Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 
9 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

กรรมในอดีต (ท.เลียงพิบูลย์)

ธรรมะ
กรรมในอดีต โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔


เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ เราพร้อมด้วยผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย
ได้ช่วยกันนำเทียนพรรษาไปถวายที่โบสถ์วัดตะเคียนทอง จังหวัดนครนายก
เราออกรถแต่เช้ามีผู้ที่ร่วมไปในงานวันนั้นประมาณสามสิบกว่าคน มีท่านที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือจำนวนไม่น้อย
เราได้ใช้เวลาเดินทางสนทนากันตลอดเวลา ในเช้าวันนั้นได้มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ได้ถูกเคราะห์กรรมถูกไฟไหม้บ้าน
ในคราวที่ไฟไหม้ฝั่งธนฯ ก่อนหน้าเราเดินทางไปถวายเทียนเข้าพรรษาวัดตะเคียนทอง เพียงอาทิตย์เดียว

คุณพี่ผู้ชายนั้นใจเย็นคิดตก ไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ ต้องเสียทรัพย์สินไปมากมาย
คิดว่าเป็นผลแห่งกรรม ส่วนคุณพี่ผู้หญิงยังน้อยใจตัวเองว่า ครอบครัวเขาไม่เคยทำบาปกรรมอะไรเลย
ทำไมถึงได้รับเคราะห์กรรมหนักเช่นนี้ เราได้ทำแต่ความดี นับแต่เริ่มรับราชการตลอดมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ที่ดินก็เช่าที่วัดอยู่ ไม่ได้มีทรัพย์สินเกินฐานะที่ได้รับราชการมาจนเกษียณอายุ
เคยมีตำแหน่งที่คนเข้าใจว่าร่ำรวยมากมาย แต่เราทำงานตรงไปตรงมา จึงได้แต่สบายใจ
เราทำงานด้วยจิตใจเป็นธรรม มีความสุจริตไม่เคยมีชื่อเสียงในทางไม่ดี
มีประวัติขาวสะอาดเป็นที่ภูมิใจแม้ไม่ร่ำรวย ก็สร้างความสบายใจให้แก่ตนเอง

พวกเราต่างก็ช่วยกันชี้ให้เห็นกรรม เป็นของมีแน่นอนและย่อมได้ผลแตกต่างกันตามแต่กรรมนั้นจะเป็นอย่างไร
แต่แล้วก็มีท่านผู้รู้ใจศรัทธาผู้หนึ่ง ได้เล่าเป็นนิทานคล้ายจะเป็นวรรณคดีจีน
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นคติ แม้จะเป็นนิทานโบรมโบราณของจีนก็เป็นเรื่องที่น่าคิดน่ารู้
จึงได้ถ่ายทอดมาเล่าสู่กันฟังว่า

เมื่อครั้งโบราณ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นคนใจบุญประกอบแต่การกุศล มีเงินเท่าใดก็สร้างแต่กุศล
ภรรยาก็ห้ามว่าอย่าทำบุญมากมายนักเลย แต่ภรรยาห้ามเท่าใดก็ไม่ยอมฟังที่สุดก็ยากจนลง
สามีจึงบอกภรรยาว่า บัดนี้เราก็ยากจนลงแล้วไม่อยากให้เจ้าได้รับความลำบากกับเรา เพราะเจ้ายังสาวสวย
ยังมีความแข็งแรงพอที่จะทำงานให้เขาได้ เราจะนำเจ้าไปขายให้เป็นคนใช้เขาดีกว่าจะอยู่กับเรา
เพื่อเจ้าจะได้อยู่ดีกินดีมีความสุขสบาย เจ้าอยู่กับเรานั้นไม่มีความสบาย มีแต่ความยากลำบากจนตาย
ทั้งเราก็จะนำเงินที่ขายเจ้าไปทำบุญสร้างกุคล เพื่อเกิดใหม่เราจะได้มีความสุขสบายด้วยกัน

ส่วนภรรยาเมื่อได้ยินสามีพูดเช่นนั้นก็ร้องไห้ไม่ยอมไปขายตัว จะยากจนก็จะยอมอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายจากกัน
สามีเห็นกิริยาและได้ยินเช่นนั้นก็สงสาร แต่ต้องทำเป็นโกรธตัดพ้อว่า
“เจ้าเป็นภรรยาจะต้องเคารพและมีความกตัญญูต่อเราผู้เป็นสามี หากสามีประสงค์อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตาม
ไม่มีทางเลือกหรือคัดค้านจึงจะเป็นภรรยาที่ดี เราขายเจ้าเมื่อได้เงินแล้วเราก็มิได้ไปหาความสุขอย่างไร
เราจะเอาเงินที่ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญต่อไป”

