Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 
17 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
คนดี-คนชั่ว (ท.เลียงพิบูลย์)

คนดี-คนชั่ว (ท.เลียงพิบูลย์)
คนดี-คนชั่ว โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔


เย็นวันหนึ่ง
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิด ครบห้ารอบของท่านผู้เคยรักนับถือกันมาเก่าแก่
มีงานในบริเวณเขตบ้านที่กว้างขวางใหญ่โต สนามหญ้าตัดเรียบมองดูคล้ายปูลาดด้วยพรมสีเขียวสดผืนใหญ่
รอบๆ สนามปลูกไม้ดอกออกดอกบานเต็มต้นทั่วๆ ไป มีสีต่างๆ สวยสดงดงาม
ส่วนไม้ใบก็จัดไว้เป็นพวกเป็นหมู่เป็นกอเป็นระเบียบ ระยะห่างกันพองาม

พวกสุภาพสตรีเมื่อเข้าในเขตบ้าน ได้เห็นไม้ดอกไม้ใบก็ต้องร้องอุทานด้วยความตื่นเต้นว่า “อุ๊ ! สวยงามเหลือเกิน
แต่สำหรับข้าพเจ้าเห็นแล้วก็ทำให้เพลิดเพลินตาและสบายใจ
อดนึกไม่ได้ว่านี่เป็นการแสดงถึงความมั่งคั่งของเจ้าบ้าน
ที่สามารถจะเนรมิตให้เป็นสวนสวรรค์ภายในเขตบ้านได้ตามใจชอบ เจ้าของบ้านหรือเจ้าภาพเวลานี้มีชื่อเสียง
มีคนนับหน้าถือตาผู้หนึ่งในสังคมเมืองไทย แต่เป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยลืมเพื่อนฝูงเมื่อครั้งวัยหนุ่มๆ

เย็นวันนั้น ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนฝูงเก่าแก่หลายท่าน เราต่างมีความยินดีชวนกันยกเก้าอี้ออกมานั่งโคนต้นไม้ ห่างไกลจากหมู่คน
เพื่อหาโอกาสจะได้สนทนากันอย่างเต็มที่ตามลำพัง ล้วนแต่เพราะพวกเรานานๆ จะมีโอกาสพบปะเพื่อนเก่าแก่
พร้อมหน้ากันมากคนสักครั้งหนึ่ง บางท่านไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี
บางท่านก็ไปเป็นขุนนางอยู่ต่างจังหวัด พอลาออกจากราชการแล้วก็ถือโอกาสตั้งรกรากครอบครัวอยู่บ้านนอก
ถือสันโดษมักน้อย นานๆ จะเข้ามาเมืองหลวงสักครั้งหนึ่ง

ฉะนั้น เราจึงมีความดีใจต่างรื้อฟื้นชีวิตเก่าๆ ขึ้นมาคุยกันใหม่เรียกร้องความสนิทสนมเหมือนครั้งหนุ่มๆ
ใครมีอะไรเรื่องเก่าๆ นึกได้ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง บางครั้งก็งัดเอาเรื่องเก่าแก่ขำขันพอที่จะทำให้เพื่อนๆ หัวเราะ
จนท้องคัดท้องแข็งไอจามสำลักได้ เราก็ช่วยกันขุดขึ้นมาเล่าให้กันฟัง มันทำให้บรรยากาศสดชื่น
และกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นเป็นกันเองยิ่งขึ้น

ในงานคืนนั้นเจ้าภาพได้จัดพิณพาทย์ไม้นวมมาบรรเลงเพลงไทยเดิม มีหญิงสาวใหญ่นักร้องเสียงไพเราะ
มาร้องส่งเสียงจึงทุ้มๆ เย็นๆ นิ่มนวลฟังแล้วสบายใจ เหมาะสำหรับพวกเราไม่ชอบเผ็ดร้อนโลดโผน
ผิดกว่าบางงานที่ข้าพเจ้าเคยพบ เขาจัดดนตรีสมัยใหม่ยังใช้เครื่องขยายเสียง มีกลอง ฉาบ ดังจนแสบแก้วหู
พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังมีผู้อยากสนทนากับข้าพเจ้าทั้งๆ ที่เสียงดนตรีกลบเสียงพูด
ข้าพเจ้าได้แต่มองดูปากคู่สนทนาจะได้ไม่เก้อ ตัวเราก็ไม่เสียกิริยาแสดงว่าตั้งอกตั้งใจฟัง
แต่ความจริงไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร ต่อเมื่อวงดนตรีหยุดพักจึงบอกความจริงให้รู้ว่า หูไม่ค่อยดี
เท่าที่คุยให้ฟังนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะไม่ได้ยิน แล้วเราก็หัวเราะกันอย่างขบขัน

ดนตรีสมัยใหม่เหมาะสมกับหนุ่มสาว สำหรับพวกนิยมชอบเพลงชาติอื่นเขามาร้อง
นึกว่าตัวเราเองถ้ายังหนุ่มๆ ก็คงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมีอายุแล้วรู้สึกว่าไม่มีเพลงและดนตรีชาติใด
ดีกว่าเพลงไทยเดิมซึ่งมีความไพเราะนิ่มนวลอ่อนหวาน เย็นซึ้งเข้าถึงความรู้สึกภายใน
ด้วยความละเอียดอ่อนในศิลปการร้องบรรยายเนื้อเรื่อง เหมือนจะล่องลอยไปตามเสียงเพลงและเสียงดนตรี
บรรเลงเหมาะสมกับชีวิตไทยๆ คิดว่าผู้มีอายุคงจะมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ที่ชอบเพลงนิ่มนวลเย็นๆ
ไม่ชอบเพลงที่ร้อนแรงแสบแก้วหู

เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรง เจ้าภาพได้เชิญเลี้ยงอาหารแบบช่วยตนเอง (บุฟเฟ่ต์) ด้วยการจัดตั้งโต๊ะยาวไว้ข้างสนาม
มุมหนึ่งเป็นอาหารไทยๆ โต๊ะยาวอีกโต๊ะหนึ่งตั้งไม่ห่างไกลกันนักมีอาหารจีน
และโต๊ะยาวอีกโต๊ะหนึ่งมีอาหารฝรั่งตั้งเรียง มีช่องเดินผ่านได้สะดวกทุกโต๊ะ

มีจานชามขนาดใหญ่ใส่อาหารเต็มเรียงราย เพื่อจะให้ผู้มาในงานเลือกหารับประทานได้ตามความพอใจ
ส่วนอีกมุมหนึ่งห่างไกลพอสมควร อยู่โดดเดี่ยวเป็นโต๊ะที่จัดอาหารอิสลาม
และชาวไทยอิสลามคอยบริการตักอาหารให้ผู้ที่ต้องการ นอกนั้นอีกมุมหนึ่งก็มีโต๊ะผลไม้และของหวาน
มีบาร์เครื่องดื่มสุราไทยและต่างประเทศ ทั้งเบียร์น้ำอัดลมต่างๆ เป็นที่ถูกใจของนักดื่มทั่วไป

