นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 3,584 ล้านบาท เติบโต 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัย 200.5 ล้านบาท เติบโต 122% มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 433 ล้านบาท ลดลง 60% โดยมีกำไรสุทธิ 526 ล้านบาท เติบโต 126% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งล่าสุดคณะกรรมการยังได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 2.75 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 7,816 ล้านบาท เติบโต 26.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัย 258 ล้านบาท เติบโต 118% มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 839 ล้านบาท ลดลง 51% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 915 ล้านบาท เติบโต 231% ส่วนกลยุทธ์ตลาดครึ่งปีหลังเน้นทำตลาดรายย่อยผ่านช่องทางต่างๆเป็นหลัก โดยเน้นรายได้หลักมาจากประกันภัยรถยนต์และประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิด ซึ่งคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้จะได้เบี้ยตามเป้าที่ 1.53 หมื่นล้านบาท เติบโต 16% หรือ อาจทะลุเป้า
นายพนัส กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาว่าในช่วงครึ่งปีหลังต้องปรับค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์เพิ่มขึ้นหรือไม่ เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา สินไหมต่อเบี้ยประกันภัยได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 59.7% แล้ว โดยสินไหมต่อเบี้ยประกันภัย ที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายด้านสินไหมที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถ ค่าแรง 300 บาท และอู่ที่ยังไม่เพียงพอกับจำนวนรถที่ต้องการซ่อม ทำให้ค่าซ่อมปรับตัวสูงขึ้น และคงเป็นอย่างนี้ไปอีกอย่างน้อยถึงสิ้นปีนี้.