ภรรยาอ้อนวอนว่า “ท่านนี้จะนำข้าพเจ้าไปขาย ตกเป็นทาส ข้าพเจ้าก็จะไม่ว่าท่านจะยอมให้ท่านขาย
แต่ขอให้ท่านนำเงินมาใช้บำรุงความสุข อย่านำไปทำบุญเลย บุญไม่เคยช่วยเราให้ได้ดีเลย
แต่สามีไม่ได้เชื่อฟังคำภรรยา เมื่อได้นำภรรยาไปขายให้เป็นคนรับใช้ของภรรยาท่านเศรษฐีผู้หนึ่ง
ได้เงินมาจึงได้นำเงินมาทำบุญสร้างกุศลต่อไป โดยไม่ได้คิดถึงความสุขส่วนตัว”

เวลานั้นร้อนไปถึงเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแลทุกข์สุขในโลกมนุษย์
ต่างมองเห็นชายผู้นี้ตั้งหน้าประกอบกรรมทำดีตลอดมาได้ยากจนลง และต้องเอาภรรยาไปขายเป็นทาส
เมื่อได้เงินมาก็นำมาทำบุญสร้างกุศล ต้องยากจนลงอีก จึงประชุมเทพเจ้าทั้งหลาย
เมื่อได้พูดถึงเหตุใดชายผู้นี้มีใจบุญสร้างแต่กุศล ทำไมจึงได้รับความทุกข์ยากจนเช่นนี้
ทำไมเทพเจ้าผู้คอยช่วยเหลือมนุษย์ที่ประกอบกรรมคุณความดี ไม่ช่วยให้ชายผู้นี้ได้รับความสุข
เมื่อเข้าประชุม เทพเจ้าก็สั่งให้เปิดบัญชีดูกรรมใด จึงให้ชายผู้นี้ได้รับความทุกข์ยาก
เมื่อเปิดบัญชี เทพยดาผู้น้อยผู้รักษาบัญชีจึงบอกว่า

“อันชายผู้นี้ชาติก่อนๆ สร้างกรรมไว้หนัก จะต้องใช้หนี้ถึงสามชาติจึงจะพ้นกรรมในชาตินี้
จะต้องตายเพราะความอดอยากยากจน และชาติต่อไปก็จะต้องถูกฟ้าผ่าตาย
และต่ออีกชาติก็จะตายด้วยถูกเสือกัดตาย จะต้องใช้หนี้กรรมอีกสามชาติจึงจะพ้นทุกข์ยาก”

เทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ได้พิจารณาเห็นเป็นกรรมของชายผู้นี้หนัก ต้องใช้หนี้กรรมต่อไปถึงสามชาติจึงจะพ้นกรรม
ทั้งมองเห็นว่าในชาตินี้ฝ่ายผู้นี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างแต่กรรมดี มิได้สนใจในความสุขส่วนตัว
ต้องทนทุกข์ทรมานเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์
ก็เกิดเมตตาสงสาร คิดว่าสมควรที่จะพิจารณาลงโทษให้เพื่อสนองในการสร้างกรรมดีตลอดมา

ตกลงเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ก็ประชุมตกลงกันให้กรรมที่จะต้องรับทุกข์ทรมานถึงสามชาตินั้น
ให้รวมมารับกรรมเพียงชาติเดียวในชาตินี้ ต่อไปก็ให้กรรมดีตามสนอง

ตกลงพร้อมกันแล้วก็สั่งให้เทพเจ้าผู้ดูแลทุกข์สุขในโลกมนุษย์
จัดการไปตามเทวบัญชา ที่ได้ตกลงกันตามความเห็นชอบของเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่

ชายผู้ได้ขายภรรยาได้เงินมาก็นำไปสร้างกุศลที่สุดก็ยากจนลง อดอยากลำบาก
กำลังจะรอความตายอยู่ในป่านอกเมือง
ทันใดนั้นฝนตกใหญ่ ฟ้าก็ผ่าลงมาต้องตัวชายผู้เคราะห์ร้ายซึ่งกำลังจะอดอาหารตายจนสลบ
ทันใดนั้นมีเสือใหญ่ตัวหนึ่งโดดออกมากัดคอชายผู้นั้นจนขาดใจตาย แล้วก็หลบหนีเข้าป่าไป