ข้าพเจ้าเห็นว่าการเลี้ยงแบบนี้เป็นระเบียบสะดวกดี เมื่อถึงเวลาต่างก็เข้าไปตักอาหาร
ใครต้องการอาหารไทย จีน แขก ฝรั่ง เลือกได้ตามโต๊ะมากน้อยตามชอบใจ
ใครจะมาช้ามาเร็ว อาหารเขามีไว้คอยเพิ่มเติมตามโต๊ะเสมอ ผิดกับโต๊ะจีนซึ่งจำเป็นต้องไปนั่งรอคอยเกินเวลา
บางงานกำหนดเวลาลงมือรับประทาน ๑๘.๓๐ น. ไปนั่งคอยจน ๒๐.๐๐ น. กว่าก็ยังรอต่อไป
บางท่านไม่มีอะไรรองท้องมาแต่บ้าน เพราะเคยกินเวลา ๑๘.๐๐ น. ก็หิวจนทนไม่ไหว
ค่อยๆ เลี่ยงแอบกลับไปก่อนที่จะยกอาหารมาตั้งโต๊ะก็มี นี่เพราะแขกพวกเราส่วนมากมัวโอ้เอ้จนเคยตัว
ทำให้พวกชาวต่างประเทศที่เชิญเขามาตรงเวลาต้องนั่งคอย
คงจะนึกว่างานเลี้ยงของคนไทยคนจีนนี่ดูไม่มีระเบียบเลย โดยมารยาทแล้วเขาก็ไม่กล้าติไม่บ่นต่อหน้า
แต่ลับหลังเขาอาจไปพูดไปเล่าสู่กันฟัง นึกแล้วก็น่าละอายใจที่สุด สังคมของเราคงจะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่สำคัญจึงมิได้ช่วยกันปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมา

เราควรจะมองเห็นเป็นเรื่องสำคัญมาก
ถ้าเราคิดพิจารณาดูให้ดีแล้ว ย่อมจะมองเห็นความเสียหายมากมายเกี่ยวกับวัฒนธรรมเป็นประการแรก
ถูกหาว่าไม่ซื่อตรงต่อเวลา ทั้งพวกเราก็ชอบเชิญชาวต่างประเทศให้เขามาเห็นแบบอย่างที่ไม่ดี
เขาก็อาจจะตำหนิว่าคนไทยชอบโอ้เอ้ไม่ตรงเวลาแบบนี้ งานไหนก็งานนั้นเกิดจนเป็นนิสัยทำให้เสียหายส่วนรวม
ไม่อยากนึกว่ามันเสียหายมากเพียงไร
ข้าพเจ้าเคยพบเคยเห็นบางงานที่เลี้ยงโต๊ะจีน เห็นแขกรับเชิญมาล่าช้าเกินกำหนดเวลาอาหาร ๑๙.๐๐
นึกว่าจะลงมือทานก็ ๒๐.๐๐ น. กว่าก็นับว่าเกินเวลามากแล้ว แต่แขกบางคนบางพวกยังมาเลยเวลา ๒๑.๐๐ น.
เมื่อการเลี้ยงจวนจะสุดสิ้นลงแล้ว แขกพวกนั้นก็มายืนชะเง้อมองหาโต๊ะว่าง ทำให้เจ้าภาพลำบากใจ
หากหาโต๊ะสำรองได้ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจำกัดไม่มีโต๊ะสำรองไว้เจ้าภาพก็ไม่สบายใจ
แม้แขกจะมาผิดเวลามากไม่นึกถึงหัวอกผู้จัดงาน ทำความยุ่งยากให้แก่เจ้าภาพไม่มากก็น้อยทุกรายไป
เรื่องนี้หากไม่แก้ไขให้มีระเบียบก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่สิ้นสุด อย่าเห็นเป็นสิ่งไม่สำคัญ

ปัจจุบันนี้เราติดต่อกับชาวต่างประเทศมาก
ฉะนั้นในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ควรจะให้ต่างชาติเข้าใจผิดว่าเป็นนิสัยของคนไทย
หากสังคมร่วมใจช่วยกันแก้ไขก็คงไม่ยากนัก เพียงแต่ในบัตรเชิญตอนท้ายระบุลงไปว่า
“อาหารตรงเวลา หากผู้ใดขัดข้องมาไม่ได้โปรดตอบ”

ผู้รับเชิญก็คงตรงเวลา แล้วเจ้าภาพทุกรายก็ต้องปฏิบัติให้ตรงเวลา เป็นระเบียบช่วยกันรักษาความเที่ยงตรง
สังคมช่วยกันดัดนิสัยคนโอ้เอ้ให้เป็นคนตรงเวลา เมื่อทุกคนปฏิบัติก็เหมือนกันทุกงาน
ไม่ช้าก็จะเป็นระเบียบเดียวกัน พวกเจ้าภาพก็จะประหยัดค่าอาหารลงไปอีกมาก เมื่อรู้จำนวนแขกแน่นอน

ข้าพเจ้าฝากข้อคิดนี้ไว้ให้อนุชนนำไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงสังคม
ที่จะทำให้เจ้าภาพและผู้ที่รับเชิญมีความสบายใจขึ้นทุกฝ่าย
หากยุคปัจจุบันแก้ไขไม่ได้ หวังว่าอนาคตคงจะเกิดผลบ้าง คืนนั้นเราได้รับความสนุกสนานในหมู่เพื่อนเก่า
ซึ่งบางท่านก็ยังเป็นข้าราชการ และบางท่านก็เป็นนักการค้าและกฎหมายนักปกครอง

อาหารแบบช่วยตัวเอง ทำให้พวกเรารวมพวกนั่งสนทนากันเป็นหมู่ และได้เลือกอาหารที่ถูกปากถูกรสนิยม
ผสมที่ได้คุยกับเพื่อนเก่าๆ อย่างออกรสสนุกสนาน ทำให้เจริญอาหารมากกว่าธรรมดา
และทำให้เพื่อนๆ ได้มีโอกาสปล่อยอารมณ์คลี่คลายความเคร่งเครียด เกิดความครื้นเครงรื่นเริง
ทำให้ชีวิตสดชื่นแจ่มใสขึ้น เราต่างก็มีความพอใจที่มีโอกาสพบกัน

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ทุกอย่างย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างนึกไม่ถึงและไม่รู้ตัว
ปัญหาชีวิตเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเวลาใด จะร้ายแรงใหญ่โตหรือเล็กน้อยแล้วแต่เหตุการณ์
และผู้แก้ปัญหาจะปฏิบัติคืนนั้น ท่ามกลางการสนทนากันอย่างสนุกสนานรื่นเริงสรวลเสเฮฮา

ก็มีคนรับใช้จากบนตึกใหญ่ เที่ยวตามหาตัวเพื่อนผู้หนึ่งในพวกเรา แทนที่จะร้องเรียกทางขยายเสียง เช่นงานอื่นๆ
เห็นจะเป็นเพราะเพื่อนผู้นี้คุ้นเคยกับครอบครัวเจ้าบ้านมาก คนในบ้านทุกคนรู้จักดี
และรู้ว่าเรามารวมกลุ่มอยู่ที่ไหน เมื่อหาผู้ต้องการพบคนรับใช้ผู้นั้นก็บอกว่า “มีผู้ขอพูดโทรศัพท์ด้วย”

เพื่อนผู้ถูกตามตัวหันมาขอโทษพวกเพื่อนๆ ไปพูดโทรศัพท์แล้วจะรีบกลับมาคุยกันให้สนุกใหม่
แล้วก็เดินตามคนรับใช้หายขึ้นไปบนตึก
สักพักใหญ่ก็เห็นเดินกลับมา มีสีหน้าบึ้งแสดงอารมณ์ออกซึ่งความขึ้งเครียด
ดวงตาแข็งกร้าวกัดกรามนูนด้วยความโกรธ มองเห็นก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องกระทบกระเทือนใจ ทำให้เกิดโทสะจัด

