Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 
5 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 

ปัญหาทางใจ (ท.เลียงพิบูลย์)

ธรรมะ
ปัญหาทางใจ โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๖


คืนหนึ่งราว ๒๒.๐๐ น. จะขาดเกินก็ไม่มากนัก ข้าพเจ้ากำลังเขียนหนังสือ เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น
เมื่อยกหูโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงพูดถึง ถามข้าพเจ้าอยู่ไหม
จึงตอบไปว่า “อยู่และผมกำลังพูด” เสียงนั้นแสดงว่ามีความดีใจพูดว่า
“เคราะห์ดีผมกำลังหนักใจ กลัวว่าจะไม่พบหรือต่อผิด
เมื่อทราบว่าเป็นคุณผมก็ดีใจ จะขอให้คุณช่วยแนะนำเพราะผมกำลังเดือดร้อนมาก
คิดว่าคุณคงช่วยแก้ปัญหาให้เบาลงได้ ผมชื่อ..… และคุณคงไม่รู้จักผมแต่ผมรู้จักคุณดี
และสนใจติดตามอ่านหนังสือของคุณตลอดมา”

ข้าพเจ้าบอกว่า “ขอบคุณครับ และมีปัญหาเรื่องอะไรที่คุณจะให้ผมช่วยแก้
แต่ผมก็ไม่จัดเจนแก้ปัญหาอะไรที่ยากๆ โปรดอย่าหวังอะไรว่าผมจะช่วยได้ให้มากนัก”

เสียงทางโทรศัพท์พูดว่า “ขอบคุณครับ เรื่องที่ผมทุกข์ใจเวลานี้ก็มีเพียงว่า
เมื่อประมาณปีเศษ ภรรยาผมได้ตกลงขายที่ไปแปลงหนึ่ง แต่มาบัดนี้ที่แปลงนั้นผู้ซื้อได้ขายต่อได้กำไรหลายแสน
เรื่องนี้ทำให้ภรรยาผมรู้ข่าว มีความเสียใจเศร้าโศกเสียดายที่ขาดเงินไปหลายแสน
เธอกลุ้มใจเสียใจจนจะไม่เป็นอันกินอันนอน ซ้ำกลับโกรธคนที่ซื้อที่แปลงนั้นจากเราไปด้วย
บางครั้งก็นอนร้องไห้เพราะยังคิดก็ยิ่งเสียดาย

ผมกลัวแกจะเป็นโรคประสาทหากปล่อยไว้ไม่หาทางแก้ไข ผมได้พยายามปลอบโยนแก
และอธิบายเท่าไหร่ ยกตัวอย่างร้อยแปดพันเก้ามาชี้แจง แกไม่ยอมฟังเสียงผมเลย
ผมก็จนปัญญาจึงนึกถึงคุณ คิดว่าคงจะช่วยให้ผมได้รับความเบาใจ
เมื่อภรรยาผมหายเศร้าเสียดายในเรื่องขายที่ครั้งนี้ได้เป็นปกติแล้ว ก็เท่ากับคุณมาช่วยยกภูเขาออกจากอกผมไปได้
ผมเองเมื่อก่อนก็เสียดายเหมือนกัน เพราะเงินผิดกันหลายแสน
แต่เมื่อภรรยาผมเกิดเสียใจมากมาย ผมก็ใจหายกลายเป็นเรื่องวิตกห่วงภรรยาผมมากกว่า”

ข้าพเจ้าฟังดูแล้วก็รู้สึกว่า เหตุการณ์เช่นนี้คงจะเกิดขึ้นเพราะความโลภเห็นแก่ตัวติดเป็นนิสัย
เมื่อเห็นว่าเขาขายได้กำไรมากมายหลายแสนเช่นนี้ เกิดเสียดายอิจฉาขึ้นมา แต่หาได้พิจารณาดูให้ลึกลงไปว่า
สิ่งใดที่ผ่านไปแล้ว แม้จะเศร้าเสียใจเสียดายก็ไม่สามารถจะให้กลับคืนมาได้
เมื่อได้ซื้อขายพ้นมือไปแล้ว ก็ไม่ควรคิดเสียดายเสียใจนำมาขบคิดให้เกิดความไม่สบายใจขึ้น
มีแต่โทษอาจทำให้เป็นโรคประสาทขึ้นได้ หากไม่กำจัดความเห็นแก่ตัว

ข้าพเจ้าถามว่า “คุณเชื่อกรรมไหม”

เสียงตอบมาอย่างแจ่มใสว่า “ผมเชื่อครับและไม่มีข้อสงสัยเลย”

