Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
7 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
กรรมที่ได้เกิดเป็นมารผจญ



ถาม – กรรมอะไรทำให้เทวดาเป็นมาร สงสัยว่าทำไมขวางทางคนอื่นเป็นอาชีพแล้วยังได้เป็นเทวดาอยู่อีก?

ข้อที่อยากให้ทุกท่านได้สังเกตก่อนอื่นใด ก็คือบุญนั้นไม่ได้พามาแต่ความรู้สึกด้านดีประการเดียว
แต่มักพ่วงพาเอาความถือตัว เห็นตนเองวิเศษสูงส่งเหนือใครๆมาด้วย แล้วที่สุดก็ลงเอยด้วยความประมาท
ฉันเป็นพระเอกแล้ว มีบุญกองภูเขาแล้ว ยิ่งใหญ่เหนือความผิดทั้งปวงแล้ว
ดูเบาบาปผิดเล็กๆน้อยๆ สำคัญว่าไม่เป็นไร ทำไปไม่มีทางร่วงหล่นสู่นรกขุมไหนๆอีกแล้ว ลองถามตัวเองเถิด
ถ้าหากทำบุญมากๆแบบครบวงจรแล้วความคิดข้างต้นแวบๆวาบๆขึ้นมาบ้างหรือเปล่า
ถ้าเคยก็ขอให้สังวรระวังเถิด เพราะนี่แหละเชื้อที่ทำให้คุณมีสิทธิ์สอบติดเป็นมารตนหนึ่ง!

ความประมาทนั้น เป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายที่ธรรมชาติจะดึงคนดีให้ตกต่ำ ยิ่งบุญมากขึ้นเท่าไหร่
เครื่องล่อให้ประมาทก็จะยิ่งใหญ่เป็นเงาตามตัวมากขึ้นเท่านั้น
จึงไม่แปลกถ้าใครรู้สึกว่าตนเองและพรรคพวกสูงส่งเหนือมนุษย์ ก็มีแนวโน้มจะดูถูกดูแคลนผู้คน
อยากให้ใครๆตกอยู่ใต้อำนาจตน และไม่อยากให้ใครได้ดีเกินตน
อันที่จริงอัตตามานะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ใครเป็นมารขึ้นมาหรอก
สิ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งหรือเทวดาตนหนึ่งกลายเป็นมารอย่างสมบูรณ์แบบคือ การตั้งความเชื่อไว้ผิด
ชนิดที่นำไปสู่การก่อกรรมขัดขวางความเจริญ หรือห้ามความสำเร็จอันเป็นประโยชน์สุขของผู้อื่น

นี่ไม่ใช่การตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกันในลักษณะฝ่ายค้านทางการเมือง
เพราะฝ่ายค้านเป็นฝ่ายค้านก็เพราะเลือกตั้งแพ้จึงต้องตั้งข้อแม้ต่างๆนานาให้ดูเป็นตรงข้ามกับรัฐบาลเข้าไว้
ใจจริงๆอาจมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือตัดคะแนนรัฐบาลแบบคู่แข่งชิงชัยกันเท่านั้น ไม่ได้มีใครถูกแท้
หรือผิดถาวรแบบพระเอกกับผู้ร้ายเสมอไป วันดีคืนดีอาจส่งเสริมรัฐบาลได้ถ้าภาพลักษณ์ออกมาเป็นบวกแก่ตน
สำหรับมารของจริงจะไม่เป็นฝ่ายค้าน แต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามในลักษณะผู้ก่อการร้ายอย่างโจ๋งครึ่มเลยทีเดียว
คือทำทุกวิถีทางไม่จำกัดรูปแบบ ไม่ว่าบั่นทอนกำลังใจ ข่มขู่คุกคามขวัญ ดลใจให้อยากประพฤติผิด
บังใจให้ลืมสิ่งที่ควรทำ ตลอดจนกระทั่งทำลายล้างกันตรงๆด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
ขอเพียงขัดขวางไม่ให้ใครบรรลุเป้าหมายสูงสุดของศาสนาได้เป็นพอ

ถ้ายังไม่คลุกวงในหรือคร่ำหวอดกับการศาสนาจริงจัง
คุณจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ถึงว่ามีรูปแบบการขัดขวางที่พิสดารได้ปานนั้น
ถ้ายังแปลกใจว่าทำไมเทวดายังคิดพิเรนได้ ก็ขอให้พิจารณาจากความจริงบนโลกนี้ที่เห็นๆกัน
เช่นแต่ละศาสนาจะมีคนดีๆที่ไม่เห็นด้วย อาจต่อต้าน หรือกระทั่งทำลายล้างกันอยู่จริง
เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะติดนิสัยเช่นนั้นไปยังภพอื่นภูมิอื่น
ในมนุษยโลกมีพฤติกรรมแบบใดได้ บนเทวโลกและพรหมโลกก็มีพฤติกรรมแบบนั้นได้เช่นกัน
เพราะมนุษย์ย่อมจากโลกนี้ไปสู่ภาวะที่สอดคล้องกับนิสัยเดิม ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรก!