แต่เมื่อได้เดินเข้ามาในหมู่เพื่อนฝูง ก็รู้สึกว่าได้พยายามระงับความรู้สึกภายในให้เข้าสู่ความเป็นปกติ
เมื่อได้มานั่งลงระหว่างเพื่อนฝูงแล้วก็ยังไม่พูดอะไร เห็นจะแค้นจนพูดไม่ออก
ทำให้เพื่อนๆ มองเห็นได้ชัดถึงกิริยาที่ผิดปกติ แต่แล้วก็มีเพื่อนผู้หนึ่งอดรนทนความนิ่งของเพื่อนไม่ไหว
จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ถ้าทางบ้านมีเรื่องอะไรสำคัญ หรือแม่บ้านรู้เรื่องเราไปโดดร่มไว้ที่ไหนกระมัง จึงได้แสดงกิริยาไม่สบายใจ”

เพื่อนผู้กำลังอยู่ในอารมณ์ไม่ปกติ ได้พยายามข่มความรู้สึกระงับอารมณ์เข้าสู่ความสงบ
แล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“มันไม่ใช่เรื่องภายในครอบครัว มันเป็นปัญหานอกบ้าน ผมเป็นคนโชคร้ายพบแต่คนใจชั่วจิตทรามเห็นแก่ตัว
คอยเบียดเบียน ผมหนีไม่พ้นคนใจบาปไม่มีศีลธรรม มันคอยข่มเหงน้ำใจ เห็นจะสุดขีดของความอดทนเสียแล้ว”

เมื่อเพื่อนพูดมาถึงเพียงนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าความกดดันอัดไว้ภายในกำลังจะระเบิดออกมาภายนอก
เสียงพูดเริ่มจะสั่น โทสะกำลังจะเริ่มพุ่งออกมาอีก เพื่อนหยุดพูดพักหนึ่ง
กำลังระงับต่อสู้กับความรู้สึกอันแรงให้สงบลง พวกเพื่อนๆ ต่างก็นิ่งหยุดพูดเล่นเย้าแหย่สนุกสนานเช่นเมื่อครู่
เพราะต่างก็รู้ว่ามันไม่ใช่เวลาจะพูดเล่นสนุกสนาน ในเวลาเพื่อนกำลังทุกข์เช่นนี้
เพื่อนทุกคนก็กำลังคอยฟังเรื่องราวเหตุการณ์ของเพื่อนที่เกิดขึ้น
แต่เพื่อนผู้นั้นได้พยายามข่มความรู้สึกระงับเป็นปกติแล้ว ก็พูดขึ้นอย่างรู้ตัวเสียใจว่า

“ผมต้องขอโทษที่เผลอเอาเรื่องส่วนตัว มาทำลายความรู้สึกของเพื่อนที่กำลังมีความสนุกสนาน
ซึ่งนานๆ จะได้รวมตัวกันเช่นนี้สักครั้งหนึ่ง ผมไม่รู้จะขอโทษอย่างไรดี
และขอให้เพื่อนๆ จงสนุกสนานกันต่อไปให้เต็มที่ ผมจะต้องลากลับบ้านก่อนละ ขืนอยู่เพื่อนๆ ก็คงหมดสนุกแน่”

เสียงเพื่อนหลายคนต่างไม่ยอมให้กลับ เพื่อนผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า
“ถ้าไม่เป็นความลับจะต้องปิดบังแล้ว ขอให้พวกเราเพื่อนฝูงได้รับรู้ไว้ด้วย เผื่อหากหนักเบาก็จะช่วยแบ่งภาระ
หากจะมีทางช่วยเหลือแนะนำได้บ้างก็จะช่วยกันคิด หลายหัวดีกว่าหัวเดียว
สำหรับเพื่อนฝูงที่ดีเมื่อเพื่อนเดือดร้อนก็ควรเห็นใจ ถ้าช่วยกันได้ก็ต้องช่วย”

เพื่อนผู้นั้นนั่งนึกเพื่อตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
“ขอบใจเพื่อนฝูงที่เห็นใจ ผมออกจะเป็นคนเห็นแก่ตัวสักหน่อย นานๆ จะได้พบกัน
มีโอกาสพอพบกันก็ทำให้เพื่อนๆ พลอยได้รับความไม่สบายใจไปกับผมด้วย”

แต่เราเพื่อนทุกคนในที่นั้นต่างก็เห็นอกเห็นใจ ต่างก็คะยั้นคะยอให้เล่าถึงต้นเหตุทำให้เกิดความไม่สบายใจ
แต่แล้วเพื่อนผู้นั้นข่มความรู้สึกจนปกติ แล้วเริ่มเล่านับแต่ต้น
ข้าพเจ้าได้พยายามเรียบเรียงลำดับขึ้นจากคำบอกเล่าของเพื่อนว่า

ในยุคปัจจุบันนี้ใครๆ ก็เห็นว่าบ้านเมืองกำลังเจริญรุ่งเรือง โลกกำลังก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ประเทศเราได้เจริญทางวัตถุอย่างผิดหูผิดตา ตึกรามบ้านช่องโรงแรมกำลังจะแข่งขันกันก่อสร้างในด้านความสูง
ความใหญ่โตความสวยงาม ถนนขยายมากมายเป็นถนนชั้นดีชั้นหนึ่ง ตัดผ่านจังหวัดติดต่อแทบจะทั่วประเทศ
มีพลเมืองมากมายในกรุงเทพฯ มีผู้คนแออัดยัดเยียดกันอยู่ทั่วทุกแห่ง มีรถยนต์วิ่งติดต่อไม่ขาดระยะ
นี่เป็นความเจริญทางวัตถุที่มองเห็นได้ แต่ทางด้านศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมทรามลง
คนโลภคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น คอยหาโอกาสกอบโกยไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ

ทางอาชีพการงานของผมได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่หนุ่มจนแก่
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมา ไม่เคยมีความมัวหมองเลย
แต่กระนั้นก็ยังมีคนอิจฉาคอยปัดแข้งปัดขา หวังจะช่วงชิงตำแหน่งหน้าที่อย่างหมดยางอาย
พวกจิตทรามได้พยายามเจาะจงวิ่งเต้นเสนอตัว ขอตำแหน่งของผมต่อผู้มีอำนาจสูง
แต่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ท่านยังทรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม พิจารณามองเห็นตัวตนของผู้เสนอว่า
เป็นผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม และหาความคิดมิได้
เรื่องจึงระงับลงด้วยความไม่สมหวัง พร้อมกับคำตำหนิของผู้ใหญ่ อันคนดีมีความรู้ไม่สนใจในตำแหน่ง
แต่ตำแหน่งหน้าที่วิ่งมาหาท่านเอง หากพอใจท่านก็รับหากไม่พอใจก็ไม่รับ
เพราะท่านถือว่างานที่ทำนั้น ต้องนำความเจริญมาสู่ชาติบ้านเมืองส่วนรวม มิใช่เป็นความเจริญส่วนตัว
ซึ่งท่านจะต้องรับผิดชอบ ชื่อเสียงความดีของท่านเป็นประกัน ท่านเหล่านี้ควรยกย่องเคารพ
เพราะเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงตรงต่อหน้าที่ นั่นแหละครับมนุษย์ในยุคนี้มีทั้งคนดีคนชั่ว

