์ ได้แน่นอน แต่ข้อสำคัญมันทำยากนี่สิ จะทำอย่างไร?
ก็ตอบได้แบบ “กำปั้นทุบดิน” ว่า ต้องทำบ่อย ๆ ทำให้มาก ๆ เมื่อเราทำบ่อยทำมาก ความยากมันก็จะหมดไป ไม่เชื่อก็ลองดู
เรื่องความดีความชั่ว ใคร ๆ ก็รู้กันอยู่เต็มอกว่า ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่ ทำชั่วแล้วมันก็ต้องได้รับผลของความชั่วแน่ แต่มันไปยากที่ใจมันไม่อยากทำดี แถมยังยินดีในการทำชั่วเสียอีก
ในทางพระท่านจึงว่า ธรรมชาติของจิตมันชอบคิดในทางต่ำ เหมือนน้ำย่อมมีปกติชอบไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ แต่เพราะเรารู้ว่า ความดีมีผลเป็นความสุข ความชั่วมีผลเป็นความทุกข์ คนเราจึงต้องฝืนใจทำความดี และฝืนใจละเว้นไม่ทำชั่ว ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพราะคนเรามีความรักตน หวังเพื่อให้ตนมีความสุข ดังนี้แล.
การอยู่ร่วมกับคนผู้ไม่เสมอกัน นำความทุกข์มาให้ ทุกฺโข สมานสํวาโส
โดย ธรรมรักษา พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ที่มา //www.wadcherngpa.com/files/tripidok/TPD026.htm ภาพจาก //nicelytoasted.net/burnt/archives/2003_12.shtml
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 2 ธันวาคม 2552 15:34:31 น. |
Counter : 965 Pageviews. |
|
|
|