นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมฯอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางการขยายฐานภาษีในกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มธุรกิจค้าพระ ค้าวัตถุโบราณ ที่ทางกรมฯมีการสำรวจและรวบรวมข้อมูล รวมไปถึงสำรวจเหล่าผู้ประกอบการรายใหญ่ๆว่า แสดงรายการภาษีตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งจากการสำรวจพบว่ากลุ่มธุรกิจนี้มีการเสียภาษีที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงมากพอสมควรขณะที่กลุ่มดารานักแสดง เมื่อทางกรมมีการให้ความรู้ ก็พบว่ามีการปรับปรุง ตื่นตัวในการยื่นภาษีให้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น ส่วนกลุ่มธุรกิจนำเข้ารถยนต์หรู (เกรมาร์เก็ต) ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าเสียภาษีไม่ตรงกับความเป็นจริงนั้น ทางกรมได้เร่งตรวจสอบและดำเนินการอย่างเข้มงวด
นายสาธิตกล่าวต่อว่า วันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมากรมสรรพากรและธนาคารกรุงเทพ ได้ลงนามบันทึกความตกลงการให้บริการชำระภาษีของกรมสรรพากรทุกประเภท ด้วยบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ โดยใช้บริการได้ตั้งแต่ 1 พ.ย.55 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพและคำนึงถึงสิทธิประโยชน์สูงสุดของผู้เสียภาษี โดยปัจจุบันกรมสรรพากรได้ร่วมมือกับธนาคารให้ผู้เสียภาษีชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตได้ 4 แห่ง คือธนาคารกรุงเทพ, กสิกรไทย, ไทยพาณิชย์ และกรุงไทยขณะที่มี 2 แห่ง ที่ผู้เสียภาษียื่นแบบผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตได้ คือไทยพาณิชย์และกสิกรไทย และเร็วๆนี้ธนาคารกรุงเทพก็จะให้ทำได้เช่นเดียวกัน ธนาคารกรุงเทพไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมการใช้บริการผ่านบัตรเครดิต แถมยังผ่อนชำระภาษีเป็นงวดๆ ได้อีกด้วย โดยมีช่วงเวลาปลอดดอกเบี้ย ทำให้ลูกค้าสงวนสภาพคล่องของตัวเองตามวงจรการชำระหนี้บัตรเครดิต 45 วัน ขณะที่การยื่นแบบทางอินเตอร์เน็ตนั้น ก็ขยายเวลาการยื่นแบบทุกชนิดให้อีก 8 วัน ยิ่งช่วยให้ผู้เสียภาษีประหยัดสภาพคล่องได้อีก 2 เดือน
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดา 9-10 ล้านคน และภาษีนิติบุคคลอีก 4 แสนราย โดยธนาคารทั้ง 4 แห่ง มีลูกค้าที่ชำระภาษีผ่านบัตรเครดิตครอบคลุมแล้วกว่า 80% ขณะที่มีผู้ยื่นภาษีประเภทบุคคลธรรมดาผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 80% ตั้งเป้าว่าอนาคตต้องเพิ่มสัดส่วนผู้ที่ยื่นแบบผ่านทางอินเตอร์ให้ได้ถึง 90% ของผู้เสียภาษีทั้งหมด.