ข้าพเจ้าจึงบอกว่า “คุณอธิบายเรื่องกฎแห่งกรรมให้แม่บ้านของคุณทราบว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าอยู่ใน “กรรม”
เมื่อเรายังมีความโลภเหลืออยู่ในความรู้สึก เราก็หาความสบายใจไม่ได้ ทั้งที่เรารู้แล้วว่าที่ดินแปลงนั้นขายไปแล้ว
ไม่มีโอกาสเป็นของเราอย่างเดิมอีก ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร
เราก็ยังกลับย้อนเอามาคิดเสียใจเสียดาย เท่ากับเราหาทุกข์ใส่ตัวเราเองมันไม่เกิดประโยชน์ดีขึ้นมา
เพราะเวลาขายเราก็เห็นดีเห็นชอบพอใจแล้ว เพราะเราก็คิดแล้วว่าได้กำไรมากกว่าต้นทุน
แต่เมื่อที่ดินเกิดมีราคาสูงขึ้น เราจะเสียใจทำไมเพราะเรามีโอกาสวาสนาตามผลของกรรมเท่าที่เราขาย
ส่วนผู้ที่ซื้อไปก็เป็นลาภเป็นผลกำไรตามผลของกรรมเช่นกัน
อย่านึกอะไรให้มากเลยมีแต่เกิดโทษไม่เกิดประโยชน์อะไรดีขึ้น ขอร้องให้ภรรยาของคุณหักใจเสียเถิดครับ

ถึงเวลานี้คุณก็ไม่ขาดทุน ถึงยากจนอะไรมีความเป็นอยู่สะดวกสบายทุกอย่าง เราควรพอใจเวลานี้
บ้านคุณในห้องก็มีเครื่องทำความเย็น มีโทรทัศน์สี มีบ้านอยู่อย่างสุขสบาย
สิ่งเหล่านี้จงใช้ปัญญาคิดดูให้ดี จะเห็นว่าเราก็เพียงได้อาศัยความสะดวกสบายแก่เรา เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น
อย่าให้ความสะดวกสบายทางกาย ทำลายความรู้สึกทางใจ
เมื่อใจมีทุกข์ความสะดวกสบายทางกายก็ไม่มีประโยชน์อะไร”

เสียงทางโทรศัพท์พูดว่า
“คุณรู้ได้อย่างไรว่าบ้านผมในห้องมีเครื่องทำความเย็น มีโทรทัศน์สี คุณมีญาณหรือจึงมองเห็นในบ้านผม”

ข้าพเจ้าหัวเราะแล้วพูดว่า “เปล่าหรอกครับ ผมไม่มีความรู้ทางญาณหรืออะไร
แต่ผมเดาเอาว่าเป็นต้องมีสิ่งบำรุงความสะดวกสบายเหล่านี้แน่ไม่ผิด เพราะแรกมีที่ดินราคาล้าน
และผมได้ยินเครื่องทำความเย็นในห้องคุณอยู่ไม่ไกลจากโทรศัพท์
ส่วนโทรทัศน์สีนั้นผมได้ยินเสียงเด็กพูดกันว่าสีเข้มไปไม่ชัด เสียงเข้ามาทางโทรศัพท์
สิ่งเหล่านี้ผมเอาเหตุผลประกอบขึ้นมาเดาเท่านั้น
จะผิดหรือถูกก็อีกเรื่องหนึ่ง เห็นจะเป็นเพราะโทรศัพท์คืนนี้ได้ยินชัดเจนก็ได้”

เสียงหัวเราะทางโทรศัพท์ แล้วพูดว่า “คุณเดาได้ถูกต้องมาก คุณเป็นคนช่างสังเกตดี
แต่จะทำอย่างไรจึงจะทำให้ภรรยาผมหายเศร้าเสียใจได้บ้างครับ
โปรดแนะนำด้วย เพราะผมศรัทธาคุณมานานแล้ว อย่าให้ผมผิดหวัง”

ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “อย่าหวังอะไรให้มากนัก บางเวลาก็แทบเอาตัวไม่รอด ช่วยตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”

แล้วเสียงพูดมาว่า “แล้วแก้ด้วยวิธีไหนล่ะ”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ผมต้องเอาหลักธรรมะแก้ทางจิตใจ พิจารณาแล้วข่มความรู้สึกให้พ้นไป”

แต่แล้วได้ยินเสียงพูดว่า “ผมเชื่อคุณครับ อย่างน้อยคุณก็รับรู้และรับปากว่าจะช่วยก็ทำให้ผมสบายใจขึ้น”