การเบียดเบียนของมนุษย์ใจชั่วในยุคนี้ ไม่สนใจว่าใครจะได้รับความเดือดร้อนอย่างไร
อยากจะสร้างความมั่งคั่งแก่ตัวเองบนเลือดเนื้อผู้อื่น เหตุนี้ผมจึงรู้สึกเบื่อชีวิตในเมืองหลวง
เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตึกรามบ้านช่องถนนหนทาง ที่จอแจไปด้วยยวดยานอย่างคับคั่ง
อุบัติเหตุเกิดขึ้นในท้องถนนทำลายชีวิตมนุษย์ไม่เว้นแต่ละวัน
เบื่อมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว คอยเบียดเบียน โลภไม่มีสิ้นสุด จึงอยากจะไปให้ห่างไกลในชีวิตเป็นชาวไร่ชาวดง
ผมจึงตัดสินใจออกจากงาน จะไปอยู่ตามป่าตามดงที่เราแก่แล้วหาความสุขความสงบไปวันหนึ่งๆ
ผมจึงไปหาซื้อที่ที่มีผู้จับจองทำไร่ไว้แล้ว รวบรวมได้หลายแปลง ผมจะใช้ชีวิตในบั้นปลาย
หาความเงียบสงัดถือความสันโดษ ผมจึงให้ผู้ดูแลจัดการให้ลูกจ้างปลูกพืช และลงไม้ยืนต้นไว้ก่อน

เมื่อถึงเวลาผมก็จะไปอยู่ใช้ชีวิตง่ายๆ นึกว่ามันลำบากกาย
เพราะความสะดวกสบายมันคงไม่เหมือนอยู่ในเมืองหลวง แต่มันสบายทางใจใช้ได้
แม้มันจะไกลมดไกลหมออยู่บ้างก็ไม่เดือดร้อน เมื่อพูดถึงความตายเมื่อถึงเวลาจะอยู่ที่ไหนมันก็ตาย
ผมไม่ค่อยจะวิตกทุกข์ร้อนอะไร ผมจะปรับปรุงตัวเองให้กินง่ายอยู่ง่าย
เข้ากับความเป็นอยู่ชนบทตามป่าตามดง ที่ห่างไกลความเจริญ แต่ทุกอย่างที่ผมตั้งใจทำท่าจะเกิดอุปสรรคเสียแล้ว
สมกับพระท่านว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ย่อมจะเปลี่ยนแปลงได้ เรื่องของผมก็เช่นเดียวกัน
คือเมื่อครู่นี้ที่ผมไปรับโทรศัพท์ ทางบ้านได้โทรมาบอกว่า ผู้จัดการไร่ได้โทรศัพท์ทางไกลมาบอกว่า
เจ้าของที่มีไร่ติดต่อกับไร่ของผม มันได้ให้คนมารุกล้ำในเขตของผม
ซ้ำร้ายมันยังให้คนตัดไม้ยืนต้นฟันพืชที่ปลูกไว้ ซึ่งกำลังจะเติบโตให้ผลอยู่แล้ว
พวกที่ไร่คอยว่าผมจะสั่งให้จัดการอย่างไร พอผมได้ยินรู้เรื่องเท่านั้นเลือดมันฉีดขึ้นหน้าร้อนผ่าวทันที
ผมโกรธจนตัวสั่นใจสั่น ขาดสติยับยั้งลืมอะไรทั้งหมดมีแต่ความโกรธแค้น โชคดีที่ผมอยู่ไกลกับที่เกิดเหตุ
หากว่าอยู่ใกล้ผมจะแล่นไปถึงตัวอ้ายคนใจชั่ว สั่งสอนมันด้วยเลือด
เสร็จแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นภายหลัง ชะตาชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ไม่แน่
ถึงผมมีอายุมากแต่ผมยังอยู่ในกิเลสตัณหา ผมตั้งใจจะหนีไปอยู่ป่าแล้วก็ยังไม่พ้นคนใจชั่ว
เมื่อเห็นว่ามันข่มเหงรังแกอย่างไม่เป็นธรรม แล้วเหลือความอดทนก็ต้องระเบิดโทสะ จิตเกิดอกุศลขึ้นมา
อยากล้างกันด้วยชีวิตมันถึงจะสมกับความแค้นความเจ็บใจ ผมรู้สึกว่าดวงชะตาของผมนี้ไม่พ้นมนุษย์ใจทราม
พวกเป็นภัยของสังคมไม่ใช่มีแต่ในเมืองใหญ่ ที่ป่าดงมันยังตามไปรังควาน
เห็นจะเป็นกรรมของผมอดีตชาติติดตามมาจึงคอยจองล้าง พบแต่มนุษย์ที่เป็นมารสังคมคอยเบียดเบียนอยู่เสมอ

พวกเพื่อนๆ ได้ฟังทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ
มีเพื่อนกำลังเมาและมุทะลุเกิดความเจ็บแค้นแทนเพื่อน พูดออกมาด้วยความเมาว่า
“นี่มันดูถูกข่มเหงเกียรติลูกผู้ชาย มันต้องล้างกันด้วยเลือดไม่ต้องกลัวมัน พวกเราช่วยกัน ต้องเอามันเลย
จะเฉยไม่ได้ ต้องสั่งสอนมันเสียบ้าง มันร้ายมาเราก็ร้ายตอบไป ถูกไหมพวกเรา”

แต่ก็ไม่มีเสียงสนับสนุน ทำให้เพื่อนขี้เมาเพิ่มความโกรธยิ่งขึ้น
หาว่าพวกเราไม่เจ็บร้อนแทนเพื่อนจึงพากันนิ่งเพราะกลัว แต่พวกเราไม่ได้ออกความเห็นอะไร
นั่งฟังด้วยความอดทน แม้จะถูกบริภาษใส่หน้า พวกเราได้ยินได้ฟังคนเมาพูดแล้วก็เศร้าใจ
เพราะเห็นว่าความทุกข์ของเพื่อนเหมือนไฟสุมอยู่ในอก
แทนที่เราจะช่วยกันเอาความเย็นเข้าดับด้วยสติและเหตุผล
นี่กลับไปยุใส่ไฟเพื่อความโกรธแค้นให้มากขึ้น เท่ากับเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟ

แต่ก็เป็นธรรมดาของคนส่วนมากที่ดื่มเมาไปแล้วก็พูดอะไรออกมา โดยขาดสติขาดความระมัดระวัง
ไม่ใช้ความคิดและไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ใคร
นี่ก็เป็นสาเหตุต้นเรื่องให้เกิดความไม่สงบขึ้นจากคนเมา
ทำให้เกิดการฆาตกรรมหรือทำร้ายกันถึงเลือดตกยางออก บางรายก็ถึงแก่ชีวิตเป็นข่าวประจำอยู่เสมอ
ต้นเหตุเกิดขึ้นจากความเมาส่วนมาก ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่ด้วยใจไม่สบาย ต่อคำยุยงส่งเสริมให้เกิดการก่อเวรขึ้น
ย่อมจะหนีการล้างกันด้วยเลือดไปไม่ได้ การจองเวรแล้วก็คอยจองล้างกันไม่สิ้นสุด

ข้าพเจ้านิ่งฟังดูเหตุการณ์ด้วยความสงบ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร มีเพื่อนทั้งรุ่นอาวุโสและที่อ่อนวัยกว่า
ต่างก็หันมามองดูข้าพเจ้า เชิงขอความเห็นว่าจะทำอย่างไรดี จะปล่อยให้คนเมามาพล่ามเป็นภัยอย่างนี้ต่อไปหรือ
ข้าพเจ้าก็ได้แต่สั่นหัว เพราะรู้ตัวดีว่าไม่สามารถจะพูดอะไรกับคนเมาให้รู้เรื่อง เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
ในเมื่อยังมีคนขี้เมากำลังสำแดงความเก่งกล้า มีความคิดเห็นอันตรงกันข้ามกับความสงบของเรา

