|
กรรมที่ทำให้ตาบอด
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ามนุษย์และสัตว์เกิดมาเป็นพี่น้องกัน ร่างกายที่ตายไปแล้วเหลือแต่ วิญญาณก็จะไปใช้กรรมใช้เวรในชาติใหม่ เวียนว่ายตายเกิด ชาติแล้วชาติเล่า แล้วแต่วิบากกรรมที่กระทำเอาไว้ คนเราเกิดมาถูกคำพิพากษาประหารชีวิตตั้งแต่วันแรกที่เกิด เจ้าเกิดมาแล้วเจ้าก็ต้องตายแต่ยังไม่ถึงวันตายก็เพราะรอวันประหารชีวิตนั่นเอง ต่อเมื่อพญามัจจุราชสั่งให้ประหารเมื่อใด ก็จะถูกประหารเมื่อนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ จงอย่าได้ประมาท จงทำความดีไว้ให้มากๆ จะได้เป็นที่พึ่งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของคนที่ทำกรรมชั่วเอาไว้ กรรมจึงตามมาสนอง ทำให้ตาบอดทั้งสองข้างได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จึงขอนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟัง เรื่องมีอยู่ว่า ลุงคำ อายุประมาณ ๕๐ ปี ได้อาศัยอยู่กับลูกหลาน ส่วนภรรยานั้นได้ตายจาก แกไปนานหลายปีแล้ว แกมีชีวิตอยู่อย่างน่าสงสาร เพราะลูกหลานและญาติพี่น้องไม่ค่อยดูแล เอาใจใส่ การกินก็อดๆอยากๆ เสื้อผ้าก็นุ่งแต่เก่าๆ และขาดวิ่น แกมีร่างกายที่ผอมโซ ทุกวันจะเห็นนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มเงาต้นมะม่วงหน้าบ้าน มีเจ้าสุนัขสีหมอกตัวหนึ่งนั่งเป็นอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมแก ๒-๓ ครั้งแล้ว
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เข้าไปในเมือง จึงซื้อผลไม้ต่างๆ มีกล้วยสุก ส้มเขียวหวาน ขนม ฯลฯ ไปฝากลุงคำและบอกให้แกรู้พร้อมกับเอาถุงผลไม้วางใส่มือแก แกดีใจมากและพูดกับข้าพเจ้าว่า "๓-๔ ปีแล้วไม่เคยได้กินของดีๆ เหล่านี้เลย" พร้อมกับยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณ ข้าพเจ้านั่งอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ถามถึงเรื่องราวที่แกตาบอดว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แกนั่งคิดอยู่สักครู่ก็พูดขึ้นว่า "ผมตาบอดมานานแล้ว เพราะบาปกรรมที่เคยกระทำเอาไว้มาตามสนองให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง" ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปว่า "กรรมอะไรที่คุณลุงได้ทำเอาไว้หรือ" แกพูดว่า ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก อายุได้ ๕-๖ ปี ผมเป็นเด็กซุกซนมาก พ่อแม่ให้นำควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ในฤดูฝนจะย่างเข้ามา ฝนเริ่มตกลงมาทำให้พืชพันธุ์เจริญงอก งามขึ้น มองดูเขียวชอุ่มไปทั่วทุ่งนา มีตั๊กแตนบินลงมาหากิน ผมได้วิ่งไล่จับเอาตักแตน พอได้มาแล้วก็เอามือบีบตาทั้งสองข้างให้ตาของมันทะลุแตก แล้วโดยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า มันได้แต่บินวนไปวนมาเป็นวงกลม เพราะมองไม่เห็นอะไร มองดูคล้ายๆ กับเขาจุดบั้งไฟตะไล มันจะหมุนวนเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ ผมกับเพื่อนหัวเราะชอบใจ ไล่จับเอาตั๊กแตนตัวแล้วตัวเล่า แล้วก็เอามือบีบตาทั้งสองของมันให้ทะลุแล้วโยนขึ้นบนท้องฟ้า ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงบาปกรรมเลย ได้กระทำอยู่อย่างนี้บ่อยๆ ในคราวไปเลี้ยงควายที่ทุ่งนาเป็นเวลา ๒-๓ ปี ถ้าให้นับดูตัวตั๊กแตนที่ผมกระทำไปนั้นด้วยนึกแต่ความสนุกอย่างเดียว เกือบ ๖๐-๗๐ ตัวคงได้
ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง อายุราว ๑๕-๑๖ ปี ผมเคยแกล้งคนตาบอด ในครั้งนั้นหมู่บ้านของผมได้จัด งานประจำปีขึ้น ๓ วัน ๓ คืน มีมหรสพมาฉลองด้วย มีผู้คนมาเที่ยวงานมากมาย ในคราวนั้นมีชายตาบอดคนหนึ่งมาเที่ยวในงานกับเพื่อนซึ่งเป็นคนบ้านอื่น ชายตาบอดคนนั้นให้ เพื่อนจูงมา พอเห็นเขาเดินผ่านมา ผมนึกสนุกขึ้นมาจึงเข้าไปจูงเอาชายตาบอดคนนั้นจากเพื่อน ของเขา จากนั้นผมก็จูงมือเขาเดินไปเรื่อยๆ เมื่อจูงไปสักพักก็มองห็นกองขี้ควายกองใหญ่กองหนึ่งอยู่ที่ถนน ด้วยความซุกซน พอจูงเข้าไปใกล้กองขี้ควายคิดว่าชายคนนั้นจะตาบอดจริงหรือไม่ จึงแกล้งจูงมือแกกลับทันที