ชาวบ้านได้เห็นชายผู้เคราะห์ร้ายนี้ไปนอนตายอยู่ในป่า
ต่างก็โจษกันเป็นเรื่องใหญ่ที่ชายผู้นี้ต้องรับกรรมสามต่อคือ อดอยากอาหาร กำลังจะตายยังต้องฟ้าผ่าช้ำอีก
แต่แล้วยังไม่พอยังถูกเสือใหญ่มากัดที่คอ นับว่าเป็นผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุด
เมื่อเรื่องได้โจษจันรู้ไปถึงภรรยาของชายผู้เคราะห์ร้ายผู้นี้ พอนางทราบข่าวสามีได้ตายลงอย่างทุกข์ทรมาน
ก็มีความโศกเศร้าเสียใจ จัดแจงขออนุญาตนายผู้หญิง ซึ่งเป็นภรรยาเศรษฐีไปดูศพสามี
รำพันถึงชีวิตที่ได้รับความทุกข์ยาก เพราะไม่เชื่อคำตักเตือนว่า การทำบุญไม่ได้เกิดผลดีอะไรให้เกิดขึ้นเลย
ได้แต่รับเคราะห์กรรมความลำบากตลอดเวลา ภรรยาจึงได้จัดการทำศพตามประเพณี
ก่อนที่จะนำศพใส่โลงนำไปฝังนั้น หญิงผู้เป็นภรรยาได้กัดนิ้วชี้ของตัวเองจนเลือดไหล
เอานิ้วเขียนเป็นหนังสือไว้ที่หน้าผากศพชายผู้เคราะห์ร้ายสามคำ มีใจความว่า “บุญไม่ช่วย
แล้วนำเอาศพไปฝังตามประเพณี

ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินได้เกิดทารก ซึ่งเป็นรัชทายาทกับพระมเหสี เด็กที่คลอดออกมานั้นเป็นชาย
บนหน้าผากมีตัวอักษรอยู่สามคำว่า “บุญไม่ช่วย” นับแต่ทารกได้คลอดออกมาก็เอาแต่ร้องไห้ตลอดเวลา
ไม่มีใครสามารถจะทำให้ทารกหยุดร้องไห้ได้ ทำให้พระเจ้าแผ่นดินมีความร้อนพระทัยมาก
จึงปิดประกาศและตีฆ้องร้องเป่าไปตามที่ต่างๆ ว่าถ้าใครสามารถจะทำให้ทารกหยุดร้องไห้ได้
จะขออะไรให้ทุกอย่างไม่ขัดข้อง ทั้งบอกลักษณะทารกมีตัวอักษรสามคำอยู่ที่หน้าผากด้วย


หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าของชายผู้เคราะห์ร้าย เมื่อได้ทราบเรื่องการเป่าร้องและประกาศหาผู้รู้
จะทำให้รัชทายาทที่จะหยุดร้องไห้ และลักษณะของทารกที่จะเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ต่อไป มีตัวอักษรบนหน้าผาก
ก็นึกรู้ว่าสามีของตนได้มาเกิดจะเป็นผู้สูงศักดิ์ต่อไป ก็รับอาสาว่าเป็นผู้สามารถจะจัดการให้ทารกผู้สูงคักดิ์นั้น
หายจากโรคร้องไห้ไม่หยุดได้ พระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีทรงมีความยินดีที่มีคนรับอาสาเช่นนั้น
จึงได้นำทารกชึ่งกำลังร้องไห้ มาให้หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าของชายเคราะห์ร้ายผู้นั้นรักษา

ทันใดนั้นเมื่อเห็นตัวอักษรบนหน้าผาก ก็แน่ใจว่าสามีของนางได้มาเกิดเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แล้ว
จึงอธิษฐานแล้วเอามือลูบตัวหนังสือที่หน้าผากเจ้าชายทารก พลางพูดว่า
บัดนี้บุญได้สนองท่านแล้ว หนังสือสามตัวนี้ไม่จำเป็นที่จะอยู่ต่อไป
เมื่อมือลูบไปถูกตัวหนังสือก็หายไปสิ้นจากหน้าผาก ทันใดนั้นเจ้าชายทารกก็หยุดร้องไห้ทันที

พระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีดีพระทัยมาก
ได้รับสั่งกับหญิงผู้รักษาทารกให้หยุดร้อง และทำให้ตัวหนังสือที่หน้าผากที่น่าเกลียดหายไปว่า
เจ้าต้องการสิ่งใด เราจะประทานให้ทุกอย่าง หญิงผู้นั้นก็กราบทูลกับพระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีว่า
จะไม่ขออะไร ขอเพียงได้เป็นพระพี่เลี้ยงได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าชายตลอดไป ก็เป็นที่พอใจแล้ว

พระเจ้าแผ่นดินดีพระทัยทรงอนุญาตให้ตามคำขอ และทรงแต่งตั้งให้เป็นพระพี่เลี้ยงผู้สูงศักดิ์
และพระราชทานแก้วแหวนเงินทอง ข้าทาสหญิงชายบ้านเรือนที่ดินมากมาย
เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสี มีอำนาจเข้าเฝ้าได้ทุกเวลา
ทั้งเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ และนางพระพี่เลี้ยงก็ได้รับความสุขด้วยกันตลอดมา


นิทานเรื่องนี้แฝงไว้ด้วยคติธรรมเป็นเรื่องน่าคิด อาจจะแก้ปัญหาของผู้ที่เคยบ่นทำดีไม่ได้ดีบ้างไม่มากก็น้อย

ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้แม้จะเป็นนิทานโบราณ
แต่ข้าพเจ้าก็เคยรู้ มีเรื่องจริงเกิดขึ้นแล้วในเมืองไทยเกี่ยวกับตายแล้วเกิด คือเมื่อสมัยข้าพเจ้าอยู่ในวัยเด็ก
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่กันมาด้วยความสงบสุข ต่อมาภรรยาตั้งท้องเมื่อครบกำหนดก็คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย
สองสามีภรรยาได้พยายามเลี้ยงดูลูกของตนอย่างดี แต่พออายุได้เพียง ๓ เดือนก็ตาย
เป็นที่เศร้าโศกของสามีภรรยายิ่งนัก ต่อมาภรรยาก็ตั้งท้องอีก พอครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นชาย
และอยู่ได้เพียง ๓ เดือนก็ตาย ต่อมาก็ตั้งท้องเช่นเดียวกันและอยู่ได้ ๓ เดือนก็ตาย


ฝ่ายสามีรู้สึกโกรธแค้นมากที่มาหลอกให้ท้องแล้วให้เลี้ยงเพียง ๓ เดือน พอเด็กคนที่ ๓ ก่อนจะใส่หม้อไปฝัง
จึงเอาสันมีดโต้สับตรงหัวแม่มือซ้ายให้แบนเป็นเครื่องหมายว่า มันจะเกิดอีกไหม มันจะเป็นคนเก่ามาเกิดหรือไม่
และต่อมาภรรยาก็ตั้งท้องอีกเมื่อครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นชาย แต่หัวแม่มือซ้ายนั้นแบนเหมือนสันมีดทุบ
ได้เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงมีสุขภาพดี พวกเด็กรุ่นเดียวกันในสมัยนั้นเรียกเด็กคนนี้ว่า “อ้ายแบน
จะมีชื่อจริงอะไรจำไม่ได้ เข้าใจว่าปัจจุบันนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อสมัยข้าพเจ้ายังเด็กๆ

วันนั้นเราได้รับความสนุกสนานได้แลกเปลี่ยนการสนทนากันตลอดเวลา
แม้ฝนจะเทลงมาบ้าง ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการร่วมบุญกุศลถวายเทียนเข้าพรรษาในวันนั้น
เรากลับถึงบ้านด้วยความสบายใจ ด้วยความอนุเคราะห์จากท่านผู้ที่ข้าพเจ้านับถือ
และเป็นผู้เล่านิทานที่เกิดประโยชน์ทางใจ
และท่านผู้นี้กับท่านที่เคยสร้างวิหารหลวงพ่อสุริยะมุนี ที่หน้าสถานีรถไฟ จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นคนคนเดียวกัน


................... เอวัง ...................


ที่มา : //www.dhammajak.net




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2553
1 comments
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 17:48:34 น.
Counter : 775 Pageviews.

 

 

โดย: นนนี่มาแล้ว 16 พฤษภาคม 2553 21:31:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.