เพราะเพื่อนขี้เมาคนนี้ผิดกับคนอื่น
ดื้อดึงถือดีว่าตัวเป็นผู้ใหญ่เอาความคิดของตัวฝ่ายเดียวว่าถูก ไม่ยอมฟังเหตุผลของใครทั้งหมด
เวลาเมามากๆ ความคิดเหมือนทารก พูดวนไปเวียนมาต้องการให้คนอื่นคล้อยตาม
เห็นพวกเรานิ่งไม่เข้าด้วยก็แสดงกิริยาไม่พอใจ เอะอะทำท่าจะอาละวาดหาว่าไม่รักเพื่อนฝูง ไม่เจ็บร้อนแทนกัน
ใช้คำพูดหยาบๆ เคราะห์ดีที่พวกเราออกมาห่างจากหมู่คน แม้จะพูดดังไปบ้างก็ไม่เป็นที่รบกวนรำคาญแก่ผู้อื่น
นอกจากพวกเรากันเอง ปล่อยให้คนเมาพูดพล่ามคนเดียว เรานั่งฟังด้วยความสงบ
เสียงเพื่อนที่เมาพูดอย่างไม่พอใจ ที่ไม่มีใครสนับสนุนเห็นด้วยกันแกว่า

“นี่คุณอย่าไปเชื่อพวกนี้ ล้วนแต่แก่ศีลธรรมทั้งนั้น
คงแนะนำให้ใช้อหิงสาแบบแขกแล้วก็โดนเจ๊กแดงรุกแดนเข้าไป ทนไม่ไหวก็ต้องจับอาวุธเข้าต่อสู้
เพื่อป้องกันดินแดน มีตัวอย่างเกิดในเมืองแขกแล้วเห็นไหม เรามาต้องดูซิ
เวลานี้เราอย่าคิดว่าเอาความดีชนะความชั่วเลยไม่มีหวังหรอก มันล้าสมัยแล้ว เชื่อผมเถิด
อย่าคิดว่าผมพูดเพราะเมา แต่ผมไม่เมา”

เพื่อนผู้อาวุโสผู้หนึ่งทนฟังไม่ไหวจึงพูดโต้ตอบขึ้นว่า “แขกกับเจ๊กมันคนละอย่าง
เจ๊กแดงใครก็รู้ว่าเป็นพวกไม่มีศาสนา ไม่มีศีลธรรม มีแต่ความอสัตย์
มีแต่ความหลอกลวงเหมือนอสรพิษ ที่คอยขบกัดไม่ว่าใครจะเป็นมิตรหรือคัตรู ไม่เคยเป็นมิตรจริงจังกับใคร
เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก

ใครหลงใหลเชื่อพวกนี้ก็ถูกพาไปตกนรก มันผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเรา
เพราะพวกเรายังมีศาสนายังมีศีลธรรม มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ
และยังมีรัฐบาลปกครองบ้านเมืองยังมีขื่อมีแป เราอยู่ในแผ่นดินไทยจะเปรียบเทียบแขกกับเจ๊กแดงไม่ได้”

เพื่อนคนเมาแสดงกิริยาโกรธมากที่มีคนมาขัดความเห็นของตัว ข้าพเจ้ามองเห็นเพื่อนผู้เป็นเจ้าทุกข์มีความอดทน
ข่มจิตของตนไม่ยอมคล้อยตามความเห็นของคนเมา
ข้าพเจ้าก็ค่อยเบาใจ คิดว่าเพี่อนที่ดีย่อมคอยป้องกันเพื่อนเมื่อมีภัย แนะทางที่ถูกและเกิดประโยชน์ทางศีลธรรม
ไม่ใช่ยุยงชักนำให้ประกอบกรรมชั่วให้เห็นผิดเป็นชอบ

แต่ก็น่าภูมิใจที่คืนนั้นมีเพื่อนที่เป็นมิตรแท้อยู่หลายคน ที่คอยหาโอกาสชี้แจงช่วยเหลือด้วยเหตุผล
หลังจากมีเพื่อนผู้หวังดีเห็นคนเมาชักจะไปกันใหญ่ ก็ได้คนแอบไปกระซิบกับภรรยาของแกที่มาด้วยกัน
แต่แยกไปอยู่อีกทางหนึ่ง มาช่วยพาตัวกลับบ้านบรรยากาศก็เข้าสู่สภาพปกติ

แม้ยังมีบางท่านมีอาการมึนเมาก็ไม่เป็นภัย เพราะได้แต่นั่งทำตาปรือเมาไปแล้วไม่ปริปากพูดกับใครเป็นนิสัย
จึงไม่เป็นภัย เพื่อนที่มีอาวุโสพร้อมทั้งพวกเราผู้รักษาความสงบ เห็นพ้องต้องกันว่า
อันแรกเราขอให้เพื่อนผู้มีความแค้นสาเหตุจากถูกรุกล้ำที่ดิน ขอให้ทำใจให้สงบดับความโกรธให้หาย
ทำใจให้เป็นปกติ สิ่งจำเป็นที่เราจะต้องทำคือไปพบกับเจ้าของที่ดิน ที่มีเขตติดต่อข้างเคียงผู้เป็นต้นเหตุรุกราน
ขอทราบเหตุผลให้แน่ชัดก่อน เพราะเราเป็นชาติไทยด้วยกัน ไม่ใช่แขกกับเจ๊กที่พูดกันไม่รู้เรื่องให้หายสงสัย

ถ้าเข้าใจผิดก็ปรับความเข้าใจให้ถูกต้องเสียใหม่ อย่ามัวคิดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องตัดสินเดาเอาเอง
อย่าเชื่อคนของเราฝ่ายเดียวโดยไม่ฟังเหตุผลทางอื่น จะเกิดความเสียใจภายหลัง เพราะต่างฝ่ายคงมีเหตุผลด้วยกัน

ฟังๆ ดูแล้วเหมือนจะมีเลศนัยแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง
เพราะได้พิจารณาการตัดต้นไม้และฟันพืช เป็นการกระทำของคนมีจิตใจป่าเถี่อน
ทั้งได้ทราบว่า เจ้าของที่ดินใกล้เคียงกับเพื่อนผู้นี้ ต่างก็ไม่เคยพบปะรู้จักหน้ามาก่อน
ผู้ที่มีที่ดินติดต่ออยู่ใกล้เคียงกัน ไม่น่าจะมาก่อศัตรูทำให้เป็นไม้เบื่อไม้เมาเช่นนี้เลย
สงสัยว่าจะมีการเข้าใจผิดทั้งสองฝ่าย

เพื่อนผู้มีทุกข์เกิดมีความสนใจในคำพูด และคำแนะนำของเพื่อนๆ จึงพูดขึ้นว่า
“ตามที่เพื่อนฝูงได้พากันขบคิดแก้ปัญหาในทางสันตินั้น ผมรู้สึกได้สติสมกับแม่บ้านหวังไว้
พูดมาในทางโทรศัพท์บอกว่าคืนนี้ที่บ้านงานคงจะได้พบเพื่อนฝูงเก่าๆ มากคนด้วยกัน
คงจะช่วยขบคิดแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี เมื่อฟังเหตุผลทำให้ผมนึกได้และเชื่ออยู่เสมอว่า
การเอาความดีชนะความชั่วนั้น เป็นการชนะจิตใจด้วยศีลธรรม เป็นการชนะบริสุทธิ์สะอาดทั้งสองฝ่าย
ดับความพยาบาทอาฆาต ไม่ก่อกรรมจองเวรกันต่อไป

ผิดกับความมุ่งหวังเขาร้ายมาเราก็ร้ายตอบไป เอาความชั่วชนะความชั่ว เอาความโกรธแค้นเป็นแรงดัน
อนาคตที่จะมุ่งหวังก็คงจะต้องอับลง การล้างแค้นไม่ว่าแพ้หรือชนะ ย่อมจะก่อเวรก่อกรรมไม่มีที่สิ้นสุด
ผมจะทำตามคำแนะนำของเพื่อน เอาความดีชนะความชั่ว
ต่อไปนี้ขออย่าได้เป็นห่วงเพราะผมมาได้คิด เมื่อเพื่อนๆ ชี้แจงด้วยความหวังดีเมื่อครู่นี้เอง”