ใครดื้อ ใครไร้เหตุผล ใครใช้อารมณ์จนขาดสามัญสำนึกไปตลอดชีวิต
ก็ย่อมละโลกนี้ เพื่อไปสู่ความเป็นเช่นนั้นอย่างยืดยาวหาที่จบยาก
เนื่องจากภูมิมนุษย์นั้นธรรมชาติให้ไว้เป็นโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเอง
จะกระทำตัวตนแบบหนึ่งๆให้เข้มข้นถึงที่สุดก็ได้หรือปรับเปลี่ยนรื้อถอนตัวตนแบบหนึ่งๆด้วยการแลกชีวิตก็ได้
ส่วนภพภูมิอื่นๆ โดยเฉพาะที่โตเลยโดยไม่ต้องเรียนรู้ไม่ผ่านการขัดเกลา ไม่มีตัวเลือกให้ตัดสินใจเป็นอื่นนั้น
ย่อมปักใจอยู่กับสิ่งที่วิบากกรรมหยิบยื่นมาวางไว้ตรงหน้าอย่างเดียว
เช่นถ้าเคยชินกับความเป็นผู้ขัดขวาง เขาย่อมไปสู่ความเป็นสหายในภพของผู้ขัดขวางตั้งแต่อุบัติจนถึงอายุขัย

มาดูกันครับ ว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีสามัญสำนึกติดตัวกันดีๆทุกคนจึงหลงผิดไปเป็นฝ่ายมาร
ทั้งนี้ตกลงกันก่อนว่าเรากำลังคุยกันเกี่ยวกับมารของศาสนาพุทธอย่างเดียว มารของศาสนาอื่นไม่พูดถึง
แต่โดยหลักการก็คล้ายคลึงกัน คือใครต่อต้านความเชื่อแบบใดก็เป็นมารประจำความเชื่อแบบนั้นๆ


๑) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ผิด แต่ประพฤติถูกบางส่วน
หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในการใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนใคร เลื่อมใสการเกื้อกููลสังคม
หรือกระทั่งศรัทธาในสันติสุขและการมีเมตตา ทว่าไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง
อาจจะเพราะได้รับการปลูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาแต่เล็กหรืออาจจะเพราะโตแล้วคิดเอง
คาดคะเนแล้วปักใจเข้าข้างตัวเองอย่างเหนียวแน่น แถมยังขยายความเห็นผิดของตนให้กว้างไกลออกไป
ผ่านรูปแบบการถกเถียง ถากถาง กล่าวโจทก์โพนทะนาด้วยเจตนาให้คนทั้งโลกหมดความเชื่อถือ
หรือกระทำพุทธศาสนาให้หมดความชอบธรรมที่จะตั้งอยู่
กรรมที่เผยแพร่ศาสนาตนด้วยวิธีย่ำยีศาสนาอื่นในวงกว้างนี้แหละตัวการสำคัญอันจะทำให้เป็นมาร

ที่บุคคลประเภทนี้มีโอกาสไปสวรรค์ ก็เพราะความดีที่เขาทำได้น้ำหนักเกินความชั่วที่เขาก่อ
แต่หากครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญได้น้ำหนักแค่พอดีกับบาป ตายแล้วจะไปเป็นอสูร ซึ่งจัดเป็นพวกครึ่งเปรตครึ่งเทพ
คอยรบกวนทั้งมนุษย์และเทวดาที่ใฝ่ดีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา อาจจะในรูปของการทำร้ายตรงไปตรงมา
ดังเช่นเมื่อครั้งพุทธกาลมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง
มารก็เข้าไปรบกวนท้องไส้ท่านให้รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆถ่วงอยู่ แต่ท่านรู้ทันด้วยญาณ
จึงเกลี้ยกล่อมโดยเล่าให้ฟังว่าอดีตชาติท่านก็เคยประพฤติตนเป็นมารอย่างนี้แหละ
แต่พอพ้นจากภพของมารก็ต้องลงไปเสวยมหันตทุกข์ หมกไหม้อยู่ในมหานรกนานแสนนาน ไม่คุ้มกันเลย
(ตัวท่านเองในครั้งอดีตเป็นญาติเก่ากับมารที่มารบกวนท่านในชาติสุดท้ายเสียด้วยครับ
ถึงมีสายสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้มารบกวนกันได้)