ข้าพเจ้าก็ได้บอกว่า “ขอบคุณที่ไว้ใจผม และอยากจะถามว่าภรรยาของคุณเชื่อ “กรรม” หรือเปล่า
ถ้าเชื่อก็ขอให้พิจารณาดูตัวเองว่า กำลังจะตกลงไปอยู่ในความหมุนเวียนของกรรมอยู่แล้ว
ถ้าหากไม่ทำจิตใจให้สูงขึ้นพ้นจากความโลภความเสียดายเสียใจได้
ก็ขอให้คุณจงเตือนเธอ อย่าให้มัวคิดสอยดาวบนท้องฟ้าเลย”

เสียงทางโทรศัพท์พูดว่า “ผมไม่เข้าใจ หมายความว่าอะไร จะชี้แจงให้เธอเข้าใจ”

ข้าพเจ้าบอกว่า “คิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อย่าเอามาคิดให้เกิดเศร้าโศกเสียดายเลย เพราะเป็นของผู้อื่นไปแล้ว
ไม่มีวันจะกลับคืนมาอีก คนธรรมดามองแต่สิ่งแวดล้อม เสียดายใจเพราะยังยึดถืออะไรในโลกว่าเป็นของเรา
ถ้าคิดถึงหลักธรรมพิจารณาให้ซึ้งถึงธรรมชาติของสัจธรรม แล้วไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นไกล

สิ่งที่เราครอบครองอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินตึกรามบ้านช่อง สินทรัพย์ทุกอย่างที่เราถือกรรมสิทธิอยู่นี้
พระท่านบอกว่าไม่ใช่ของเรา แม้เราจะหามาได้โดยความบริสุทธิ์ ด้วยสติปัญญาก็อย่ายึดถือว่าเป็นของเรา
เพียงแต่เราได้อาศัยอยู่กินเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เมื่อหมดลมไปแล้วก็ไม่ใช่ของเรา


ถ้าไม่ตกอยู่กับลูกหลานก็ตกไปเป็นของผู้อื่น บางครั้งเรายังไม่ทันสิ้นลมก็เปลี่ยนเป็นของผู้อื่น
เราพิจารณาดูผืนดินที่คิดว่าเราเป็นเจ้าของนั้น ได้เปลี่ยนมาจากผู้ที่เคยยึดถือเป็นเจ้าของมาแล้วแต่อดีต
กว่าจะถึงเราไม่รู้ว่ากี่เจ้าของ อย่างน้อยก็เปลี่ยนจากปู่ย่าตายายมาสู่เรา

ท่านเหล่านั้นก็เพียงอาศัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ทุกอย่างอะไรในโลกไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง
แม้แต่สังขารร่างกายของเรา เมื่อหมดลมแล้วเขาก็นำไปเผาเหลือแต่วิญญาณที่ไม่ตาย
ย่อมจะล่องลอยไปตามกฎแห่งกรรม ใครทำดีก็นำไปลู่สุคติ ใครทำชั่วก็ไปสู่ทุกคติ

ฉะนั้นหากเราเชื่อหลัก “กรรม” ในทางพระพุทธศาสนา ก็ควรใช้สติปัญญาพิสูจน์ตัวเราเอง
และหยุดความดิ้นรนในทางผิด หยุดโลภอย่างไม่รู้อิ่มรู้พอ
ผู้ใดสามารถใช้ปัญญาหาหลักธรรมได้ เมื่อปฏิบัติแล้วทำให้เกิดประโยชน์ สามารถปลดเปลื้องความทุกข์
เมื่อได้ตัดกิเลสตัณหาออกจากตนได้ก็ตัดต้นเหตุแห่งทุกข์ได้ และหลุดพ้นจากโลภ รัก โกรธ หลง
ก็จะทำให้จิตสงบบริสุทธิ์และว่างเว้นจากความชั่วใดๆ สิ่งนั้นเป็นความสุขที่สุดยอดของมนุษย์ที่สามารถจะหาได้
พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า ผู้มีปัญญานั้นเลิศประเสริฐในโลกมนุษย์
ผู้มีปัญญาย่อมมีความปรีชาสามารถมองเห็นหลักธรรม และปฏิบัติให้หลุดพ้น
และสามารถจะประกอบกรรมให้เกิดประโยชน์สุขแก่ส่วนรวมทั่วไป คุณลองคิดพิจารณาแล้วอธิบายให้เธอฟัง”

เสียงโทรศัพท์บอกมาว่า “ขอบคุณครับ สำหรับผมเชื่อแล้ว แต่เธอจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ
ผมได้พยายามหาทางให้เธอหายเศร้าโศกเสียดายจนหมดปัญญาแล้ว”

ข้าพเจ้าถามว่า “ภรรยาของคุณเธอเคยอ่านกฎแห่งกรรมบ้างไหม
และที่บ้านมีหนังสือ “กฎแห่งกรรม” หรือเปล่า ?”

