กูรูหุ้นร่วมวงฟันธงปีนี้ดัชนีฯ ทะลุ 1,700 จุด รับอานิสงส์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท พร้อมแนะนักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและรอจังหวะตลาดปรับฐานลง โดยหุ้นเด่นส่วนใหญ่คือกลุ่มธนาคาร

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนปี 2556 ว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้จะมีจุดสูงสุดที่เฉลี่ย 1,704 จุด และดัชนี ณ ปลายปี จะอยู่ที่เฉลี่ย 1,625 จุด โดยปัจจัยบวกสำคัญมาจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท การคาดการว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวสูงในปีนี้ และต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 56 ที่เฉลี่ย 4.9% ในขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นปี 56 จะเติบโตเฉลี่ย 20.3% โดยธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น 3 อันดับแรก คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเติบโต 37.41% กลุ่มอสังหาฯ เติบโตเฉลี่ย 33.42% และอันดับ 3 คือกลุ่มธนาคาร เติบโตเฉลี่ย 24.84%

ส่วนราคาทองคำสิ้นปี 56 จะปรับตัวลงมาอยู่ที่ 24,334 บาทต่อบาททองคำ และคาดว่านักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศรวมพอร์ตโบรกเกอร์จะซื้อสุทธิในช่วงปี 2556 รวมกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังเห็นว่าภาครัฐควรเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อกระตุ้นการบริโภคและกำลังซื้อ

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า สำหรับคำแนะนำนักลงทุนควรรอจังหวะตลาดปรับฐานลง เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ ได้รับประโยชน์จากโครงการของรัฐ และอิงการลงทุน/การบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก และทยอยขายเมื่อดัชนีตลาดปรับตัวขึ้น อีกทั้งยังต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานก่อนตัดสินใจลงทุน โดยติดตามข้อมูลข่าวสารของทั้งปัจจัยภายนอกประเทศและปัจจัยภายในประเทศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีการเก็งกำไร ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ไม่ใส่เงินออมทั้งหมดในหุ้น รวมถึงไม่หวั่นไหวตามความผันผวนของตลาด มีวินัยในการลงทุนและกำหนดจุดตัดขาดทุนให้ชัดเจน

โดยแนะนำหุ้นน่าลงทุนที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนัก หุ้นเด่น ได้แก่ BBL, CK, INTUCH, KBANK, SIRI เป็นต้น ส่วนหุ้นที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งเห็นว่าราคาเต็มมูลค่า หรือเกินมูลค่าแล้ว ได้แก่ หุ้นในหมวดธุรกิจพาณิชย์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และธุรกิจเหล็ก เป็นต้น