๒) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูกส่วนหนึ่ง แต่เห็นผิดอีกส่วนหนึ่ง
หมายถึงกลุ่มคนที่ศรัทธาในกรรมวิบากระดับให้ทานและรักษาศีล เชื่อว่ากรรมมีผล เชื่อว่าทำดีย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง
แต่น่าเสียดายยังเห็นผิดเกี่ยวกับนิพพานและวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงนิพพาน
ลำพังความเห็นผิดเงียบๆอยู่คนเดียวก็ไม่กระไรนัก แต่หากเกิดเป็นขบวนการจัดตั้ง พยายามล้มล้างแนวความเห็นที่
ถูกต้องเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานดั้งเดิม อันนี้ก็ต้องกลายไปเป็นพลพรรคมารกันโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรก็ตาม พวกนี้จะเป็นมารแบบผู้ดีขึ้นมาหน่อย คือเวลารบกวนจะไม่มาในลักษณะการของทำร้ายกันดื้อๆ
แต่จะมาในรูปของการดลใจในสมาธิ เช่นทำให้พระซึ่งมีบุญมากๆหลงเห็นนิมิตบางอย่าง
ได้ยินเสียงบางอย่างแล้วบังเกิดความเชื่อมั่นว่านั่นคือการบรรลุถึงมรรคถึงผล โดยมากเป็นดอกบัวบาน
หรือนิมิตพระพุทธรูปที่มีเสียงระฆังกังวานสดใส หรือคำรับรองว่าเช่นนี้เป็นมรรคผลที่ถูกต้องแล้ว

นอกจากนั้น ปัจจุบันยังมีอรหันต์ดิบเกิดขึ้นเยอะ กล่าวคือปฏิบัติธรรมแล้วเกิดมหาอุเบกขา
รับผัสสะกระทบแล้วเฉยชาไม่รู้สึกรู้สาทางกาม ก็เข้าใจว่าตนหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว
ทั้งๆที่เป็นอำนาจสมาธิหรืออำนาจของศีล ๘ ที่แข็งแรงเท่านั้น

อีกพวกหนึ่งเกิดปรากฏการณ์บางอย่างทางจิตครั้งเดียว เช่น
เกิดความว่างหายเฉียบพลันซึ่งคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์มรรคผลของจริงก็พลัดหลงไปเข้าใจว่าตนเป็นพระอรหันต์
ทั้งที่กิเลสยังอยู่ครบ ยังโลภอยากสะสมสมบัติ ยังเกิดราคะอยากร่วมเพศยังเกิดโทสะหงุดหงิดรำคาญใจ
และยังสำคัญตนไปต่างๆนานาว่ารู้เห็นเยี่ยงผู้วิเศษ ใครเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง
จะฟังแต่ครูบาอาจารย์ที่ให้รางวัลเขา แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอรหันต์เท่านั้น

พวกนี้ไปเกิดเป็นเทวดาได้เพราะบุญซึ่งทำจริงๆตลอดชีวิต แต่พอเป็นเทวดาก็มักมีความพอใจประกาศตนว่า
เป็นพระอรหันต์มาสนทนากับมนุษย์ผู้มีญาณ หรือผ่านมนุษย์ผู้มีเป็นร่าง
ก็จะต้องการให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนหมดกิเลสแล้ว บางครั้งก็มีวิธีบังคับหรือวิธีสำแดงตนแปลกๆได้พิสดาร
สุดที่มนุษย์ธรรมดาๆจะแข็งขืนไม่ยอมศิโรราบให้

