เสี่ยปั้น ชี้เอเชียมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก นำทัพจีน-ญี่ปุ่น ไอเอ็มเอฟ-ธนาคารโลก-แบงก์จีน เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกยังถดถอยได้ เอเชียช่วยพยุง เตือนระวังสหรัฐฯ เกิดวิกฤติรอบ 2
เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. เครือธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จัดงานเสวนานานาชาติ ในหัวข้อ อนาคตแห่งทศวรรษ : เอเชีย ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี โดยนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดสัมมนาว่า เศรษฐกิจของเอเชียมีบทบาทช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกหลังจากที่เศรษฐกิจในฝั่งตะวันตกทั้งยุโรป และสหรัฐอเมริกาต่างมีปัญหาเศรษฐกิจและการค้าขายในเอเชียหลังจากนี้จะมีมากขึ้น จากปัจจุบันเอเชียมีประชากร 60% ของโลก และมีรายได้ประชาชาติ 1 ใน 3 ของโลก จีนและญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะถอดถอย 3-4 ปีข้างหน้า
เอเชียหลังจากนี้จะมีบทบาทมากขึ้น จีนและญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำ เรามีพลังมากขึ้นในการขับเคลื่อนจีดีพีโลก คนเอเชียมีกำลังซื้อมากขึ้น นายบัณฑูร กล่าว
ด้านนายหลุยส์ บรูเออร์ หัวหน้าคณะผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ประจำประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ "เอเชีย : ความหวังของวิกฤติเศรษฐกิจโลกว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงในระดับสูงที่จะประสบปัญหาวิกฤติในรอบที่ 2 เนื่องจากมีนโยบายทางการคลังที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจบางมาตรการกำลังจะสิ้นสุดในปลายปี 2555 เช่น การลดภาษีในเวลาเดียวกับสภาคองเกรสมีแผนลดการใช้จ่ายรัฐบาลในขณะที่การซบเซาเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปยังไม่สามารถแก้ไขได้ เศรษฐกิจจีนชะลอตัวและอินเดียลดการลงทุนในประเทศ ก็จะสร้างความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยประเมินว่าตลอดปี 2555 จะขยายตัวในอัตราชะลอลงมาอยู่ที่ 3.3% และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.6% ในปี 2556 ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรากำลังเข้าสู่ภาวะที่เปราะบาง และนำไปสู่การชะลอตัวของการเติบโตเศรษฐกิจโลก มีผลให้แต่ละพื้นที่มีการเติบโตที่แตกต่างกันออกไป โดยเอเชียยังเติบโตได้สูงแต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องดูประเทศที่เศรษฐกิจล่มสลายเป็นตัวอย่าง
นายแมทธิว เวอร์กีส หัวหน้านักเศรษฐกิจ ธนาคารโลก กล่าวว่า กรอบการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกของธนาคารโลกเป็นไปในทิศทางเดียวกับไอเอ็มเอฟ คือมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งโลก ปัจจัยสำคัญมาจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปมีปัญหาเงินไหลออกประเทศ ซึ่งไม่สามารถใช้นโยบายลดค่าเงินมาช่วยบรรเทาผลกระทบเช่นที่เคยทำก่อนหน้าเกิดวิกฤติได้ ดังนั้นในระยะต่อไปเอเชียจะเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกที่เข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความกังวลของธนาคารกลางทั่วเอเชียรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อภาวการณ์ไหลข้าวของเงินทุนจากฝั่งตะวันตกเข้าสู่เอเชีย แม้ว่าเท่าที่ติดตามขณะนี้ยังไม่พบปัญหานี้ก็ตาม
นายฮว่า เอ่อเฉิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเปาซัง ประเทศจีน กล่าวว่าปัจจุบันสภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แย่กว่าเศรษฐกิจสเปนแม้ว่าดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นสกุลเงินที่ธนาคารทุกประเทศสะสมในตะกร้าทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ให้ถดถอยลงไปอีก แต่สถานการณ์จะแย่ลง ทั้งเรื่องการเงินและการธนาคารจากความผันผวนของมาตรการทางการคลัง ดังนั้นต้องใช้ระยะเวลาตั้งแต่สั้นถึงกลางในการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยลงไปอีก ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรปยังคงอยู่ในภาวะซบเซาต่อไปประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนแม้จะผ่านพ้นส่วนที่แย่ที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่ปัจจัยดังกล่าวทั้งหมดก็ยังเป็นความเสี่ยงของการขยายตัวความเสี่ยงของเศรษฐกิจในปีหน้า
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการสำนักนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวในอัตราที่ดี จากผลของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนในประเทศในขณะที่อัตราการว่างงานต่ำ มีการทำงานล่วงเวลากลับเข้าสู่ระดับปกติประกอบกับรายได้เกษตรกรขยับตัวสูงขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรและผลจากมาตรการรับจำนำข้าว แม้จะถูกกระทบจากการลดลงของการส่งออกและการผลิตจากการซบเซาของเศรษฐกิจโลกก็ตาม ประกอบกับยังมีแรงส่งไปยังเศรษฐกิจปี 2556 โดยเฉพาะจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก
เรายังค่อนข้างเชื่อมั่นในเศรษฐกิจในประเทศโดยปีหน้าจะดีกว่าปีนี้ แม้คาดการณ์ว่าจีดีพีในปีนี้จะให้ที่ 5.7% สูงกว่าปีหน้าที่มอง 4.6% แต่อย่าลืมว่ามันเป็นเพราะฐานเศรษฐกิจปี 2554 ต่ำ จากผลของน้ำท่วม แต่จริงๆ และเทียบไตรมาสต่อไตรมาสจีดีพีโตแค่ 1% เท่านั้น ดังนั้น นักลงทุนก็ควรซื้อประกันความเสี่ยงเอาไว้ นางรุ่ง กล่าว