พวกเราอยู่ในที่นั้น ต่างก็พากันดีใจที่เห็นเพื่อนได้สติรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว
พวกเราได้แต่ภาวนา ขอให้เหตุการณ์ของเพื่อนคลี่คลายไปในทางดี เราก็คอยฟังข่าวด้วยความกระวนกระวาย
ขอให้เป็นข่าวดีหรือเรื่องร้ายกลายเป็นดี

คืนนั้น เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็อดนึกเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้
หากเพื่อนได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อนที่หวังดีแล้ว เหตุร้ายก็คงกลายเป็นดี ข้าพเจ้านึกแต่ในแง่ดีก็สบายใจ

คืนนั้นทำให้ข้าพเจ้าหวนนึกถึง เมื่อครั้งไปในงานทำบุญที่วัดตะเคียนทอง จ.นครนายก
ครั้งนั้นสุภาพสตรีผู้หนึ่งได้เล่าเรื่อง การถูกบุกรุกที่ดินของผู้ใกล้เคียงผู้หนึ่ง เกือบจะเป็นเรื่องพิพาทใหญ่โตขึ้น
สุภาพสตรีผู้นั้นเห็นการเอาเปรียบ ขาดมนุษยธรรมการรุกล้ำที่ดินมากเกินไป
จึงขอให้เจ้าพนักงานที่ดินมาทำการวัดสอบเขต คิดว่าคราวนี้คงจะเกิดโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
ผู้บุกรุกคงไม่ยอมง่ายๆ ตามนิสัยของมนุษย์ผู้เห็นแก่ตัว ชอบเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
แม้ตนเองจะมั่งมีมากมายเป็นผู้มีชื่อเสียง ก็ยังโลภอยากได้ของผู้อื่นอย่างไม่รู้จักพอ

ครั้นถึงกำหนดทำรังวัดเจ้าหน้าที่มาพร้อมแล้ว ท่านผู้นั้นก็มาถึง
คิดล่วงหน้าไว้แล้วว่า จะต้องมีเรื่องโต้เถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดงถึงพริกถึงขิง
ต้องเกิดความชิงชังกันจนไม่อยากมองหน้ากัน และจะต้องเป็นไม้เบื่อไม้เมาตลอดไป
เพราะท่านว่าสิ่งใดในโลกไม่มีอะไรแน่นอน
เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เพราะท่านผู้นั้นได้ใช้คำพูดสุภาพเรียบร้อยผิดกันเป็นคนละคน
ซึ่งวันนั้นได้พูดกับสตรีผู้นั้นว่า
“ที่ของคุณเดินในเขตของผมเท่าใด ขอให้คุณจัดการให้ถูกต้องตามแต่ความเห็นของคุณว่าสมควร
ผมจะลงชื่อรับรองตามความเห็นของคุณว่าถูกต้องไว้ก่อน ผมมีธุระด่วนจะรีบไปหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่
แล้วก็จะเอารายการรังวัดมาลงนามรับรองไว้ก่อนว่าถูกต้อง”

ทำให้สุภาพสตรีผู้นั้นตกตะลึง ไม่เคยนึกฝันว่าท่านผู้นี้เปลี่ยนจิตใจได้รวดเร็วเช่นนี้
ต่อจากนั้นมาก็มีข่าวว่าท่านผู้นี้ได้บริจาคเงินช่วยการกุคลมากมาย
ท่านผู้นั้นได้ทำบุญและสร้างถาวรวัตถุ เป็นสาธารณประโยชน์เป็นการใหญ่
เป็นผู้มีชื่อเสียงผู้หนึ่งในการทำบุญสร้างกุศล
ต่อมามีชื่อว่าเป็นผู้ทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาผู้หนึ่งในประเทศไทย

อีกเรื่องหนึ่งคุณนายเป็นสุภาพสตรี เจ้าของสวนกล้วยหอมมีบริเวณกว้างขวาง
และมีสวนละมุดซึ่งอยู่ห่างไกลกันคนละแห่ง สวนนี้อยู่ในจังหวัดธนบุรี
คุณนายต้องปกครองดูแลสวนอันมีบริเวณกว้างใหญ่โตเช่นนี้ ย่อมจะไม่ทั่วถึง ทั้งยังไปรับราชการอยู่ต่างจังหวัด
ฉะนั้น ปรากฏว่ากล้วยหอมที่ออกเครือถูกขโมยตัดไปเป็นประจำ

ส่วนทางสวนละมุดนั้นลูกยังดิบยังอ่อนไม่ทันจะแก่ก็ถูกเก็บเอาไป
สุภาพสตรีผู้นั้นมีศีลธรรมจึงนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มิได้ตีโพยตีพายแสดงความโกรธแค้น ตะโกนแช่งด่าคนที่มาลักขโมยของในสวนเหมือนชาวสวนบางคน
ต่อมากล้วยหอมได้หายไปหลายเครือ คุณนายจึงได้เขียนหนังสือปักติดไว้ตอนที่กล้วยถูกตัดไป มีใจความว่า
“ฉันทราบแล้วว่าใครเป็นผู้ตัดกล้วยไป แต่ฉันไม่เอาเรื่อง จะตัดไปกินบ้างฉันก็ไม่ว่าอะไร
และฉันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ ฉะนั้นฉันอนุญาตให้ตัดไปกินได้ตามความประสงค์”

หลังจากปิดประกาศ
ต่อมาก็ปรากฏว่า กล้วยหอมที่หายไปนั้นได้กลับมาอยู่ที่ตรงป้ายหนังสือ พร้อมกับมีหนังสือเขียนไว้ที่ใบตองแห้ง
มีใจความว่า “คุณนายที่เคารพ ผมไม่ทราบว่าคุณนายเป็นคนใจดีอย่างนี้ ความดีของคุณนายทำให้ผมรู้สึกตัว
ผมขอนำกล้วยที่ผมตัดไปวันก่อนนั้นมาคืนให้ แล้วผมขอกราบขอบพระคุณ ผมจะไม่รบกวนอีก”

ส่วนทางสวนละมุดนั้น คุณนายก็เขียนหนังสือปักไว้ว่า
“ละมุดนี้ฉันอนุญาตให้เก็บกินได้ แต่ขอไว้ให้ลูกมันโตและแก่สุกเสียก่อน
เพราะเมื่อเก็บไปดิบๆ ลูกยังไม่โตยังไม่แก่มันก็บ่มไม่สุก กินไม่ได้ เสียของเปล่าๆ
ขอให้เก็บเอาไปกินเมื่อผลมันแก่มันสุกเถิด”

นับแต่นั้นมาเวลาเกือบสองปีแล้ว ทั้งกล้วยหอมและละมุดไม่ได้หายอีกเลย เรื่องนี้คุณหมอได้นำมาเล่าให้ฟัง
ข้าพเจ้าก็อดอนุโมทนาไม่ได้ คนเราถ้าได้รู้นิสัยใจคอ เข้าใจกันดีแล้วก็ย่อมจะเกรงความดี
วิถีชีวิตของมนุษย์ทุกแง่ทุกมุมมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแปลกๆ
แต่การชนะความชั่วด้วยความดี ย่อมไม่มีการก่อเวรก่อกรรมเป็นชัยชนะแบบพระ ทำให้สบายใจอย่างไม่มีศัตรู