เทวดาพวกนี้จะบรรยายสภาพของนิพพานไปต่างๆนานาสารพัด โดยรวบรัดคือเป็นดินแดนอันสงบสุข
หาความทุกข์มิได้ซึ่งที่แท้ก็คือภพหนึ่งของเทวโลกหรือพรหมโลกเท่านั้น และจะปฏิเสธนิพพานแบบไร้นิมิต ไร้ที่ตั้ง
เห็นเป็นของน่าเบื่อ ไม่มีตัวตนให้สนุกอีก โดยไม่เฉลียวคิดถึงแก่นสารที่แท้จริงว่า
การไร้สภาพปรุงแต่งให้เกิดดับนั่นเอง คือบรมสุข คือความสงบอันเป็นที่สุดทุกข์

๓) เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูก แต่ปรามาสผู้ทรงคุณ
หมายถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจ ‘ทฤษฎี’ ทางพุทธศาสนาถูกต้อง ทั้งในหลักกรรมวิบาก
และในหลักวิธีพ้นทุกข์พ้นอุปาทานอย่างเด็ดขาดแต่พวกเขาเพียงทรงจำไว้
ไม่ปฏิบัติตนตามหลักการที่พระพุทธเจ้าสอนให้ตลอดสาย ผู้ใกล้ชิดจะรู้ดีและเห็นคาตาหลายครั้ง
ว่ายังเป็นผู้ตระหนี่ มีอาการเล็งโลภ โกหกโดยปราศจากความละอาย ตลอดจนหลงตัวหลงตนเกินธรรมดา

ยิ่งศึกษามาก ทรงจำมาก ก็ยิ่งเกิดความทะนงมาก กลายเป็นอยากเพิ่มอัตตาเยี่ยงผู้มีปัญญาคิด
อ่านแตกฉานยิ่งๆขึ้นไปและอยากให้ใครๆมองว่าตนรอบรู้ทรงภูมิเป็นที่หนึ่ง ซึ่งพออัตตาใหญ่
ทางหลุดพ้นจากอุปาทานก็เล็กลง คิดถึงมรรคผลนิพพานแล้วท้อใจ
คือไม่ใช่แค่เห็นว่ามรรคผลนิพพานเข้าถึงได้ยาก แต่เห็นว่าเป็นของเข้าถึงไม่ได้เลยในชีวิตของตน
และเมื่อตนเข้าถึงไม่ได้ ก็แปลว่าคนอื่นทั้งโลกจะต้องไม่มีความสามารถเข้าถึงได้เช่นกัน

พวกที่เข้าข่ายจะต้องกลายเป็นมารเต็มขั้นนั้น ได้แก่ภิกษุซึ่งมีหน้าที่สอนธรรมะในชั้นเรียน
เพราะภิกษุเป็นผู้ตกลงกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตอนบวชว่าจะเข้ามาทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง
ถ้ามาประกาศเสียเองว่ามรรคผลนิพพานทำไม่ได้แล้ว ก็เท่ากับทรยศต่อพระพุทธเจ้า
เท่าที่ทราบมาบางคนเป็นถึงเปรียญชั้นสูงๆ แต่เอ่ยกับปากว่ายุคนี้อย่าหวังฌาน อย่าหวังมรรคผล
ขอให้บำเพ็ญบารมีเพื่อไปเอาดีในยุคพระศรีอารย์กัน นี่เป็นคำพูดที่สืบๆกันมา ตอนแรกเป็นคำพูดคนอื่น
แต่พอพูดบ่อยๆก็กลายเป็นคำพูดและความฝังใจเชื่อของตนเองไป

วิธีหว่านล้อมแบบมารซึ่งแยบยลที่สุด คือแฝงมาในรูปของคนที่ถูกต้องที่สุด คนรู้ดีที่สุด
สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาหลงทางมีอย่างเดียวคือภาพรวมของเขาไม่สนับสนุน ไม่ให้กำลังใจใครได้ไปถึงนิพพาน
ตรงข้ามกลับคะยั้นคะยอให้ใครๆเห็นมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องยากเกินเอื้อม ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก
บั่นทอนกำลังใจกันทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นตรงข้ามกันทุกอย่างกับลีลาของพระพุทธเจ้า

พวกนี้บางทีเคารพพระพุทธเจ้า แต่บางยุคก็อยู่ในฐานะผู้รักษาสืบทอดพระธรรมวินัยเป็นตัวอักษร
ทว่าพลาดไปร่วมขบวนการตัดต่อเติมแต่ง กล่าวตู่พุทธพจน์ ทำให้คนหลงเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัส
ทั้งที่ท่านไม่ได้ตรัส อันนั้นแหละการประพฤติเข้าสู่ความเป็นพลพรรคมาร
อาจจะระดับเสนาธิการหรือระดับบริวารย่อยๆ ขึ้นอยู่กับบารมีในทางดีที่สั่งสมไว้

