แบงก์ชาติออกอีก 3 มาตรการ ไล่เงินไหลออก เผยปีนี้คนไทยไปลงทุนนอก 9 เดือน 2.79 แสนล้าน แต่เงินนอกยังเข้ามามาก ส่งผลค่าบาทแข็ง 2.9% ชี้มาตรการของสหรัฐฯ-ยุโรป-ญี่ปุ่น ที่ออกกันมาในไตรมาส 3 ทำบาทแข็งค่าเร็วขึ้น เชื่อปีหน้าเงินทุนเริ่มแผ่ว เหตุเศรษฐกิจไทยชะลอ และภูมิภาคอื่นที่น่าสนใจไปลงทุนมากกว่า...

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 55 นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วงก่อนสิ้นปีนี้ ธปท.จะมีการออกประกาศเพิ่มเติมในเรื่องการไปลงทุนต่างประเทศของนักลงทุนไทย อีก 1 ฉบับ เพื่อให้การไปลงทุนในหุ้นของนักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศมีความสะดวกขึ้น โดยอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยที่ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตัวกลางสามารถ ที่จะลงทุนได้โดยไม่จำกัดวงเงิน และไม่ต้องขออนุญาตการนำเงินออกไปลงทุนจาก ธปท.ก่อนเหมือนที่่ผ่านมา

นอกจากนั้น ในช่วงต้นปี 2556 จะมีการออกประกาศหนังสือเวียนเพื่อผ่อนคลายการไหลออกของเงินทุนในอีก 2 ฉบับ คือ 1. การประกาศให้นักลงทุนรายย่อย ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย (เอสเอ็มอี) และบุคคลธรรมดา สามารถที่จะออกไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศได้โดยไม่จำกัดจำนวน และไม่ต้องผ่านตัวกลาง โดยไม่ต้องขออนุญาต ธปท.เป็นรายๆ และ 2. อนุญาตให้ผู้ที่ภาระต้องชำระเงินตราต่างประเทศในอนาคต สามารถซื้อเงินตราต่างประเทศเก็บสะสมไว้ในบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศใน ประเทศไทย (เอฟซีดี) ตามภาระที่จะต้องชำระเงินตราต่างประเทศจริงในอนาคต และไม่จำกัดเวลาและวงเงินในการฝาก

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา มีเงินลงทุนโดยตรงจากนักลงทุน และบริษัทไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศทั้งสิ้น 9,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 279,000 ล้านบาท (30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) สูงกว่าในปี 2554 ทั้งปีที่มียอดการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของนักลงทุนต่างประเทศ 8,200 ล้านเหรียญฯ และคาดว่าในไตรมาสที่ 4 และปีหน้า ตามที่ ธปท.ได้สำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนขนาดใหญ่ของไทย ยังเห็นความตั้งใจ และการวางแผนที่จะไปลงทุนในต่างประเทศต่อเนื่อง

นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวต่อว่า ค่าเงินบาทในขณะนี้เทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา แข็งค่าขึ้นประมาณ 2.9% ซึ่งถือว่าอยู่ช่วงกลางๆ ของภูมิภาคนี้ โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิ 10 เดือนแรกของปีี 9,500 ล้านเหรียญฯ โดยนักลงทุนต่างชาติลงทุนในตลาดพันธบัตรของไทยมากที่สุด ประมาณ 9,000 ล้านเหรียญฯ และลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 2,000 ล้านเหรียญฯ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในช่วงที่ประเทศอุตสาหกรรมหลักของโลกออกมาตรการผ่อนคลายเชิง ปริมาณออกมาเพิ่มเติม ทั้ง QE 3 ของสหรัฐฯ โครงการ Outright Monetary Transactions (OMT) ของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และโครงการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางญี่ปุ่น มีเงินไหลเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยค่าเงินบาทในไตรมาสที่ 3% แข็งค่าขึ้นประมาณ 3.3%

“ในปีหน้านี้ จะเป็นปีที่มีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในต่างประเทศ และในประเทศของเรามาก ดังนั้น ในการดูแลค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายจะต้องติดตามปัจจัยอย่างใกล้ชิด โดยปัจจัยในระยะใกล้ที่จะมีผลต่อความผันผวนของตลาดการเงินโลก และตลาดการเงินของไทย คือ ปัญหาหนี้สาธารณะและวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ที่คาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจยุโรปยังคงอ่อนแอ ขณะที่ปัญหาเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะหมดอายุสิ้นปีนี้ และการดำเนินนโยบายการคลังในปีหน้า หรือหน้าผาการคลัง ยังเป็นปัญหาใหญ่ นอกจากนั้น ยังมีปัญหาการเมือง และการต่อเนื่องของนโยบายในการเปลี่ยนตัวผู้นำจีนและญี่ปุ่น รวมทั้งการเมืองของไทยในช่วงต่อไป หากมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก็อาจจะเกิดปัญหากับความมั่นใจในค่าเงินบาทได้”

อย่างไรก็ตาม นางอลิสรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีหน้าทิศทางของตลาดการเงินและค่าเงินบาท น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับปีนี้ โดยมองว่าแม้การชะลอตัวในประเทศอุตสาหกรรมหลักจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามา ลงทุนในเอเชียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเนื่อง แต่คาดว่าเงินทุนจากต่างประเทศคงจะไหลเข้ามาในไทยน้อยกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง จากผลกระทบด้านการส่งออกที่ชะลอตัวลงจากของเศรษฐกิจโลก นอกจากนั้น ยังมีภูมิภาคอื่นที่เริ่มขยายตัวในระดับที่ดี และให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูง เช่น ภูมิภาคละตินอเมริกา ประเทศบราซิล โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้สูงถึง 7.5% หรือประเทศจีนที่จะเปิดเสรีบัญชีเงินทุน ซึ่งจะทำให้มีเงินทุนจำนวนมากไหลไปลงทุนในจีน.

• ข่าวการศึกษา
• ข่าวการเมือง
• ข่าวกีฬา
• ข่าวดาราบันเทิง
• ข่าวต่างประเทศ
• ข่าวพระเครื่อง
• ข่าวรถยนต์
• ข่าวศาสนา
• ข่าวสังคม สตรี
• ข่าวเศรษฐกิจ
• ข่าวไอที ข่าวเทคโนโลยี
• ตลาดพระ
• พระเครื่อง
• สนามพระ