ในขณะที่ผมจูงมือเขากลับนั้นเท้าของเขาทั้สองก็เหยียบกองขี้ความกองใหญ่อย่างจัง ผมและเพื่อนๆได้พากันหัวเราะชอบใจ ชายตาบอดคนนั้นบ่นพึมพำในใจของเขาคงคิดว่า ผมแกล้งเขาให้ไปเหยียบกองขี้ควาย เขาคงจะนึกโกรธและสาปแช่งผมในใจ พอผมทำแล้ว ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่าเป็นความสนุกสนานเท่านั้น ไม่เคยคิดสักนิดเลยว่ามันจะ เป็นบาปกรรมเพราะความคึกคะนองซุกซนไปเท่านั้น ต่อมาผมก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน และยึดอาชีพทำนาตามพ่อแม่ที่เคย ทำมาทุกๆ ปี สิ้นจากฤดูทำนา ผมก็ไปหารับจ้างทำงานทั่วไป ครั้งหนึ่งผมได้เคยไปฟังเทศน์ที่วัด พระท่านเทศน์ว่ากงกรรมกงเกวียน คือกรรมที่ผมได้ก่อเอาไว้ บัดนี้มันกลับตามหมุนมาสนองสู่ชีวิตผมเข้าจนได้
วันหนึ่งหลังจากที่ผมกลับจากทำงานเป็นช่างไม้และก่อสร้างบ้าน ในเย็นวันนั้นพอกลับถึงบ้านผม รู้สึกปวดเมื่อยตามรางกาย คิดว่าคงทำงานหนัก ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงไปหาหมอเพื่อ ฉีดยาบำรุงให้ ผมได้ไปฉีดยากับหมอที่คลีนิก พอกลับมาบ้านตอนเย็นรู้สึกสบายขึ้นนิดหน่อย แต่พอตื่นเชาขี้นมารู้สึกว่าตาของผมด้านซ้ายมองไม่ค่อยจะเห็น มันพร่าๆ มัวๆ จึงได้ไปหาซื้อ ยามากินและหยอดตาเองแต่ก็ไม่หาย เป็นอยู่ได้ ๕ วัน ผมจึงให้ลูกสาวพาไปหาหมอที่โรง พยาบาล หมอได้ตรวจดูและได้ฉีดยาให้รู้สึกว่าดีขึ้นนิดๆ
เช้าวันนั้น ขณะที่ผมเดินก้าวขาจะไปขึ้นรถโดยสาร หัวเข่าของผมได้ไปกระแทกเข้ากับตัวถังรถ อย่างแรง เพียงเท่านั้นตาของผมที่เหลืออยู่ด้านขวาก็มืดสนิทลงไป ทำให้โลกนี้ทั้งโลกที่เคยสว่าง ต้องกลับมืดเข้าไปอีก ผมได้ให้ลูกสาวพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัดอุบลฯ หลังจากที่คุณหมอได้ตรวจดูแล้วก็บอกว่า "เซลล์ตาของคุณอักเสบมาก หมอช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดไปเท่านั้น" ใจผมหายแวบไปเลย นึกแต่ว่าเราตาบอดแล้วหรือนี่ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ละความพยายาม ให้ลูกสาวพาไปหาหมอดูทางในกับหมอธรรมหมอผี หมอได้นั่งดูทางในแล้วบอกว่า "ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพราะโรคที่ตาคุณเป็นในครั้งนี้ เกิดจากโรคกรรม คุณลุงลองนึกทบทวนดูซิว่าในอดีตที่ผ่านมาได้เคยทำกรรมเกี่ยวกับตาของคนและสัตว์บ้างไหม" ผมได้ตอบหมอดูทางในไปว่า "เมื่อครั้งตอนเป็นเด็กได้เคย บีบตาตั๊กแตน จนมันตาบอดหลายตัวและกระทำเช่นนี้อยู่ ๒-๓ ปี และได้แกล้งคนตาบอด ให้เขาเดินไปเหยียบกองขี้ควายแล้วก็หัวเราะชอบใจ สนุกสนานเฮฮา"
หมอดูทางในเลยสรุปให้ฟังว่า "กรรมอันใดก็ตาม จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วที่เราได้กระทำเอาไว้ กรรมนั้นจะตามสนองเราไม่เร็วก็ช้า จะได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน ดังคุณลุงได้รับผลวิบากกรรม อยู่ในขณะนี้" พอผมรู้สาเหตุแห่งกรรม ผมรู้สึกเสียใจมาก เพราะกระทำไปโดยไม่สำนึกถึงความ ผิด-ถูก ชั่ว-ดี ตาของผมถึงได้บอดทั้งสองข้าง ผมขอชดใช้กรรมที่ผมก่อขึ้น และจะจดจำเอาไว้ชั่วชีวิตนี่แหละคือผลวิบากกรรมนำมาสนอง กฎแห่งกรรม ให้ผลสุขหรือทุกข์ เมื่อถึงเวลาของมันเสมอกรรมดี กรรมชั่ว เราเป็นคนสร้างขึ้นเอง ก็ต้องรับผลของกรรมนั้นเอง
จาก หนังสือโลกทิพย์...เดือนตุลาคม 2549
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2552 21:43:29 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1568 Pageviews. |
|
|
|
โดย: MM IP: 125.26.159.91 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:14:52:45 น. |
|
|
|
โดย: อัสติสะ วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:18:28:44 น. |
|
|
|
โดย: Tassanee วันที่: 16 เมษายน 2552 เวลา:21:19:55 น. |
|
|
|
โดย: คนกรรม IP: 125.27.243.35 วันที่: 14 มกราคม 2554 เวลา:11:57:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ เพราะเหตุแห่งกรรม
ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
คือพุทธพจน์