สำหรับกรรมที่จะทำให้เป็นราชาแห่งมาร หรือที่เรียก ‘พญามาร’ นั้น โดยมากจะมีบารมียิ่งใหญ่เกินธรรมดา
เช่นสามารถเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาหรือลัทธิความเชื่อดีๆ พาคนไปสวรรค์ได้ด้วยตนเอง
แต่หลงผิดบิดเบือนพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า หรือกระทั่งพาคนหลงทาง เข้าใจว่านิพพานและ
หลักการเข้าถึงนิพพานในพระไตรปิฎกเป็นของปลอม วิธีที่ตนเพิ่งค้นพบด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะถูกต้อง
พวกนี้อาจหลงผิดด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือหลงผิดเพราะอัตตามานะ อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
(ซึ่งกรรมดีแต่หนหลังที่เคยช่วยมหาชนจำนวนมาก ก็ส่งแรงหนุนให้ได้สำเร็จใกล้เคียงกับที่ปรารถนาเสียด้วย)

ไม่ว่าจะระดับราชา เสนาธิการ หรือบริวารแวดล้อม เมื่อตั้งความเห็นไว้เสียแล้วว่าตนถูกที่สุด
คนที่เชื่อต่างจากตนจึงเป็นคนผิด ฉะนั้นแม้เมื่อพบผู้ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง สามารถละกิเลสได้จริงๆ
แทนที่จะชื่นชมยินดีมีมุทิตาจิตไปกับความผ่องใสของพวกท่านก็กลับจะขัดเคือง
หมั่นไส้ไม่อยากเห็นฝ่ายตรงข้ามก้าวหน้าเกินตน ซึ่งก็จะนำไปสู่การจ้องจับผิด
เห็นตนมีอภิสิทธิ์ในการไล่เบี้ยความรู้ผู้อื่น ผิดเล็กน้อยเอามาด่าได้ราวกับเป็นอาชญากร หรือแม้ไม่มีความผิดเลย
ก็พูดสันนิษฐานต่างๆนานา ชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อชี้นำคนอื่นให้เห็นว่าเขาผิดจนได้
สืบไปสืบมาต้นตอที่แท้จริงคือเขาไม่ต้องการให้ใครเป็นฝ่ายถูก หากไม่ได้ยอมรับนับถือเขา
หรือได้หลักความรู้ความเชื่อมาจากเขา ถึงขั้นหนึ่งพวกนี้อาจกล่าวเท็จได้โดยปราศจากความละอาย
พูดธรรมะด้วยความนุ่มนวล แต่น้ำเสียงมีแรงอัดของโทสะเจืออยู่ เวลาระเบิดความโกรธออกมามีความกดดันสูง
มีความรั้นชนิดหัวชนฝา เปลี่ยนจากมีเหตุผลที่สุดไปเป็นขาดเหตุผลอย่างที่สุด
แม้แต่หน้าตาก็สลับจากสว่างใสไปเป็นหมองคล้ำได้อย่างรวดเร็ว

กล่าวมาทั้งหมดคงเห็นสรุปได้ประการหนึ่งคือ มารไม่จำเป็นต้องคิดว่าตัวเองเป็นมาร
ตรงข้าม พวกเขาอาจนึกว่าตนเป็นฝ่ายพระเอกด้วยซ้ำ มีแต่ ‘กรรม’ของเขาที่จะแสดงในตัวเองว่าเขาเป็นใคร
อยากตั้งข้อสังเกตว่าพระพุทธเจ้าท่านยอมรับว่าเทวดาฝ่ายมารมีจริง แต่ท่านก็ตรัสถึงน้อยมาก และทุกที่ที่ตรัสถึง
ก็จะแสดงให้เห็นว่าถ้ามนุษย์ยังมีสติสัมปชัญญะ ก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้กันทุกคนครับ

โดย ดังตฤณ


Create Date : 07 มีนาคม 2552
Last Update : 7 มีนาคม 2552 21:31:52 น. 1 comments
Counter : 1221 Pageviews.

 
งันที่พ่อแม่ด่าว่า "ไอ้ลูกมารผจญ" ท่านก็บอกว่าทัศเป็นเทวดามาเกิดสิคะเนี่ย เพิ่งเข้าใจ


โดย: Tassanee วันที่: 19 เมษายน 2552 เวลา:22:01:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.