เสียงตอบมาว่า “บ้านผมมีครับแต่รู้สึกว่าเธอไม่ค่อยได้อ่าน ผมเก็บไว้ทุกเล่ม ผมจะพยายามหาให้ครบ”

ข้าพเจ้าบอกไปว่า “คุณเจาะจงให้เธออ่านเรื่องที่ ๕๑ ในเรื่อง “พบคนดี” และอ่านเรื่องที่ ๕๔ “ใครจะอยู่ค้ำฟ้า”
บางทีอาจช่วยจิตใจให้เธอดีขึ้นก็ได้
หากว่าเธอยังไม่หายเสียดาย ก็ให้เธอใช้สติปัญญาพิจารณาดูตนเองและฐานะความเป็นอยู่
แล้วพิจารณาดูผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า และพวกหาเช้ากินค่ำต้องได้รับความลำบากกว่าเราเพียงไรแล้ว
พิจารณาไกลออกไปถึงประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงและไกลออกไป
เช่น ประเทศอาหรับประชาชนได้รับความลำบากยากแค้นเพียงไหน ต้องอพยพหนีภัย เมียพลัดผัว ลูกพลัดแม่
พี่พลัดน้อง ที่เคราะห์ร้ายก็ต้องเสียชีวิตเพราะถูกฆ่าทารุณ ชีวิตไม่มีค่า ขาดความคุ้มครอง อดอยากขาดอาหาร
ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนช่วยตัวเองเพียงหวังเอาชีวิตรอด เพื่อหาความอิสระ

พิจารณาให้ลึกซึ้ง เอาใจเขาไปใส่ใจเรา ถ้าเราเป็นเขาจะมีความรู้สึกอย่างไร
เมื่อได้เปรียบเทียบชีวิตเรากับชีวิตเขา แล้วกลับมาพิจารณาตัวเราอีกครั้งหนึ่ง
คิดว่าเธอคงสบายใจขึ้นมากถ้าเธอตัดใจได้ ทำจิตใจให้สงบ เมื่อเปรียบเทียบก็เหมือนเธออยู่ในสวรรค์
พวกเหล่านั้นเสมือนอยู่ในนรกเพราะจิตใจมีแต่ความหวาดกลัววิตกกังวล นี่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม

แต่แล้วได้ยินเสียงโทรศัพท์พูดมาว่า “ครับ ผมจะลองอธิบายและให้อ่านตามที่คุณได้บอกนี้
จะเปรียบเทียบฐานะและชีวิตของบุคคลต่างๆ และขอบคุณที่ต้องเสียเวลาพูดกับผมมาก”

ข้าพเจ้าบอกว่า “ไม่เป็นไรครับ
ถ้าผมสามารถจะช่วยทำให้ภรรยาของคุณ หยุดเสียดายคิดถึงราคาที่ดินสูงขึ้นได้ ผมก็ยินดี ผมเองก็มีความสบายใจ
และขอให้คุณโชคดี และจะได้ให้ผมสบายใจด้วย สวัสดีครับ”

ตั้งแต่นั้นต่อมาหลายเดือน ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าการที่แนะนำไปในคืนนั้นจะเกิดผลหรือไม่
เพราะไม่ได้รับข่าวจากท่านผู้นั้นอีกเลย


....................... เอวัง .......................


ที่มา : //www.dhammajak.net




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553
1 comments
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 17:29:46 น.
Counter : 838 Pageviews.

 



อิจฉาที่คนที่ซื้อไปขายต่อได้กำไรหลายแสนกับเสียดายที่ตัวเองไม่ได้กำไรหลายแสน

มันต่างกันไหมคะ

หรือว่ามันคืออารมณ์เดียวกัน จัดเป็นกรรมด้านกิเลสเหมือนกันหรือเปล่าคะ

ถ้าตัดใจได้และปลงได้ แต่ทุกครั้งที่นึกถึงก็จะเกิดเป็นกิเลสอีก ใช่หรือเปล่าคะ ไม่รู้ว่านนนี่เข้าใจถูกมั้ยอ่ะค่ะ

 

โดย: นนนี่มาแล้ว 16 พฤษภาคม 2553 21:17:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.