หลังจากการกินเลี้ยงในคืนนั้นแล้ว ต่อมาประมาณ ๑ เดือน ข้าพเจ้าได้รับจดหมายทางไปรษณีย์
เปิดออกอ่านแล้วทำให้ข้าพเจ้าดีใจ เพราะกำลังรอคอยข่าวด้วยความร้อนใจ
และไม่นึกว่าจะได้รับข่าวทางจดหมาย คิดว่าคงจะได้รับข่าวบอกเล่าจากเพื่อนมากกว่า
ใจความในจดหมายตอนหนึ่งว่า
“ผมไม่ทราบว่าจะขอบคุณพวกเพื่อนๆ ที่หวังดีต่อผมในคืนวันนั้นอย่างไรให้ถูกกับความรู้สึกจากใจจริง
ซึ่งบัดนี้เรื่องการรุกล้ำที่ดินของผม ได้ลงเอยกันอย่างเรียบร้อยและงดงาม
ก็เพราะทำตามคำแนะนำของเพื่อนๆ จึงเกิดผลดี แรกตั้งใจว่าจะมาขอบคุณด้วยตนเอง
แต่มานึกดูว่าขอบคุณด้วยปากแล้วจะล่าช้าไป
ผมจึงจดหมายมาก่อนถึงเพื่อนทุกคน ขอให้รู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยเพียงเท่านี้ก่อน
แล้วภายหลังผมจะหาเวลาเชิญรับประทานอาหาร แล้วเล่าเรื่องปีกย่อยให้ฟังอีก”

หลังจากวันที่ข้าพเจ้าได้รับจดหมายของเพื่อน
ต่อจากนั้นมาไม่นานนัก เพื่อนก็ได้ติดต่อนัดหมาย ให้เราไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง
แม้วันนั้นจะมีเพื่อนมาไม่พร้อมหน้ากัน เหมือนคืนงานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านเพื่อน เพราะมีบางท่านอยู่ต่างจังหวัด
และบางท่านติดราชการ
แต่เราก็มีหลายท่านอยากรู้ผลงานที่ได้ออกความเห็น แนะนำไปให้ปฏิบัติในคืนนั้นว่าจะเกิดผลอย่างไร
เพียงวันนั้นพวกเราต่างเจริญอาหารแล้ว ยังได้เรียกร้องความสนุกสนานสนิทสนม ที่ชะงักลงในคืนเลี้ยงวันเกิดนั้น
กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ฟังเหตุผลเรื่องของเพื่อนลุล่วงไปในทางดีอย่างนึกไม่ถึง เพื่อนเล่าว่า
“หลังจากผมได้กลับจากงานเลี้ยง เมื่อกลับไปถึงบ้านคืนนั้น แรกๆ ผมต้องใช้ความคิดหนัก
มีความกังวลและหนักใจเรื่องที่เกิดขึ้น ผมรู้ว่าเพื่อนๆ ต่างก็แสดงความวิตกกังวลเป็นห่วงด้วยกัน
กลัวผมจะขาดสติทำสิ่งที่ไม่ควรทำลงไป ผมรู้ได้ด้วยกิริยาท่าทางสีหน้าของเพื่อนได้ดี
ผมนึกภูมิใจที่มีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยช่วยเหลือแนะนำ

ปัญหาที่ยากก็สามารถให้ง่ายเข้า เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก และเพื่อนทุกคนล้วนแต่เคยผ่านชีวิตมามาก
และคงผ่านปัญหายากๆ มาไม่น้อย ทำให้ผมสบายใจเมื่อคิดถึงเพื่อนดีๆ
ยังสงสัยตัวเองว่าหากคืนนั้นผมไม่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ แล้วความรู้สึกทางอารมณ์ทั้งเจ็บทั้งแค้น
ความโกรธความพยาบาท ผมคงจะขาดสติทำอะไรโง่ๆ ลงไป เรื่องมันคงลุกลามใหญ่โตและคงไม่จบลงง่ายๆ
ผมคงจะได้รับกรรมของการทำครั้งนี้ อย่างน้อยแบกความทุกข์ความแค้น ความโกรธไว้ในใจไม่มีวันสิ้นสุด
เพราะผมจะต้องเกิดศัตรูคอยพยาบาทจองเวรจองล้างกันต่อไป
คนเราเวลาโกรธไม่ทันคิดว่าจะมีอะไรเกิดติดตามมาภายหลัง มีแต่ความแค้น
คิดแต่จะคอยมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามแก้เผ็ดให้หายเหมือนสาดน้ำรดกัน ย่อมจะเปียกด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ไม่ว่าฝ่ายแพ้หรือชนะย่อมจะก่อเวรกันต่อไปไม่สิ้น

เวลาโกรธเหมือนคนบ้า คิดแต่ว่าจะเป็นอะไรก็เป็นกัน ใครจะกลัวใคร ถ้ามีคนมายุเท่ากับมาโหมแรง ราดน้ำมันใส่กองไฟ
ฉะนั้น เมื่อผมได้ยินเพื่อนขี้เมาพูดแนะนำ ก็เกิดมีจิตใจดุเดือดเหมือนไฟจี้จุดแผลทั้งเจ็บทั้งร้อนขึ้นมา
แต่เมื่อได้ยินพวกเพื่อนๆ พูดเข้าหลักมีเหตุผลเหมือนเอาน้ำเย็นมาดับ

ผมกลับได้สติขึ้นมา นึกถึงเรื่อง “ความสงสาร” ที่เคยอ่าน ผมจึงตั้งจิตให้ความสงสารแผ่เมตตาแก่คนที่รุกล้ำที่ดิน
ซึ่งผมยังไม่เคยรู้จักเห็นหน้ามาก่อน จะเป็นใครก็ช่าง เมื่อเขาได้มามีความพัวพันในชีวิตนำความเดือดร้อนมาสู่ผม
แล้วผมก็ควรระงับใจให้ปกติโดยไม่โกรธตอบ ใช้การแผ่เมตตาให้ความสงสาร จิตใจก็หมดความฟุ้งซ่านกังวล
ความโกรธความเจ็บแค้นก็ค่อยๆ หายไป

ผมก็เริ่มต้นทำตามคำแนะนำของเพื่อนๆ ผมรีบจัดการสืบหาเจ้าของที่ดินไร่ข้างเคียงกับไร่ของผมอย่างเงียบๆ
ไม่อยากให้ใครรู้เรื่อง การสืบหาทางหอทะเบียนจังหวัดเพื่อรู้ที่ดินใกล้เคียงไม่ยากนัก
ที่สุดผมก็รู้ว่าเจ้าของที่ดินรายนี้ บ้านอยู่ในจังหวัดพระนครเช่นเดียวกับผม
และยังทราบว่าเจ้าของที่ดินไม่เคยเดินทางไปที่ไร่เช่นเดียวกัน ผมจึงนึกแน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นร้ายดีครั้งนี้
เจ้าของที่ดินคงจะไม่รู้ไม่เห็นเป็นใจด้วย เพราะผมได้ทราบว่าเจ้าของไร่ที่ดินรายนี้ เป็นผู้ที่มีคนรักใคร่นับถือ
ว่าเป็นคนที่มีจิตใจเที่ยงธรรม เป็นคนใจบุญ เคยสร้างบุญกุศลมากมาย
นึกเสียใจว่าผมควรจะไปทำความรู้จักไว้ก่อน ก็คงไม่มีเรี่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นแน่
เมื่อทราบที่อยู่ของท่านเจ้าของที่ดินที่ทำไร่ ซึ่งผมได้รับรู้แล้วผมก็ตรงเข้าไปหา ซึ่งท่านผู้นั้นก็อยู่ในกรุงเทพฯ
ครั้งแรกท่านให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี เพราะยังไม่รู้ว่าผมเป็นใครมาหาและมีธุระด้วยเรื่องอะไร

แต่พอรู้เรื่องว่าผมเป็นเจ้าของที่ดิน มีไร่เขตติดต่อกับที่ดินของท่านเท่านั้น ก็เปลี่ยนสีหน้าบึ้งตึง
แสดงกิริยารังเกียจว่าไม่เป็นมิตร ทำท่าโกรธขึ้นมาทันที จะลุกหนีไปให้พ้น พลางพูดอย่างโกรธไม่มีหางเสียงว่า
“คุณรุกล้ำที่ดินผมตัดต้นไม้ของผมยังไม่พอใจอีกหรือ จะเอาอะไรกับผมอีกล่ะ ผมไม่มีเวลาจะพูดกับคุณอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดผมก็ชะงัก นึกว่าคำพูดเหล่านี้ควรจะเป็นผมพูดแต่ผมก็ไม่มีเวลาคิด
ได้แต่ขอร้องให้ท่านอดทนฟังผมให้ความแจ่มแจ้งเสียก่อน ให้สมกับผมได้อุตส่าห์สืบหามาจนพบบ้าน
ผมนึกว่าเราคงมีอะไรเข้าใจผิดกันขึ้นเป็นแน่ ผมหรือคุณที่รุกล้ำที่ดินกันแน่
เมื่อมีสิ่งใดผิดถูกจะได้ปรับความเข้าใจให้เรียบร้อยโดยสันติ เพราะต่อไปเราก็จะได้เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน
หากที่ดินของท่านรุกล้ำมาในที่ดินของผมจริงเท่าใดผมยินดีคืนให้ ขอเพียงให้ผมได้รับความยุติธรรม
ให้ได้รับความสงบสุขในบั้นปลายของชีวิต ที่ผมต้องหนีความแออัดของเมืองที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว
และผมไม่ถือว่าที่ดินและพืชไร่เป็นสมบัติอะไรแน่นอน คิดว่าเป็นเพียงที่พักอาศัยเมื่อเวลามีชีวิตอยู่
ผมมีอายุมามากแล้ว ความตายก็ใกล้เข้ามา ตายไปจะเอาที่ดินติดตัวไปไม่ได้ แล้วจะยึดถือเป็นสมบัติอะไรจริงจัง

ท่านผู้นั้นนั่งนิ่งอย่างเสียไม่ได้ ฟังผมพูดกิริยาท่าทางสงบขึ้น ความโกรธ ความรังเกียจก็ค่อยน้อยลง
ผมจึงเริ่มเรื่องการบุกรุกที่ดิน ตามที่ผู้จัดการไร่ของผมได้รายงานส่งข่าวมาตลอด
จนครั้งหลังได้ทราบว่าตัดพืชและทำลายไม้ยืนต้นเสียหาย

ท่านผู้นั้นฟังผมเล่าแล้วก็ตะลึงอ้าปากค้างเหมือนถูกผีหลอกกลางวัน
เพราะท่านรู้สึกว่าฝ่ายผมต่างหากที่รุกล้ำที่ดินและตัดต้นไม้
เมื่อรู้เรื่องกันดีแล้ว ความบึ้งตึงท่าทางแสดงความรังเกียจในตัวผมก็หายหมดสิ้นไป
เพราะเราเข้าใจกันดีแล้ว มัวหลงโกรธกันทั้งสองฝ่ายเพราะเข้าใจผิด

ท่านผู้นั้นเล่าว่าเมื่อท่านได้รับรายงานจากผู้จัดการไร่ ก็หลงโกรธเจ็บใจจนนอนไม่หลับ
คิดว่าจะจัดการอ้ายคนที่รุกล้ำที่ดินของท่านอย่างหมิ่นเกียรติ
แม้จะฉิบหายขายตนก็ยอมทุ่มเท ตลอดจนทำลายชีวิตผม ท่านก็บอกว่าทำได้เพราะโกรธ

ความจริงท่านเจ้าของที่ดินติดต่อกับเขตของผมนั้น เป็นคนมีนิสัยดีมีศีลธรรม
แต่ความโกรธความแค้นความเจ็บใจ ถ้าได้ไปตั้งอยู่ในตัวผู้ใดแล้วก็อาจทำลายได้ทุกสิ่งเพราะขาดสติ
เมื่อเราได้ติดต่อรู้เรื่องกันดีแล้ว เราก็ปิดเป็นความลับ ได้พยายามส่งคนที่ไว้ใจได้ทั้งสองฝ่ายออกไปสืบลับๆ
ทั้งส่งให้คนงานเข้ามาช่วยทำงานในบ้านกรุงเทพฯ แล้วก็สอบสวนครั้งละคน เราก็ได้ความว่า
ผู้จัดการดูแลไร่ซึ่งเราได้จัดส่งไปจากกรุงเทพฯ ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
สำหรับของท่านผู้นั้นก็เป็นหลานห่างๆ ของภรรยา ส่วนทางผมก็เป็นญาติเกี่ยวข้องทางคุณแม่
ทั้งสองเกิดไปขัดใจกันขึ้นเพราะต่างก็อยู่ในวัยหนุ่ม ไปชอบพอรักใคร่กับหญิงงามบ้านป่าคนเดียวกัน
จึงต่างก็ไปอวดมั่งมีเป็นเศรษฐีกับผู้หญิงต่างก็ชิงดีชิงเด่น ทำให้ก่อเป็นศัตรูกันขึ้นมา
ต่างก็คอยทำลายพืชผลซึ่งกันและกัน เราต่างก็ทราบแน่ชัดว่าเป็นการกระทำของคนโง่ๆ ที่อวดฉลาด
ไม่นึกว่าวันหนึ่งข้างหน้าเจ้าของทั้งสองฝ่ายคงจะมีผู้รู้ความจริง ตลอดหญิงที่ตนรักที่ตนอวดไว้รู้ความจริงแล้ว
เรื่องจะลงเอยกันด้วยความเศร้าและความอับอาย เพราะไม่มีความจริงดังที่อวดอ้าง

เราต่างก็เรียกผู้จัดการดูแลไร่ ผู้อวดกับหญิงว่าเป็นเจ้าของไร่ให้กลับกรุงเทพฯ แล้วสอบสวนก็รับสารภาพ
ว่าเท่าที่เรารับรู้มาเป็นความจริงทุกอย่าง และต่างก็สำนึกความผิดของตน เราจึงได้ส่งผู้ที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ไปแทน
ด้วยเรื่องมันก็ยุติลงโดยดีอย่างนี้แหละครับ แต่ผมก็ดีใจมากเพราะเมื่อเราไปอยู่ไร่ เราก็ได้เพื่อนบ้านที่ดี
สิ่งสำคัญก็คือเรามีหัวอกอันเดียวกัน เพราะเราต่างก็อยากจะหนีความจอแจวุ่นวายอัดแอในเมืองหลวง
ไปอยู่ตามดงตามป่า หาความสงบในบั้นปลายของชีวิตเช่นเดียวกัน

เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำหรับผู้มีอารมณ์ร้อนแรง หูเบา เชื่อคนง่าย ตื่นตูม ขาดสติ มีความประมาท
จะเป็นทางนำตัวเองไปสู่ความย่อยยับ หากใช้เหตุผลข่มจิตให้สงบ แล้วใช้สติปัญญาหาความจริงจากต้นเหตุ
เมื่อรู้แล้วเราก็สามารถแก้ความร้ายให้กลายเป็นดีได้


>>>>> จบ >>>>>


ที่มา :
//www.dhammajak.net
//www.junjaowka.com


Create Date : 17 พฤษภาคม 2553
Last Update : 18 พฤษภาคม 2553 19:20:45 น. 0 comments
Counter : 988 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.